วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ไก่มหาลาภ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





ตรุษจีนปี ๒๕๖๐ หรือปีที่ผมเขียนบทความนี้ เป็นปีระกา ธาตุไฟ ผมเห็นบางเพจใน facebook เรียกว่า ปีไก่ย่างรมควัน

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในบทความต่อไปนี้ ใช้ได้ตลอดไปครับ
             
เพราะผมตั้งใจกล่าวถึงประติมากรรม และเครื่องรางรูปไก่ ทั้งไก่มหาลาภ หรือไก่ที่เป็นมงคลตรงกันทั้งในคติจีนและไทย คือ ไก่แจ้
             
และไก่ที่เป็นอัปมงคล แต่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกให้เชื่อว่าเป็นมงคล คือ ไก่ชน
             
ในวัฒนธรรมจีนโดยทั่วไป ไก่เป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย และมีบุคลิกภาพของความเที่ยงตรง ไว้วางใจได้ เพราะมันขันบอกเวลาตอนเช้าอยู่เสมอครับ
         
ชาวจีนและชนกลุ่มน้อยหลายพวกทางตอนเหนือ มักเล่ากันว่า มีไก่อยู่บนดวงอาทิตย์ ภาพเขียนโบราณของจีน เวลาเขียนรูปดวงอาทิตย์ บางภาพก็จะเขียนรูปไก่ไว้ข้างใน ขณะที่ดวงจันทร์ เขียนรูปกระต่ายไว้ข้างใน

ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มทางตอนใต้ของจีน เช่นพวกหลอหลอ ก็มีตำนานว่าแม่ไก่คู่หนึ่งเป็นต้นกำเนิดมนุษย์

แม่ไก่ที่ว่านี้ตัวหนึ่งมีสีขาว อีกตัวสีดำ แต่ละตัวมีไข่ออกมา ๙ ฟอง ไข่ของแม่ไก่สีขาวฟักออกมาเป็นคนดีทั้งหมด ไข่ของแม่ไก่สีดำฟักออกมากลายเป็นคนชั่วทั้งหมด
         
คำว่าไก่ ในภาษาจีนออกเสียงว่า จี  () คนจีนมองว่าคล้ายกับเสียงของคำว่า จี๋ ในคำว่า จี๋เสียง ซึ่งแปลว่าสิริมงคลหรือโชคดี
             
ส่วนไก่ตัวผู้  เรียกว่า กงจี (คำว่า กง นั้นก็ไปพ้องเสียงกับคำว่า กงหมิง ที่แปลว่ายศถาบรรดาศักดิ์ หรือตำแหน่งทางราชการอีก 
             
ดังนั้น มายาศาสตร์จึนจึงจัดให้ไก่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล และถ้าจะเน้นเรื่องของความมียศมีตำแหน่งแล้ว ก็จะใช้รูปไก่ตัวผู้ที่กำลังขัน หรือ กงจีหมิง  หมายถึงความสำเร็จและชื่อเสียง

รูปไก่ตัวผู้นี้ ยังมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือสามารถป้องกันมิให้เกิดการนอกใจระหว่างสามีภรรยา หรือขจัดเรื่องชู้สาวได้ด้วยนะครับ 
              
การตั้งประติมากรรมไก่ทองตัวผู้ไว้ในบ้าน ก็จะทำให้ได้รับผลถึง ๒ ประการดังกล่าวแล้ว



         
นอกจากนี้ ยังมีบางตำรากล่าวว่า ไก่ตัวผู้สามารถขับไล่ปีศาจได้ โดยเฉพาะไก่ดำ เชื่อกันว่าเลือดของมันมีพลังอำนาจขับไล่ภูตร้ายทั้งปวง 
            
คนจีนจึงไม่นิยมรับประทานไก่ตัวผู้ แม้ในเทศกาลตรุษจีนก็ตาม
             
อีกทั้งยังนิยมทำเครื่องรางรูปไก่ ซึ่งบางทีก็ทำอย่างประณีตเหมือนจริงมาก เป็นเครื่องรางที่ทำมาเก่าแก่กว่านักษัตรอื่นๆ เขาถือกันว่าทั้งไล่ผีได้ และกันไฟได้ในขณะเดียวกันครับ       

การที่ไก่สามารถขจัดสิ่งชั่วร้าย ทำให้ในช่วงเทศกาลปล่อยผีของชาวจีน คือวันที่ ๕ เดือน ๕ ตามปฏิทินจีน ซึ่งมีประเพณีนำรูปสัตว์มีพิษทั้ง ๕ คืองู แมงป่อง ตุ๊กแก กบ และตะขาบ ขึ้นปิดไว้เหนือขอบประตูร่วมกับยันต์โป๊ยก่วย เพื่อสลายพลังชั่วร้ายนั้น บางทีก็เปลี่ยนยันต์โป๊ยก่วยเป็นรูปไก่สีแดง เพื่อให้มันจิกกินหรือฆ่าสัตว์พิษเหล่านั้นแทน
         
และถ้าเราลองสังเกตกันให้ดีนะครับ จะเห็นว่าบนฝาโลงศพ หรืออาคารสุสานของจีนบางแห่งมีรูปไก่ขาวอยู่ 
             
สัญลักษณ์เช่นว่านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการลงอาคม เพื่อสะกดวิญญาณตามหลักไสยศาสตร์จีนเช่นกัน
         
สัตว์มงคลชนิดนี้ยังนำมาใช้เสี่ยงทายเพื่อการพยากรณ์ได้ด้วย โดยนิยมกันอยู่ทางภาคใต้ของจีนและเวียดนาม

การทำนายก็คือ เตรียมไก่ตัวย่อมๆ ใส่กรงไว้ กับกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่เขียนข้อความหรือตัวอักษรต่างๆ ถึงเวลาก็เปิดกรงให้ไก่ออกมาเลือกจิกกระดาษตามใจชอบ ได้แผ่นไหนก็นำมาตีความ หรือทำนายไงครับ ว่ากันว่าแม่นมากด้วย
            
ในทางโหราศาสตร์ก็ถือว่า ไก่เป็นสัตว์ประจำนักษัตรลำดับที่ ๑๐ ในดารามณฑลของจีน ตรงกับปีระกาของไทย อันนี้คงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ


แจกันไก่วิเศษ เทียนจีจูน

ส่วนไก่ป่า ในคติจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเงียบและความสงบสุข มักจะใช้ร่วมกับภาพของห่าน  เป็ด และนกพิราบ ซึ่งแทนความหมายเดียวกัน
            
ทั้งหมดที่บรรยายมานี้ คือ ไก่แจ้ หรือไก่ป่าที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนไก่แจ้ เท่านั้นนะครับ 
      
คนไทยเราแต่โบราณ ก็มีทัศนคติที่ดีกับไก่เช่นเดียวกัน เพราะเป็นสัตว์ที่มีแต่คุณประโยชน์ และคนไทยเราก็ชอบชนไก่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก 
          
แต่ในทางมายาศาสตร์ไทยเรา ก็เหมือนกับจีน คือเน้นถึงคุณสมบัติของไก่แจ้เท่านั้น 
            
ไสยเวทไทยไม่สนใจความกล้าหาญ หรือความเป็นนักสู้ของไก่ เรามองแค่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะมันหากินเก่งมาก
             
และมันยังเป็นสัญลักษณ์ครอบครัวที่ยอดเยี่ยม เพราะไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งอาจมีตัวเมียได้หลายตัว แต่มันก็ให้การดูแลได้อย่างทั่วถึง คุณสมบัติเช่นนี้ละครับ ที่ต้องใจชายชาตรีสมัยก่อนยิ่งนัก

ไสยศาสตร์ไทยโบราณ จึงมีการสร้างไก่พยนต์ สำหรับใช้ในทางเสน่ห์ อย่างใน ลิลิตพระลอ ไงครับ



พระลอตามไก่ ภาพจิตรกรรมโดย อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต
         
แต่การสร้างวัตถุมงคลรูปไก่แจ้ของไทยเรานั้น เพิ่งมาแพร่หลายเห็นได้ชัดเจนเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง คุณประโยชน์ที่เน้นกันมากคือเรียกทรัพย์ เป็นเมตตามหานิยม จึงมีคำเรียกว่า ไก่มหาลาภ ดังกล่าวแล้ว
             
นอกจากนี้ พระเกจิอาจารย์หลายรูปก็ชอบสร้างไก่มอบให้ญาติโยมไปบูชาเพื่อเป็นเคล็ดเตือนใจให้ขยันทำมาหากินเหมือนไก่ หรืออย่างน้อยก็ควรรู้จักตื่นเช้าเหมือนไก่ อย่าเอาแต่ขี้เกียจนอนตื่นสาย
         
ไก่มหาลาภที่สำนักต่างๆ สร้างออกมาในยุคปัจจุบันนี้ แต่ละสำนักมีการออกแบบแตกต่างกันไป ส่วนมากจะเน้นความน่ารักน่าเอ็นดู และไม่เคยมีใครสามารถสร้างไก่มหาลาภออกมาให้ดูน่าขยะแขยง หรือน่ากลัวได้เลย จึงเป็นสัตว์มงคลที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่งครับ            

อย่างไรก็ตาม พระเกจิอาจารย์ที่สร้างไก่ขนาดบูชาออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็เห็นจะมีแต่ พระครูสุทธิวราภรณ์ หรือ หลวงปู่สรวง วรสุทโธ เจ้าอาวาส วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี


ไก่มหาเศรษฐี ขนาดบูชา หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ๋

ท่านได้รับสมญาว่าเป็นเจ้าตำรับ ไก่ฟ้าพญาเลี้ยง ได้เรียนวิชาตำราโบราณตะกรุดไก่แก้ว-ไก่เถื่อน สาลิกา สีผึ้งพญาหงส์ทองจาก อาจารย์ทา ฆราวาสชาวเขมรที่ จ.ศรีสะเกษ และ อาจารย์เพ็ง จ.อุบลราชธานี ก็นับว่าเป็นผู้สืบสานวิชาการสร้างสัตว์มงคลที่เป็นสัตว์ปีกโดยเฉพาะ

ไก่ที่ท่านสร้างออกมานี้ เป็นรูปไก่แจ้ระบายสีสวยงาม ยืนเหยียบก้อนทองจีน หรือ อ่วงป้อ มีทั้งขนาดบูชา ๕ นิ้ว และห้อยคอ เรียกกันว่า ไก่มหาเศรษฐี ปัจจุบันเริ่มหายากแล้วครับ

แม้แต่รุ่นล่าสุด คือ รวมอยู่ในวัตถุมงคลรุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ พ.ศ.๒๕๕๗ ที่ผมได้มาแต่ภาพหุ่นต้นแบบนี้ ก็เริ่มจะหาไม่ง่ายแล้วเช่นกัน


ต้นแบบไก่รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์

ส่วนขนาดห้อยคอ ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจนั้น ก็คือ ไก่ฟ้ามหาลาภ ของ หลวงปู่เช้า อัตตจิตโต วัดห้วยลำใย อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่สืบสานวิทยาคมสา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ และสาย หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


ไก่ฟ้ามหาลาภ รุ่น ๒ เนื้อขาปิ่นโต ขนาดห้อยคอ
หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย

ไก่ฟ้ามหาลาภของหลวงปู่เช้า ออกแบบได้สวยงามสะดุดตา เพราะเอาลวดลายแบบไทยโบราณมาใช้ อานุภาพเด่นทางโภคทรัพย์ และยศถาบรรดาศักดิ์ คล้ายไก่ในคติจีน ปัจจุบันสร้างออกมาหลายรุ่นแล้ว ที่แปลกคือแม้จะเป็นขนาดห้อยคอ ก็ต้องเลี้ยงด้วยข้าวเปลือก ๑ กำมือ กับน้ำเปล่ามิให้ขาด

นอกจากนี้ ก็มี ไก่รวยทรัพย์ ของ หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก วัดตะโก อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างเมื่อพ.ศ.๒๕๕๗  เป็นไก่ขนาดห้อยคอแต่งด้วยลายไทยเหมือนของหลวงปู่เช้า แต่รายละเอียดไม่เหมือนกัน และหรูหรามาก เพราะมีแบบที่ชุบเงินชุบทองลงยา ๗ สีด้วย


ไก่รวยทรัพย์ ชุบทองลงยา ๗ สีฝังผงไม้ตะกรุดเงิน
ขนาดห้อยคอ หลวงพ่อรวย วัดตะโก

อย่างไรก็ตาม แม้คติความเชื่อในเครื่องรางรูปไก่ของจีนและไทยจะเหมือนกัน แต่การใช้งานจริงๆ นั้นต่างกันนะครับ

ถ้าเป็นไก่จีน ควรหันหน้าเข้าในตัวบ้านเสมอ ไม่ควรหันออกนอกบ้าน
           
ถ้าเป็นไก่ไทย ควรหันออกนอกบ้าน หรือหันหน้ารับทุกคนที่จะเข้ามาภายในร้านค้า
            
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะไก่จีนนั้นใช้เพื่อคุ้มครอง ส่วนไก่ไทยใช้เรียกคนเรียกโชคลาภ จุดประสงค์ต่างกันจึงมีวิธีใช้ต่างกันครับ
             
ส่วนที่เหมือนกัน ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้ หรือนึกไม่ถึง คือ ถ้าตั้งเครื่องรางรูปไก่ขนาดบูชา หรือขนาดตั้งโต๊ะไม่ว่าของจีนหรือไทย และไม่ว่าในสถานที่ใดก็ตาม

ห้ามปรุงหรือรับประทานอาหาร ที่ประกอบด้วยเนื้อไก่ในสถานที่นั้น หรืออย่างน้อยก็คือ ภายในห้องที่ตั้งเครื่องรางรูปไก่นั้น

หรือใครก็ตาม ที่พกพาเครื่องรางรูปไก่ ก็ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ในระหว่างพกพาเครื่องรางนั้น

เหตุผลก็คือ เราจะเอาปราณในด้านความอุดมสมบูรณ์ของเขามาเรียกทรัพย์รับโชค แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รับประทาน หรือปรุงอาหารที่มีปราณในด้านของความตาย กลิ่นคาวเลือด และจิตของเขา ที่กำลังตระหนกอกสั่นเมื่อความตายมาถึงตัว สองอย่างนี้มันไปด้วยกันไม่ได้นะครับ
            
เครื่องรางรูปไก่ แม้จะเป็นไก่มหาลาภหรือไก่เรียกทรัพย์ใดๆ ก็ตาม จึงไม่เหมาะกับร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านข้าวมันไก่ และก๋วยเตี๋ยวไก่ จะใช้ไม่ได้ผลเลยละครับ
            
ควรจะตั้งได้แต่ในร้านขนมหวาน และกิจการค้าขายโดยทั่วไป ที่เล่าลือกันว่าดีเป็นพิเศษ ก็กิจการจำพวกขายข้าว และผลิตผลทางการเกษตรนี่ละครับ เพราะมีปราณชนิดที่ไก่ชอบ



ไก่แจ้เซรามิก ฝีมือ อ.ทรงพันธ์ วรรณมาศ สถาบันราชภัฏเชียงราย
เมื่อราวๆ ๒๐ ปีมาแล้ว เป็นประติมากรรมที่ใช้ทางฮวงจุ้ยได้เช่นเดียวกับไก่จีน
            
ทีนี้ไก่ชนนั้น ถ้ามองโดยผิวเผิน ก็น่าจะเป็นสัตว์มงคลเช่นกัน เพราะมีความว่องไวปราดเปรียว มีนิสัยเป็นนักสู้ ไม่เคยเกรงกลัวใคร

และมีรูปร่างที่จัดว่าสง่างามได้ อย่างน้อยก็สวยกว่าเป็ด ซึ่งเป็นสัตว์มงคลในทางมายาศาสตร์จีน
             
แต่การที่ไก่ชน กลายเป็นอัปมงคล ไม่ควรนำมาสร้างเป็นวัตถุมงคลใดๆ ไม่ใช่เพราะอุปนิสัย หรือพฤติกรรมของมันเอง
            
แต่เพราะพฤติกรรมของ คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันต่างหากล่ะครับ
             
ถ้าอยู่ในธรรมชาติ ไก่ชนมีโอกาสแสดงสัญชาติญาณของความเป็นนักสู้ไม่มากนัก เพราะมันขันประกาศเขตแดนของมันอยู่เสมอ ไก่ตัวอื่นก็ไม่ค่อยจะอยากล้ำแดนเข้าไปถ้าไม่จำเป็น หรือไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ที่จะต้องแย่งชิงตัวเมียกัน

ปราณของความเป็นนักสู้ จึงไม่ใช่ปราณหลักๆ ที่ไก่ชนต้องใช้อย่างเป็นปกติวิสัย
            
ไก่ชนเพิ่งจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนักสู้ ก็เพราะคนเรานี่แหละครับ ที่เอามันมาเลี้ยงเพื่อจะเอามาชนกับไก่ตัวอื่น เพื่อพนันขันต่อกัน
            
และไก่ชนในบ่อนนั้น ก็มีอยู่เสมอนะครับ ที่ตัวที่แพ้จะได้รับความตายเป็นสิ่งตอบแทน
            
ไม่ว่าจะตาย เพราะกองเชียร์เมามันกับความสยดสยองอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือเจ้าของแยกมันออกมาช้าเกินไป หรือเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไป หรือเจ้าของไม่อยากเลี้ยงไว้อีกต่อไปก็ตาม
           
ไก่ชนของไทย จึงเป็นอัปมงคล เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ประหัตประหารกันอย่างทารุณ ด้วยสัญชาติญาณดิบเถื่อน ของสัตว์ที่ถูกเลี้ยงมาเพื่อการนี้เพียงอย่างเดียว
            
ปราณที่ได้จากรูปปั้น หรือเครื่องรางอะไรก็ตาม ที่เลียนแบบไก่ชน จึงเป็นเท่ากับเป็นปราณของกลิ่นคาวเลือด ความตาย และอบายมุข การเอารูปปั้นไก่ชนไปตั้งไว้ที่ใด ก็จะได้ปราณชนิดเดียวกันนี้ไปหมักหมมอยู่ในสถานที่นั้น



             
อีกทั้งรูปปั้นไก่ชนของไทย เดิมก็ไม่ใช่เครื่องรางสำหรับเรียกโชคเรียกทรัพย์เข้าร้านค้า ดังที่นิยมซื้อหามาตั้งเป็นคู่หน้ากิจการร้านอาหารต่างๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้นะครับ
             
เดิมมันเป็นของแก้บน สำหรับถวายองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อดีตกษัตริย์ที่คนไทยเชื่อกันว่า ทรงโปรดการชนไก่
             
แต่ความเชื่อเช่นนี้ แท้จริงก็ไม่มีหลักฐานอันใดรองรับเลยครับ

ไม่มีหลักฐานใดๆ ในทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ รองรับการชนไก่ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งประทับในพม่า กับพระมหาอุปราชา

นอกจาก คำให้การของชาวกรุงเก่า ซึ่งน่าจะรวมไปถึง คำให้การของชาวบ้านที่ชอบเล่นไก่ชน และมีหลายอย่างชวนให้สงสัยว่า จะเป็นคำให้การที่เกิดขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ ไม่ใช่หลังเสียกรุงใหม่ๆ

นอกจากนี้ หลักฐานทางพม่ายืนยันว่า กีฬาไก่ชนเป็นกีฬาของชาวบ้าน ไม่ใช่ราชสำนัก จึงเป็นไปได้ยาก (ในความเป็นจริง) ที่จะมีการจัดให้มีการแข่งพนันไก่ชน ในเขตพระราชฐานของพม่า




แต่เมื่อภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ยังคงเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำ ก็ยิ่งทำให้ลัทธิถวายรูปปั้นไก่ชนยิ่งเติบโต มีการถวายไก่ชนขนาดต่างๆ ทั้งที่พระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และลามปามไปถึงพระราชานุสาวรีย์ของอดีตกษัตริย์พระองค์อื่น รวมทั้งอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญอื่น

ไม่เว้นแม้แต่พระราชานุสาวรีย์ของบูรพกษัตรีย์ คือ พระนางจามเทวี ที่ จ.ลำพูน

กลายเป็นทัศนะอุจาดทางสถาปัตยกรรม สร้างความเสียหายแก่บริเวณพระราชานุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์ทุกแห่ง ที่มักจะมีการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมได้ดีงามลงตัวอยู่แล้ว

เพราะเป็นการทำให้อนุสาวรีย์เหล่านั้น มีสภาพไม่ผิดอะไรกับร้านอาหาร คลับ บาร์ คาเฟ่ ที่นิยมเอาไก่ชนไปตั้งเรียกลูกค้าเข้าร้านน่ะแหละครับ

อีกทั้งไก่ชน มิได้เป็นเพียงทัศนะอุจาดทางสถาปัตยกรรมเท่านั้น

การเอาสัญลักษณ์ของสัญชาติญาณดิบเถื่อน การต่อสู้ประหัตประหาร กับสัญลักษณ์ของการพนัน เข้าไปสุมไว้ในสถานที่ใดมากๆ สถานที่นั้นก็จะเกิดการสั่งสมของปราณที่รุนแรง นองเลือด เข้าแทนที่พลังแห่งความสงบเย็นที่มีอยู่แต่เดิม ดังกล่าวแล้ว

และยังเป็นพลังเหนี่ยวนำไปสู่อบายมุข ที่นำพาผู้คนไปสู่ความฉิบหาย เป็นพลังที่ทำให้คนซึ่งเข้าไปยังสถานที่เหล่านั้น หมกมุ่นกับอบายมุข มากกว่าจะเข้าไปด้วยศรัทธาอันแท้จริง

แล้วถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ที่ไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ท่านก็จะละทิ้งสถานที่ดังกล่าวไป เพราะไม่ใช่อาณาบริเวณของท่านอีกต่อไปแล้ว 

กลายเป็นพื้นที่ของความงมงาย การพนัน และสัญลักษณ์แห่งความรุนแรง

แสดงให้เห็นว่า ไทยเราเป็นชนชาติหนึ่ง ที่ถนัดจริงๆ ในเรื่องการทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ เสื่อมหรือ เสียหาย ด้วยความลุ่มหลงงมงายแบบผิดๆ

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่เกิดปีเถาะนะครับ ที่จะต้องรับผลในทางที่ไม่ดี จากการเข้าไปในสถานที่ที่มีไก่ชนตั้งอยู่มากๆ

เพราะคนปีเถาะ ชงกับปีระกาครับ 

แล้วหลักของโหราศาสตร์จีน เขาไม่ให้เข้าไปทำกิจกรรมเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่มีรูปภาพ หรือสัญลักษณ์ของปีที่เราชงอยู่มากๆ มันจะทำให้ชีวิตเราไม่ปกติสุข



คนเกิดปีเถาะ ชงกับปีระกา ห้ามมีภาพไก่ หรือสิ่งของรูปไก่
หากจำเป็นต้องมี ให้แก้ชงด้วยภาพหรือเครื่องรางรูปมังกร

ก็นี่ละครับ ผลจากการที่พวกเซียนพนันไก่ชนขุดหลุมพรางไว้ พยายามสร้างภาพให้การชนไก่ แยกไม่ออกจากตำนานการกู้ชาติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พวกร้านขายรูปปั้นไก่ชนก็ช่วยหนุนส่ง จนอดีตกษัตริย์และวีรบุรุษท่านอื่นที่ไม่มีตำนานเกี่ยวข้องกับไก่ชน ก็ยังยุให้เอาไก่ชนไปถวายดังกล่าวแล้ว แถมบางทียังลากไปโยงกับฮวงจุ้ยแบบมั่วๆ อย่างที่นิยมเอามาตั้งหน้าร้านค้ากันทุกวันนี้

คนโลภ คนบ้าหวย บ้าปาฏิหาริย์แบบไม่รู้ไม่ศึกษา ก็เฮตามกันไป

ตามหลักสิริมงคลแห่งนักษัตร ไก่เป็นสัตว์มงคลซึ่งถูกโฉลกกับผู้ที่เกิดในปีฉลู, ปีมะโรง และปีมะเส็ง  ควรใช้เครื่องรางที่เป็นรูปสัตว์ชนิดนี้ 
             
ส่วนปีที่ไม่ถูกโฉลกคือปีเถาะ ห้ามมีไว้เป็นอันขาดครับ


...........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด