วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทพกินรี

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์


*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*




ที่ผ่านมา ใครที่ชอบไปตลาดพระวัดราชนัดดาบ่อยๆ จะเห็นว่าประติมากรรมรูปกินรี ขายดีแข่งกับองค์เทพต่างๆ อย่างเงียบๆ จนเริ่มจะกลายเป็นของหายาก เพราะเป็นที่นิยมกันอยู่ในวงการตำหนักทรง

ในขณะเดียวกัน คนที่ชื่นชอบเครื่องรางมหาเสน่ห์ ที่ว่าด้วยตัณหาและกามารมณ์ล้วนๆ ก็จะเห็นเครื่องรางที่เกี่ยวข้องกับกินรี ที่บางสำนักนำมาเผยแพร่ในวงการวัตถุมงคลด้วยเช่นกัน

กินรีมีจริงหรือไม่?

ถ้าตอบในทางเทวศาสตร์ ก็คือมีจริงครับ

กินรีเป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าที่เรามักเรียกว่า ป่าหิมพานต์

ซึ่งเมื่อพูดถึงป่านี้ เราต้องลืม
ภาพของป่าหิมพานต์ในวรรณคดี หรือตามจิตรกรรมฝาผนังในวัดออกไปเสียก่อนนะครับ

เพราะป่าหิมพานต์ในความเป็นจริง ก็ไม่ได้แตกต่างกับป่าไม้ทั่วไปในโลกของเราหรอกครับ และที่จริงก็ซ้อนทับอยู่ในป่าดงดิบต่างๆ ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วนั่นเอง

เพียงแต่ว่าอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถจะผ่านเข้าไปได้




กินรีจึงเป็นอมนุษย์เหมือนกับวิทยาธร (วงการไสยศาสตร์ยุคนี้นิยมเรียกว่า เพชรพญาธร)
เหมือนกับคนธรรพ์ นางอัปสร ยักษ์ รากษส

ซึ่งอมนุษย์เหล่านี้ก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีทั้งกายหยาบและกายละเอียด มีวิญญาณ ต้องกิน ต้องนอนและสืบพันธุ์ มีการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนมนุษย์เราทุกประการ

ต่างกันแต่เพียงว่า ถ้าเป็นกินรี วิทยาธร คนธรรพ์ นางอัปสร จะมีรูปกายที่สวยงามและแก่ช้ากว่ามนุษย์เรา

ยักษ์ จะมีรูปกายที่ใหญ่โตกว่าเรา และมีวิชาอาคมที่จะเนรมิตกายให้ใหญ่โตมากขึ้นไปอีกได้ เป็นต้น

กินรีในความเป็นจริง จึงมีรูปร่างลักษณะเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งนก มีทั้งชายและหญิง (ชายเรียก กินนร)

อมนุษย์จำพวกนี้ มีวิชาอาคมเฉพาะของเผ่าพันธุ์ ในการประดิษฐ์เครื่องมือที่ใช้ในการบิน คือ ปีก ซึ่งเมื่อนำมาสวมใส่แล้วก็จะบินได้ตามต้องการ เมื่อไม่ใช้ก็ถอดเก็บ

และถ้าไม่มีปีก จะไปไหนก็ต้องเดินไปเหมือนคนเรา

ดังปรากฏในนิทานพื้นบ้าน เรื่อง พระสุธนมโนห์รา ซึ่งที่จริงมิได้มีเฉพาะในเมืองไทย แต่เล่าขานกันในทุกอารยธรรมที่อยู่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกมาเป็นเวลานานนับพันปีมาแล้ว ทั้งในมลายู อินโดนีเซีย เรื่อยไปจนถึงญี่ปุ่น

แม้กระทั่งในตำนานของพวกยุโรปเหนือ หรือ นอร์ส (Noese) ก็มีเรื่องของอมนุษย์จำพวกเดียวกันนี้ ซึ่งเขาเรียกว่า วัลคีรีส์ (
Valkyries)

จากตำนานพื้นบ้านเหล่านี้ มักจะมีส่วนที่ตรงกันอย่างหนึ่งครับ 

นั่นคือ ปีกของมนุษย์นก หรือ กินนรกินรีเหล่านั้น สามารถถอดได้ เมื่อถอดแล้วถูกขโมยไป มนุษย์นกหรือกินรีเหล่านั้น ก็ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถอยู่กิน มีลูกมีหลานกับมนุษย์ธรรมดาได้

เป็นการบ่งบอกว่า ไม่ใช่เป็นครึ่งคนครึ่งนก แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์เหมือนคน ที่บินได้ด้วยวิชาอาคมในรูปของปีกเลียนแบบนก

แต่กินนร-กินรี ก็ไม่ได้มีสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาเพียงวิชาอาคมดังกล่าว และรูปกายที่สวยงามกว่า แก่ช้ากว่า อายุยืนกว่าเท่านั้นนะครับ 

อมนุษย์เหล่านี้ โดยเฉพาะเพศหญิง หรือกินรี จะมีพลังในด้านของความอุดมสมบูรณ์-เมตตามหานิยมในระดับสูงมาก




คนโบราณในแถบที่มีนิทานเกี่ยวกับมนุษย์นกหรือกินรี จึงมีวิชาฟ้อนรำ ที่ถ่ายทอดรูปแบบของกินรีมาใช้เพื่อความอุดมสมบูรณ์ เช่น ระบำตัวกิ้งกิงกะหล่า ของไทใหญ่, ระบำโนรา ของชาวไทยปักษ์ใต้ และ ระบำมโนห์ราบูชายัญ ของราชสำนักไทยภาคกลาง 

ระบำเหล่านี้ เดิมล้วนเกิดจากพิธีกรรมจำลองแบบการร่ายรำของกินรี เพื่อผลทางด้านความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น

ระบำเหล่านี้ ต่อมาก็จะทำให้เกิดไสยเวทในการสร้าง และเสกเครื่องรางที่เป็นรูปกินรีโดยเฉพาะ เป็นสายวิชาหนึ่งที่ทำกันมานานแล้ว เพื่อผลทางความอุดมสมบูรณ์ และเมตตามหานิยม โดยที่เด่นชัดที่สุดนั้นสืบทอดกันอยู่ในพวกครูหมอโนราทางภาคใต้ของไทย

ดังมีตัวอย่างอยู่ในปัจจุบัน มักเป็นเครื่องรางรูปกินรีขนาดห้อยคอและขนาดพกพา เป็นรูปกินรีเลียนแบบศิลปะเขมร แม้ว่าสายวิชาที่ใช้ จะเป็นไสยศาสตร์ไทยปักษ์ใต้และมลายูก็ตาม ปัจจุบันนี้ก็ยังมีการสืบทอดกันอยู่ครับ

ส่วนสายวิชาการเสกทำรูปกินรีอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งเป็นของไทยภาคกลางและภาคเหนือนั้น แตกต่างออกไป

ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจว่า เมื่อกินรีที่แท้จริงเป็นมนุษย์เหมือนเรา เพียงแต่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง และมีความแตกต่างจากเราเพียงที่ผมได้อธิบายไปแล้วเท่านั้น

จึงนับว่าเป็นไปไม่ได้เลยครับ ที่จะมีสายวิชาใดสามารถชักนำ หรือ ประจุ กินรีที่ยังมีชีวิต คือยังคงมีกายหยาบที่ต้องกิน ต้องนอน หายใจ และสืบพันธุ์เหล่านั้น ใส่ลงในประติมากรรมใดๆ ได้

เหมือนกับเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเสกให้เพื่อนของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ เข้าไปสิงอยู่ในเครื่องรางหรือรูปปั้นใดๆ ก็ตาม นั่นละครับ

ดังนั้น สายวิชาที่สร้างและเสกกินรีที่ทำกันอยู่ในภาคกลางของไทยบ้าง ภาคใต้บ้าง จึงต้องอาศัยพลังจาก วิญญาณของกินรีที่ตายไปแล้ว และยังมิได้เกิดใหม่ เท่านั้น

ดวงวิญญาณของกินรีเหล่านี้ จะซ้อนอยู่ในมิติของกินรีที่ยังมีชีวิตอีกทีหนึ่ง เหมือนกับดวงวิญญาณของคนเราที่ตายไปแล้ว ซึ่งซ้อนอยู่กับมิติของเรานั่นเอง

และอิทธิฤทธิ์ หรือพลังความสามารถของดวงวิญญาณกินรีเหล่านี้ ก็จะแตกต่างกันไปเป็นลำดับชั้น เหมือนดวงวิญญาณของคนเราครับ

คนเราที่สมัยมีชีวิตอยู่ ใครมีต้นทุนทางพลังจิต อิทธิวิธี หรือตบะเดชะมากกว่าคนอื่นแค่ไหน เมื่อตายไปแล้ว ก็เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์ มีพลังอำนาจ อยู่ในลำดับชั้นที่สูงกว่าวิญญาณคนสามัญธรรมดาทั่วไปมากเท่านั้น

ดวงวิญญาณของคนเรา ที่มีพลังอำนาจมาก ๆ มีบารมีมาก มีผู้ยกย่องบูชามาก ผ่านกาลเวลายาวนาน ก็จะเลื่อนชั้นสูงขึ้นเป็นเทพ ดังที่ผมได้อธิบายแล้วใน คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์

ดวงวิญญาณของกินรี หรือแม้แต่วิทยาธร นางอัปสร คนธรรพ์ ยักษ์ ก็เช่นกัน เป็นไปตามกฎเดียวกันนี้เหมือนกันหมดครับ

อมนุษย์ตนใด ที่ตอนมีชีวิตไม่เก่ง ไม่มีฤทธิ์มาก ตายแล้วก็เป็นแค่ดวงวิญญาณสามัญ รอไปเกิดตามกรรมลิขิต

แต่ใครที่สั่งสมบารมีไว้มาก เป็นที่นับถือบูชาในหมู่อมนุษย์ด้วยกัน ตายแล้วก็เป็นดวงวิญญาณที่มีฤทธิ์มาก

และเมื่อยิ่งได้รับการบูชาไปนานวันเข้า ก็ยิ่งมีฤทธิ์สูงขึ้น จนใกล้เคียงกับเทพบนสวรรค์

เหล่าอมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมบูชาดวงวิญญาณเหล่านี้ ในฐานะของเทพกินรี เทพวิทยาธร เทพคนธรรพ์ เทพอัปสร และเทพอสูร หรือเทพยักษ์ เหมือนที่พวกเรากราบไหว้บูชาองค์เทพต่างๆ ที่ล้วนเคยเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเรา

วิธีการที่ผูกพันกับดวงวิญญาณของเทพกินรี ในระดับต่างๆ กันเช่นนี้ จึงเหมือนกับการทำเครื่องรางที่เกี่ยวข้องกับอมนุษย์ชนิดอื่นๆ ที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วด้วยครับ


ล็อคเก็ตกินรี หลังนางกวัก พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง

โดยวิธีการเสกสร้างประติมากรรมและเครื่องรางรูปกินรีนั้น ที่นิยมทำกันมีอยู่สองรูปแบบ คือ

๑) ผูกยันต์และคาถาขึ้น เพื่อดึงดูดปราณจากดวงวิญญาณของกินรีที่ตายไปแล้วมาสถิต แล้วปรุงแต่งให้มีอาการสามสิบสอง ให้คล้ายกับสภาวะของกินรีเหล่านั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่

วิธีนี้ จะได้แต่วิญญาณของกินรีในระดับสามัญ ไม่มีฤทธิ์มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีพลังทางเมตตามหานิยม และความอุดมสมบูรณ์ตามสภาวะของกินรีเหล่านั้น ที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทุกประการ

๒) ใช้คาถาอัญเชิญปราณ และดวงวิญญาณของกินรีที่ตายไปแล้วมาสถิตในเครื่องราง หรือรูปประติมากรรมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยตรง

ซึ่งแต่ละสำนัก จะมีเคล็ดลับในการอัญเชิญ และการประจุที่จะมีรูปแบบเฉพาะ เพื่อให้เกิดพลังจิตที่จะเชื่อมโยงระหว่างผู้ทำพิธี ในมิติของมนุษย์ธรรมดาสามัญ และดวงวิญญาณของกินรี ที่ซ้อนอยู่ในมิติของกินรีที่ยังมีชีวิตอีกทีหนึ่ง

วิธีนี้ จะคล้ายกับการเทวาภิเษกเทวรูป โดยอัญเชิญองค์เทพต่างๆ มาทรงรับ ทรงเจิม และประจุปราณของแต่ละองค์เข้าสู่เทวรูปนั่นเองครับ

และเพราะวิธีการเช่นนี้ จึงทำให้ได้มาแต่ดวงวิญญาณของกินรีในชั้นเทพ หรือที่เรียกกันว่า เทพกินรี

เพราะวิญญาณกินรีชั้นเทพเท่านั้นละครับ ที่จะมีฤทธิ์และพลังพอที่จะเลือกว่า จะตอบรับหรือไม่ตอบรับการเชิญ และโคจรจากมิติเดิมของตนเข้าสู่มิติของเราเพื่อรับและสถิตในเครื่องราง หรือ ประติมากรรมที่เราจัดเตรียมไว้ได้

ต่างกันเพียงแต่ว่า ถ้าเป็นองค์เทพชั้นสูง เมื่อทรงตอบรับการอัญเชิญแล้ว แต่ละองค์ย่อมทรงรับ ทรงเจิม และประจุปราณของแต่ละองค์เข้าสู่เทวรูปได้ทีละเป็นร้อยเป็นพันองค์ ขอให้เป็นเทวรูปที่สร้างอย่างถูกต้อง มีพิธีกรรมที่ถูกต้องก็พอ

ในขณะที่เทพกินรีแต่ละองค์ (รวมทั้งดวงวิญญาณอมนุษย์ชั้นเทพอื่นๆ โดยทั่วไปด้วย) ถ้าใช้วิธีเดียวกันนี้ จะตอบรับ และสถิตในประติมากรรมขนาดบูชาขึ้นไปได้เพียง ๑ องค์เท่านั้น

และถ้าเป็นการแบ่งปราณเข้าประจุในเครื่องรางต่างๆ ก็จะทำได้อย่างมากที่สุดไม่เกิน ๘ ชิ้น ต่อ ๑ เทพกินรีหรือเทพอมนุษย์ ๑ องค์เท่านั้นครับ

นั่นก็เพราะ แม้เทพกินรีและดวงวิญญาณอมนุษย์อื่นๆ ที่เป็นชั้นเทพ แม้จะมีฤทธานุภาพใกล้เคียงเทพบนสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลจากเทพชั้นสูงอยู่มาก จึงไม่มีพลังหรือปราณมากเพียงพอ ที่จะแบ่งไปประจุไว้ในเทวรูปได้ครั้งละหลายๆ องค์ได้

ส่วนดวงวิญญาณของกินรีชั้นสามัญทั่วไป ยิ่งทำไม่ได้อย่างนี้เป็นอันขาด ต้องใช้วิธีผูกยันต์ผูกหุ่นลงอักขระเพื่อไปดึงดูดมาเท่านั้นละครับ เพราะไม่มีแม้แต่ฤทธิ์เดชหรือพลังมากพอ ที่จะตัดสินใจตอบรับหรือไม่ตอบรับพิธีกรรมการอัญเชิญใดๆ ที่ส่งไปจากมิติของเราได้

การเทวาภิเษกเทพกินรี ตามสายวิชาที่ผมได้รับสืบทอดมาจาก พ่อครูด้วง เกจิอาจารย์สายเสน่ห์ที่ไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ ณ จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อราวๆ สามสิบกว่าปีมาแล้ว ก็เป็นสายวิชาที่มีรูปแบบดังที่ได้อธิบายไปแล้วนี้เหมือนกันครับ

โดยสายวิชาของพ่อครูด้วงนั้น สามารถประจุเข้าสู่ประติมากรรม และเครื่องรางรูปกินรีได้ทุกรูปแบบ แต่จะต้องปรับเปลี่ยนลำดับขั้นตอน และคาถาที่ใช้ให้แตกต่างกันไป ตามลักษณะของประติมากรรมและเครื่องรางเหล่านั้น




และก็ยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า ในการเสกเทวรูปกินรีแต่ละองค์ สามารถประจุดวงวิญญาณกินรีชั้นเทพได้เพียง ๑ องค์ต่อ ๑ ดวงวิญญาณเท่านั้น และถ้าเป็นเครื่องรางขนาดห้อยคอหรือพกติดตัว ก็จะทำได้เพียง ๘ ชิ้น ต่อ ๑ ดวงวิญญาณเท่านั้นเช่นกันครับ

การอัญเชิญ และการประจุดวงวิญญาณเทพกินรี ตามสายวิชาที่ผมได้รับมานี้ ไม่มีขั้นตอนใดที่จะเป็นการบังคับเทพกินรีผู้ตอบรับการอัญเชิญได้ ว่าเมื่ออัญเชิญแล้วต้องมาเสมอไปนะครับ

ดังนั้นถ้าหากว่าเทวรูปที่นำเข้าพิธี สร้างไม่ถูกหลัก หรือมีข้อบกพร่องมากเกินไป เมื่อทำพิธีอัญเชิญแล้ว อาจไม่มีเทพกินรีองค์ใดตอบรับเลยก็ได้

แต่ถ้าเทวรูปที่เข้าพิธีมีลักษณะถูกต้อง สีสันสวยงาม เทพกินรีอาจตอบรับการเชิญมาเข้าพิธีทีเดียวหลายองค์ เป็นลักษณะการชักชวนกันมา เพื่อมาเลือกเทวรูปที่ตรงกับความต้องการของแต่ละองค์มากที่สุด ก็เป็นไปได้ และเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งด้วยครับ

ดังเช่นครั้งหนึ่งในปี ๒๕๕๗ ที่ผมทำพิธีเสกเทวรูปกินรี ๓ องค์ ปรากฏว่า มีเทพกินรีตอบรับการอัญเชิญมาในพิธีเพื่อเลือกเทวรูปมากถึง ๘ องค์ด้วยกัน เป็นการอัญเชิญเทพกินรีได้จำนวนมากที่สุดในชีวิตของผม





และเมื่อเทพกินรี เป็นดวงวิญญาณชั้นสูง ซึ่งมีอำนาจเต็มในการที่จะตัดสินใจรับการอัญเชิญมาเลือกเทวรูปของตน เทพกินรีจึงมีอำนาจที่จะตัดสินใจรับ หรือไม่รับเทวรูปที่เข้าพิธี ได้ตามความสมัครใจด้วยนะครับ

ดังเช่นที่ผมสามารถอัญเชิญมาได้ถึง ๘ องค์ ก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า เชิญมาแล้วจะต้องมี ๓ องค์ยอมรับเทวรูปที่เข้าพิธีในขณะนั้น ถึงจะมากัน ๘ องค์ พอมาเห็นเทวรูปแล้ว ถ้าไม่เป็นที่พอใจ ก็อาจกลับไปสู่ภพภูมิของตนทั้ง ๘ องค์ก็ได้

โดยผมเองก็ไม่มีปัญญาที่จะเหนี่ยวรั้ง หรือล่อหลอกให้เทพกินรีองค์ไหนยอมรับเทวรูปที่เข้าพิธีได้ เพราะสายวิชาของผมไม่มีการบังคับ ไม่มีการครอบงำ หรือล่อหลอกใคร

นอกจากนั้น เมื่อเทพกินรีแต่ละองค์รับเทวรูปไปแล้ว ถ้าผู้บูชานำไปบูชาไม่ดี ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ เทพกินรีที่เลือกเทวรูปดังกล่าวแล้ว ก็อาจละทิ้งเทวรูปนั้นได้ทันที โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เพราะเทพกินรีนั้น ชอบความเป็นอิสระ และจะผูกพันก็เฉพาะคนที่ใส่ใจ หรือดีกับตนเท่านั้นครับ

คนที่บูชาเทพกินรี ที่ผ่านการเสกโดยสายวิชาของผม จึงจำเป็นต้องมีวินัยในการบูชา และเต็มใจที่จะบูชาจริงๆ ไม่ใช่เห็นใครมีก็อยากมีบ้าง เสร็จแล้วก็เอาไปบูชาทิ้งๆ ขว้างๆ จนเทพกินรีละทิ้งเทวรูปนั้น

ซึ่งถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จะเป็นอาถรรพณ์ที่ทำให้คนคนนั้นกลายเป็นบุคคลต้องธรณีสาร ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ หรือมีแต่คนไม่ดีมาเกี่ยวข้อง และบังเกิดโชคร้ายต่อเนื่อง หาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้อีกต่อไป

ในขณะที่ผู้บูชาอย่างถูกต้อง เทพกินรีก็จะดลบันดาลให้ผู้นั้นถึงพร้อมด้วยเมตตามหานิยม มีเสน่ห์เป็นที่รักแก่ผู้คนทั้งหลาย ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก กามารมณ์ และครอบครัว รวมทั้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตความเป็นอยู่ โดยไม่มีผลเสียหรือเข้าตัวภายหลังเหมือนกับการบูชาสิ่งที่เป็นมนต์ดำครับ

ทีนี้ ก็อาจมีคำถามว่า ในเมื่อกินรีตัวจริงคือหญิงสาวที่มีรูปกาย มีแขนขาเหมือนมนุษย์เรา แล้วประติมากรรมรูปกินรีที่เป็นคนครึ่งนก ที่ถอดแบบมาจากภาพไทยโบราณของเรา จะเป็นรูปแบบที่ถูกต้อง จนเทพกินรียอมรับเลือกเป็นเทวรูปของตนได้อย่างไร?

คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับอมนุษย์ กับเทพเจ้าต่างๆ ในทางมายาศาสตร์และเทวศาสตร์นั้น ไม่ใช่การลอกเลียนแบบของจริงไปเสียทั้งหมดในลักษณะ Realistic ครับ

แต่คือการบ่งชี้ด้วยประติมานวิทยา (Iconography) คือมีการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้เข้าใจตรงกันว่า คือ เทพองค์นั้น หรืออมนุษย์ชนิดนั้น

ไม่มีช่างคนไหนในโลกนี้ ที่สามารถสร้างเทวรูปเลียนแบบพระคเณศ พระศิวะ หรือพระลักษมีตามทิพยภาวะที่แท้จริงของแต่ละองค์ได้ฉันใด ก็ไม่มีใครคนไหนที่จะสร้างประติมากรรมเลียนแบบกินรีในป่าหิมพานต์ได้ตามความเป็นจริงฉันนั้นครับ

สิ่งที่ทำได้ ก็เพียงการบ่งชี้ด้วยลักษณะเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันเท่านั้น

ดังเช่นประติมากรรมหญิงสาวครึ่งคนครึ่งนก ซึ่งเป็นที่เข้าใจตรงกันของผู้พบเห็นว่า หมายถึง กินรี แม้กินรีตัวจริงจะมิได้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อรูปแบบดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของพวกเรา และโบราณาจารย์ของเราสามารถทำให้มันเป็นที่ยอมรับของดวงวิญญาณเทพกินรีที่อยู่ในมิติอื่นได้ มันก็ถือว่าเป็นรูปแบบที่ถูกต้อง




อย่างไรก็ตาม ผมรับทำพิธีเทวาภิเษกเทวรูปกินรี ที่ผู้บูชาไปเลือกหาด้วยตนเองจากร้านค้าต่างๆ แล้วติดต่อผ่านทาง Blogger ของ ศรีคุรุเทพมนตรา เท่านั้นนะครับ มิได้มีการจัดสร้างเทวรูปกินรี ตามแบบอย่างที่ผมสืบทอดมาโดยเฉพาะ เพราะมิได้มีทุนรอนมากพอที่จะกระทำ ในขณะที่เขียนบทความนี้

ผู้นำเทวรูปกินรีไปให้ผมทำพิธี จึงควรเลือกเทวรูปที่มีตำหนิ หรือข้อบกพร่องน้อยที่สุด รวมทั้งจะต้องทำการล้างสีเดิมออกให้หมด ให้เป็นเทวรูปเปล่าๆ แล้วนำไปให้ช่างฝีมือตกแต่งให้ถูกต้องต่อไป ตามคำแนะนำของ Blogger ศรีคุรุเทพมนตรา ก่อนจะส่งให้ผมทำพิธี (ยกเว้นเทวรูปราคาแพงที่ทำสีมาอย่างดี สวยงามเพียงพอแล้ว)

เพราะเหตุว่า เทพกินรี จะเลือกเทวรูปแต่ละองค์ ตามความพอใจดังที่ได้อธิบายไปเท่านั้น

ถ้าไม่เป็นที่พอใจของเทพกินรีองค์ใดเลย ก็เท่ากับว่า ถ้าเทวรูปนั้นเสกไม่ได้ หรือเสกไม่ผ่าน ผมก็จำเป็นต้องส่งคืนให้ผู้บูชานะครับ แม้ว่าผู้บูชาทั่วไป จะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเทวรูปนั้นผ่านการเทวาภิเษกหรือไม่ก็ตาม ผมก็ไม่สามารถหลอกลวงผู้บูชาได้

เพราะก็อย่างที่บอกแล้ว ผมขายเฉพาะสิ่งที่ทำได้จริง ตามหลักวิชาที่ได้รับการสืบทอดมาเท่านั้น


...............................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


26 ความคิดเห็น:

  1. เป็นความรู้ใหม่จริงๆ ค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆ ^0^

    ตอบลบ
  2. อาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาเสกเทพกินรีให้ลูกศิษย์คนไหนมั้ยคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. จริงๆ อาจารย์ก็ตั้งใจไว้แล้วค่ะ แต่ไม่มีใครมีวาสนา

      ลบ
  3. ใครๆ ก็เห็นและรู้จักกินรีกันทั้งนั้น แต่ไม่รู้เลยว่า กินรี จะมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. จริงค่ะ ยิ่งวิชาการเสกเทพกินรีนี่จัดว่ารู้กันอยู่ในวงแคบมากๆ ส่วนที่อาจารย์อธิบายในเรื่องความเป็นจริงของกินรี รวมทั้งอมนุษย์ต่างๆ ในป่าหิมพานต์นี่ ก็ต้องบอกว่า แทบจะไม่มีใครล่วงรู้หรือสามารถอธิบายได้อย่างงี้มาก่อนเลยค่ะ ^ ^

      ลบ
  4. เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เราก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องกินรี อยากได้ความรู้เรื่องกินรีอีก อาจารย์ชวนชี้แนะหน่อยค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องขอโทษอย่างแรงค่ะที่ตอบช้า...บางทีระบบมันไม่แจ้งค่ะ ว่ามีคอมเมนต์เข้ามา กว่าจะรู้ก็ผ่านไปเป็นเดือนๆ

      อยากได้ในประเด็นไหนก็บอกไว้ตรงนี้ได้เลยค่ะ อาจารย์จะมาตอบให้ ^ ^

      ลบ
  5. ก็ดีนะคะแต่ว่าบ้างที่จะเป็นการขังเค้าไว้โดยไม่จำเป็นหรือเปล่าละคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ลองอ่านดูอีกทีนะคะ ...อาจารย์เขียนว่าเป็นการเชิญเค้ามารับเทวรูป แล้วถ้าบูชาเค้าไม่ดี เค้าอยากจะไปเมื่อไหร่เค้าก็ไปได้นะคะ

      ถ้าเป็นการกักขัง ตรึงไว้ด้วยอาคม แบบกุมารทอง เค้าจะทำแบบนี้ไม่ได้้เลยค่ะ

      ลบ
  6. อาจารย์ รบกวนขอบทบูชาเทพกินรีได้มั้ยค่ะ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. บทบูชาเทพกินรีแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน บทของอาจารย์ก็จะใช้ได้เฉพาะกับองค์เทพกินรีที่อาจารย์เสกเท่านั้นค่ะ ส่วนบทรวมๆ ไม่มีค่ะ

      ลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ29 กรกฎาคม 2561 เวลา 08:56

    อยากได้ต้อง ทำไง ครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องไปหารูปหล่อกินรีมาให้อาจารย์เสกให้ค่ะ จะเป็นวัสดุไฟเบอร์กลาส เรซิน ทองเหลือง หรือเนื้อเซรามิกก็ได้ค่ะ

      และจะต้องไม่มีการประดับเพชรพลอยแบบที่วัดราชนัดดานะคะ

      ถ้าเนื้อทองเหลือง ต้องไม่เอาแบบที่ใช้ตกแต่งบ้าน เช่น ถือคบไฟ

      ที่สำคัญ ทุกแบบต้องยืนตัวตรงๆ เอี้ยวตัวได้นิดหน่อย แต่ไม่่ใช่หันไปอีกทางเลย

      ลบ
  8. เป็นความรู้ที่ดีและน่าศึกษามากๆครับน่าสนใจ เพราะผมก็เพิ้งได้มาองค์นึงขนาดห้อยคอพอดี พอเห็นแล้วรู้สึกชอบท่านมากเก่าและขลังดีเหมือนเทวรูปเก่าขนาดห้อยคอน่ารักครับ แต่ไม่รู้วีธีบูชายังงัยจนเปิดเวปและได้อ่านความรู้ของอาจารย์นี่ล่ะครับ ขอบคุณมากครับได้ความรู้เยอะเลยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. โชคดีมากมายค่ะ เพราะเป็นอะไรที่หายากมาก ยิ่งถ้าเป็นแบบยืนทรงเครื่องเขมรโบราณหันหน้าตรงกางปีก อันนั้นจะเป็นศาสตร์โนราของทางปักษ์ใต้ เมตตาและป้องกันดีสุดๆๆๆ ค่ะ

      ลบ
  9. มีบทสวดบูชากินรีไหมค่ะ อยากได้คะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. บทบูชาเทพกินรีแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน บทของอาจารย์ก็จะใช้ได้เฉพาะกับองค์เทพกินรีที่อาจารย์เสกเท่านั้นค่ะ ส่วนบทรวมๆ ไม่มีค่ะ

      ลบ
    2. อยากได้บทสวดต้องทำไงค่ะ หรืออคง์กินรีขนาดพกใส่กระเป๋านะค่ะ

      ลบ
    3. บทบูชาเทพกินรีแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน บทของอาจารย์ก็จะใช้ได้เฉพาะกับองค์เทพกินรีที่อาจารย์เสกเท่านั้นค่ะ ส่วนบทรวมๆ ไม่มีค่ะ

      ลบ
  10. ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะเลย ขอบคุณค่า 🙏🙏🙏

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกเช่นเดียวกันค่ะ

      ลบ
  11. ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ แล้วถ้าเราบูชารูปภาพได้มั้ยค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. บูชารูปภาพไม่ค่อยมีผค่ะ ะอกจากเป็นผ้ายันต์ ซึ่งสำนักเราไม่ทำ

      ลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ21 เมษายน 2562 เวลา 02:35

    สามารถหาซื้ได้จากที่ไหนบ้างคะหายากมากค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. วัดราชนัดดาเคยมีค่ะ ไม่รู้จะมีรุ่นใหม่ๆ ออกมาหรือยัง

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น