แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไศวะนิกาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไศวะนิกาย แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พระแม่กาลี

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




พระแม่กาลี ทรงเป็นเทพปีศาจ ไม่ใช่เทพเจ้า ไม่ใช่เทพอสูร

เทพปีศาจ คือปีศาจ หรือผี คือดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ซึ่งได้รับการเซ่นสรวงบูชาจากคนรุ่นหลัง จนมีอิทธิฤทธิ์ มีพลังอำนาจเหนือกว่าภูตผีปีศาจทั่วไป สูงยิ่งกว่าพญาปีศาจ และในที่สุดอิทธิฤทธิ์นั้นแก่กล้าถึงชั้นเทพ

แต่อุปนิสัย และพฤติกรรมยังคงเป็นแบบปีศาจ คือมักสิงสู่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในโลกมนุษย์ มีรูปประติมากรรมที่มนุษย์สร้างให้เป็นที่อาศัย คอยรับเครื่องเซ่นสังเวย ถ้าได้รับการสังเวยเป็นที่พอใจก็จะบันดาลอะไรๆ ให้ ตามกิเลสตัณหาของมนุษย์นั้นที่จะอ้อนวอนร้องขอ หรือบนบานศาลกล่าว

พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้แม้จะมีอิทธิฤทธิ์เสมอเทพ แต่สถานะทางวิญญาณไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นเทพได้ เพราะขาดพรหมวิหาร ๔ อันเป็นคุณธรรมของเทพเจ้า จึงเรียกว่าเป็นเทพปีศาจ

จริงๆ แล้ว พฤติกรรมของพระแม่กาลี ดูเหมือนไปทางเทพอสูรมากครับ แต่ถ้าศึกษาให้ดีแล้ว ท่านคือปีศาจที่กลายมาเป็นเทพ ท่านไม่ใช่อสูร ยักษ์ หรือรากษสมาก่อน

ดังนั้นท่านไม่ได้มีภพภูมิของท่านต่างหาก เหมือนเทวดาหรือเทพอสูร ท่านสถิตอยู่ในโลกของเรา อยู่ในเทวาลัยที่เขาสร้างถวายท่าน เช่น ที่กัลกัตตา และทุกหนแห่งที่มีเทวรูปของท่าน ท่านก็แบ่งภาคไปสถิตได้ทั้งหมด

เพราะท่านเป็นปีศาจซึ่งเป็นชั้นเทพแล้ว ไม่เหมือนปีศาจชั้นสามัญทั่วไป ที่จะสิงอยู่ได้เพียงในรูปปั้นรูปเดียว




การบูชาพระแม่กาลี ตามลัทธิเดิมนั้น จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับการบูชาเจ้าแม่แห่งความอุดมสมบูรณ์ทั่วโลกละครับ คือ

๑) บูชาด้วยการถวายอาหาร ซึ่งประกอบด้วยเนื้อสัตว์ เหล้า และพืชผลทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนั้น

๒) บูชาด้วยการสังเวยชีวิตสัตว์ และมนุษย์

๓) บูชาด้วยการถวายเซ็กซ์ หรือ กามบูชา คือคัดเลือกหนุ่มสาวในหมู่บ้านหรือชนเผ่า มาเสพสังวาสกันถวาย หรือหัวหน้าเผ่า (บางทีเป็นหมอผีประจำเผ่า) สมสู่กับผู้หญิงในเผ่าที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว ต่อหน้าเทวรูป

ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อกันว่า พระแม่กาลีทรงโปรดการบูชายัญและการเสพเมถุน ดังนั้นการประกอบกิจดังกล่าวจึงทำให้พอพระทัย

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ล้วนแต่เป็นพิธีกรรมเพื่อให้เกิดผลทางด้านความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งคนโบราณทั่วโลกมีทรรศนะไม่แตกต่างกัน

ความอุดมสมบูรณ์เกิดจากเลือดและความตาย คือ ซากศพของสิ่งที่เคยมีชีวิต ย่อยสลายไปในดินกลายเป็นปุ๋ย ให้พืชพรรณได้เจริญเติบโต ถ้าไม่มีการตาย ก็ไม่มีการเกิดใหม่ และวิธีที่จะทำให้มีการเกิดใหม่ ก็คือการสังวาสกันระหว่างชายหญิง เท่านั้นละครับ




ในช่วงก่อนการครอบงำของศาสนาฮินดู พิธีบูชาพระแม่กาลีสายหลัก หรือสำนักใหญ่ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันนั้น มีเป็นลำดับขั้นตอน ๕ ประการ คือ

ดื่มน้ำเมา (มัตยะ) - บริโภคเนื้อสัตว์สดๆ (มางสะ) - สาธยายมนตร์ปลุกกำหนัด (มนตร์) - ร่ายรำด้วยลีลายั่วยวนเร่งเร้าความรู้สึกทางเพศ (มุทรา) และร่วมเพศ (ไมถุน)

พิธีบูชาในลักษณะนี้ ทำกันตามเทวาลัยที่นิยมบูชาเจ้าแม่กาลีในเวลาเที่ยงคืนครับ บางพวกนิยมทำในที่ลับ บางพวกนิยมทำในที่เปิดเผย

พวกที่ปฏิบัติโดยเน้นกามารมณ์มาก จนถึงขั้นเชื่อว่า การสังวาสของคนในครอบครัวเดียวกันถวายพระแม่กาลีจะได้บุญมาก เรียกว่า วามจารี ส่วนพวกปฏิบัติอย่างสุภาพก็เรียกว่า ทักษิณจารี

เมื่อศาสนาฮินดูครอบงำลัทธิบูชาพระแม่กาลี ฮินดูทั้งไศวะนิกาย และนิกายศักติพยายามเปลี่ยนความเชื่อของสาวกพระแม่กาลีเสียใหม่ ว่าเป็นการแบ่งภาคของพระอุมา แล้วเปลี่ยนวิธีบูชาให้เป็นแบบเทพฮินดูทั่วไป 

คือ ถวายอาหารมังสวิรัติ เลิกการถวายเซ็กซ์ เปลี่ยนเป็นการสวดภาวนา การเต้นรำ และการตกแต่งเทวรูปด้วยเครื่องทรงต่างๆ

ผลก็คือ บูชาแล้วไม่ได้อะไร นอกจากอุปาทานเพ้อเจ้อ แบบในหนังแขกละครับ

ส่วนคนที่บูชาตามลัทธิเดิมก็ยังได้ผลกันอยู่ เพียงแต่เลิกการบูชายัญด้วยมนุษย์ ใช้วิธีเชือดแพะถวายแทน ดังเทวสถานพระแม่กาลีไม่ว่าที่กัลกัตตาหรือที่ไหนๆ ก็ยังคงสืบทอดการบูชายัญเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ฮินดูกระแสหลักต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะห้ามไม่ได้

ส่วนพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระแม่กาลี คือการถวายเซ็กซ์นั้น ปรากฏว่า พราหมณ์ต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีครับ กว่าจะยกเลิกพิธีกรรมเหล่านี้ได้อย่างเป็นทางการ

เป็นทางการ คือ ไม่ทำกันแล้วในเทวสถานใหญ่ๆ ที่สาธารณชนต่างความเชื่อเข้าถึงได้ แต่ยังคงแอบทำกันอยู่จนทุกวันนี้ในเทวาลัยเล็กๆ ตามป่าเขาชนบท

แล้วก็ยังรักษาไว้เหมือนช่วงก่อนถูกศาสนาฮินดูครอบงำละครับ ไม่เว้นแม้แต่การสมสู่ของคนในครอบครัวกันเอง อย่างที่พวกวามจารีคิดว่าได้บุญมากนั้น 

ทั้งๆ ที่ถ้าจะวิพากษ์กัน ด้วยแก่นสารของลัทธิเดิมแห่งองค์พระแม่กาลีแล้ว นับว่าเป็นเรื่องของพิธีกรรมที่เลยเถิด จนกลายเป็นความงมงาย ซึ่งไม่ได้บุญเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เนื่องจากตามลัทธิเดิมนั้น เขาคัดเอาคนที่จะถวายกามบูชาเฉพาะกับคนที่ลักษณะดี หรือหล่อๆ สวยๆ เท่านั้น

ก็เพราะเหตุว่า ชายหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาดี สมบูรณ์แบบ ย่อมทำให้เกิดปราณแห่งความอุดมสมบูรณ์มากกว่าใครก็ได้ หรือคนในครอบครัวเดียวกันครับ




ผู้เชี่ยวชาญทางเทวศาสตร์อินเดีย ยังบอกด้วยว่า ที่จริงแม้แต่การบูชาสัตว์ด้วยการเชือดสดๆ ถวายนั้น ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปในยุคปัจจุบันนี้ เพราะเรามีโรงฆ่าสัตว์คอยผลิตอาหารที่สะดวกในการบูชาอยู่แล้ว ดังนั้น แม้แต่ชาวไร่ชาวนาก็ไม่จำเป็นต้องเชือดสัตว์ถวาย เพื่อให้ได้ผลในด้านความอุดมสมบูรณ์ แค่ถวายอาหารคาวที่กินกันอยู่ทั่วไปก็พอครับ

ผมเคยได้รับคำถามจากคนที่อยากบูชาพระแม่กาลี แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ ว่า มีเกจิอาจารย์บางสำนักกล่าวว่าไม่ควรบูชาพระแม่กาลีในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเทวรูป หรือรูปภาพ เพราะท่านมีธาตุไฟมาก อาจทำให้เกิดสิ่งไม่ดี คนอินเดียบางคนเขาก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน อยากทราบว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร

คำตอบของผมเป็นอย่างนี้ครับ,

๑) การบูชาพระแม่กาลี ถ้าจะบูชาให้ได้ผลจริงๆ ต้องบูชาตามลัทธิเดิม ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ซึ่งในแง่หนึ่งก็เปรียบเหมือนการบูชาราหู

คือ อาจจะทำให้เกิดความลุ่มหลง มัวเมา และมักจะทำให้ผู้บูชาใจร้อนขึ้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น และเริ่มจะไม่เห็นคนอื่นในสายตา เวลามีเรื่องกับใครก็ไม่ยอมกัน จะเอาชนะให้ได้ ไม่มีการใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

พูดง่ายๆ คือ ทำให้ผู้บูชานิยมความรุนแรงมากขึ้นแน่นอนครับ

ลักษณะแบบนี้ ถ้าเกิดกับคนในครอบครัวเดียวกันก็ลำบาก ทำให้ในบ้านไม่ค่อยปรองดองกัน ทะเลาะกันง่าย

๒) การบูชาพระแม่กาลี ด้วยการถวายเซ็กซ์ หรือกามบูชา มักมีผลทำให้ผู้บูชามีตัณหาแรงขึ้น หรือได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์มากขึ้น

ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดกับสามีภรรยา ที่ชีวิตคู่ราบเรียบจืดๆ ชืดๆ ก็อาจทำให้เกิดสมดุลย์ขึ้นได้ แต่ถ้ามากเกินไป ก็อาจทำให้แต่ละฝ่ายเริ่มคิดจะแสวงหาความตื่นเต้นใหม่ๆ กับคนนอกบ้าน ทีนี้ก็จะอันตรายละครับ

๓) แต่ในแง่ที่หลายๆ คนชอบก็คือ พระแม่กาลีจะคุ้มครองผู้บูชาให้สมหวังในเรื่องเซ็กซ์ระดับหนึ่ง ถ้าไม่ผิดศีลธรรม เช่น แย่งคนรักของคนอื่น

ได้ความสุข สนุก พอใจในเรื่องนี้ ตามอัตภาพที่ควรได้ โดยไม่ติดโรค ไม่เสียสุขภาพ ไม่พบเจอคนที่ไม่ดี หรือคนที่จะนำปัญหามาให้

ท่านเป็นเทพที่เหมาะกับผู้บูชาที่ชอบการมีเซ็กซ์โดยไม่มีความผูกพัน ขณะเดียวกันก็เป็นเทพที่ช่วยทำลายคุณไสยทางด้านเสน่ห์ได้ดี

๔) พระแม่กาลี ยังเป็นเทพองค์เดียวเท่านั้นที่คอยดูแลปกป้องอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้บูชาเป็นหลัก จนพูดได้ว่า ผู้บูชาที่เข้าถึงท่าน จะไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆ เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของร่างกายทั้งระบบเลย

ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้ โรคภัยเกี่ยวกับอวัยวะส่วนนี้ของคนเราเพิ่มมากขึ้น จนถึงระดับที่เป็นปัญหาในทางสาธารณสุขแล้วนะครับ ในขณะที่ถ้าจะพูดถึงกระแสพลังจากเทพองค์อื่นในด้านสุขภาพ ท่านจะดูแลในภาพรวมมากกว่า




๕) อีกอย่าง พระแม่กาลีท่านใจนักเลงครับ เวลาคุ้มครองแล้วคุ้มครองจริง ใครจะมาเบียดเบียนให้ผู้บูชาท่านได้รับทุกขเวทนาด้วยประการต่างๆ ท่านจะทำลายผู้นั้น ใครเป็นศัตรูกับผู้บูชาท่าน คนนั้นจะโชคร้ายในที่สุด

เวลาผู้บูชาอยากได้อะไร ถ้ากล้าขอท่านก็กล้าให้ แต่ต้องมีของไปแลก

เช่นสมมุติว่า คุณอยากมีความก้าวหน้าในด้านการงาน คุณขอท่านท่านก็ให้ ให้โดยการขจัดคนที่ขวางทางคุณอยู่ออกไป ซึ่งมีตั้งแต่อย่างเบา คือได้งานใหม่ย้ายไปทำงานที่อื่น ไปจนถึงอย่างหนัก คือ เกิดเรื่องอื้อฉาว หรือเกิดการบาดเจ็บ ทุพพลภาพจนไม่อาจทำงานต่อไปได้

เพราะวิธีแก้ปัญหาของท่านเป็นแบบโผงผางครับ เรื่องที่จะประนีประนอมหรือบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นนั้นไม่มี

ผมจึงฟันธงไม่ได้หรอกครับ ว่าควรบูชาหรือไม่ควรบูชา เพราะกับหลายๆ คนเขาก็เหมาะสมที่จะบูชาเทพแบบนี้ เป็นเทพที่ตรงกับจริตนิสัยของเขา 

เทพเจ้าส่วนใหญ่จะนุ่มนวล ท่านมักไม่ใช้เทวานุภาพเพื่อให้เกิดผลด้านลบต่อสิ่งใดๆ แม้กับคนชั่วก็ตาม ท่านเลือกที่จะปกป้องคุ้มครองผู้บูชาท่าน จากการเบียดเบียนของคนชั่วเหล่านั้นมากกว่า ถ้าผู้บูชาต้องพบกับปฏิปักษ์ที่ชั่วช้าไร้ยางอายอย่างแท้จริง บางทีความนุ่มนวลก็นำมาซึ่งผลที่ช้าเกินไป

คนสมัยนี้นะครับ พวกเราก็เห็นอยู่ว่าเป็นคนนิสัยอสูร ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้น พบเห็นได้ทั่วไป ขณะที่คนนิสัยเทพ คือมีพรหมวิหาร ๔ และมีความละอายต่อบาป ยิ่งน้อยลงๆ

เมื่อต้องพบเจอกับคนนิสัยอสูร ที่พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ต้องให้ใช้ความรุนแรง หรือถ้าถูกเบียดเบียนมาก หลีกเลี่ยงไม่ไหวจริงๆ ก็จำเป็นต้องเอาความรุนแรงเข้าสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจร้องขอจากการบูชาเทพทั่วไปได้ เดี๋ยวนี้หลายๆ คนเลยหันมาบูชาพระแม่กาลี เพื่อปราบอสูร

แต่ที่ต้องระวังให้จงหนักก็คือ ผู้บูชาพระแม่กาลี จะมีจำนวนมากเลยน่ะสิครับ ที่เป็นคนนิสัยอสูรเสียเอง





ดูง่ายๆ สาวกพระแม่กาลีส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือพวกเกย์ เพราะในแง่หนึ่ง คนพวกนี้โดยมากทีเดียวที่มักจะมีอุปาทานบางอย่าง คล้ายกับคนที่ชอบบูชายักษ์ หรือบูชาราหู คือชอบของแรงและเป็นอันตราย

พวกนี้หวังโชคลาภในแบบที่ได้มาด้วยการเสี่ยง และมักเป็นพวกที่มีโทสะแรง อาฆาตพยาบาท เกลียดใครก็ปรารถนาให้คนผู้นั้นได้รับความวิบัติทันตาเห็น หรือได้รับทุกขเวทนาตามที่ตนต้องการ

ในขณะเดียวกัน คนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ตัณหาแรงกล้า มัวเมาในเรื่องเซ็กซ์ตลอดเวลา หลายๆ คนก็ทำถึงขนาดแย่งชิงคนรักของผู้อื่น หรือทำลายครอบครัวของใครก็ได้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ก็มีให้เห็นกันอยู่เสมอ เป็นข้อเท็จจริงที่สังคมชาวเกย์ด้วยกันก็ไม่ปฏิเสธ

คนเหล่านี้คิดว่า พวกเขาไม่อาจได้รับผลในเรื่องเช่นนี้ได้จากการบูชาเทพองค์อื่น นอกจากพระแม่กาลี เพราะพระแม่กาลีท่านเป็นเทพปีศาจ พวกเขาจึงคิดว่าท่านไม่คำนึงถึงศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไหว้ดีพลีถูกท่านพอใจท่านก็ช่วยให้สมหวัง พวกเกย์จึงนิยมบูชาพระแม่กาลีดังกล่าวแล้ว




ซึ่งผมขอยืนยันไว้ ณ ที่นี้ว่า เป็นความคิดทิ่ผิด

เพราะในความเป็นจริง พระแม่กาลีมิใช่ว่าไม่คำนึงถึงศีลธรรมนะครับ 

ท่านเพียงแต่ไม่สนใจศีลธรรมในลักษณะที่ กระแดะหรือ ดัดจริตเท่านั้น

ส่วนศีลธรรมในระดับพื้นฐาน เช่นการที่ใครบูชาท่าน แล้วจะเอาท่านเป็นกำลังใจในการไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น โดยที่เขาเหล่านั้นมิได้เป็นฝ่ายกระทำก่อน ถ้าอย่างนั้นพระแม่ก็จะไม่ทรงคุ้มครองผู้บูชาท่านแต่อย่างใด

เห็นเทวรูปท่านเปลือย กับสีดำ ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านชอบมนต์ดำนะครับ ดังนั้นใครที่บูชาท่าน อยากได้รับการคุ้มครองจากท่าน ต้องห่างๆ เครื่องรางเสน่ห์แนวมนต์ดำ รวมทั้งพวกกุมารทอง โหงพราย หุ่นพยนต์ไว้ด้วย


...........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พระตรีมูรติ : ความผิดพลาดที่ซ้ำซาก

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์


ภาพจาก http://www.luckybobi.com
      
พระตรีมูรติ (Trimurti) ในทางเทววิทยา เป็นองค์รวมของมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาฮินดู ๓ องค์ 

คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ

มหาเทพทั้งสามปรากฏในทิพยรูปเดียว ซึ่งในศิลปะอินเดียสมัยปัจจุบันมักทำให้มี ๓ พระพักตร์ ๔-๖ พระกร 

 ๒ พระหัตถ์ด้านบน ถือสัญลักษณ์สำคัญของพระวิษณุ คือ จักร และสัญลักษณ์สำคัญของพระศิวะ คือตรีศูลแบบที่มีบัณเฑาะว์ประกอบอยู่ด้วย 

ส่วนพระหัตถ์ที่เหลือนั้น นอกจากทรงเทพอาวุธอื่นๆ แล้วก็มักทำปางประทานพร (หงายฝ่ามือลงข่างล่าง) 

กับประทานอภัย (ยกมือตั้งขึ้นหันฝ่ามือรับผู้บูชา)
         
ในทางเทวปรัชญาถือว่า การรวมกันของพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์เช่นนี้ เป็นรูปเปรียบของสภาวะทั้งสาม คือ การสร้าง การรักษา และการทำลายครับ 

โดยนัยยะดังกล่าวนี้ ผู้สร้างจึงหมายถึงพระพรหม ผู้รักษาหมายถึงพระวิษณุ และผู้ทำลายหมายถึงพระศิวะ

ปรัชญาฮินดูถือว่า การเข้าถึงความจริงแห่งสภาวะทั้งสามนี้ได้ ย่อมทำให้เกิดความแตกฉาน รู้แจ้งเห็นจริงในโลกธรรม และในที่สุดย่อมนำไปสู่การไม่ยึดติด และหลุดพ้นในเบื้องปลายนั่นเอง

แต่สำหรับคนทั่วไป การบูชาพระตรีมูรติ ก็เพื่อหวังผลสำเร็จแห่งเทวานุภาพของพระเป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม ซึ่งย่อมจะไม่มีพลังอำนาจใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้วละครับ

เพราะฉะนั้น เทวรูปพระตรีมูรติ โดยทางทฤษฎีก็ย่อมต้องถือว่า เป็นเทวรูปที่ทรงอานุภาพสูงสุดในศาสนาฮินดูอีกด้วย

ทว่า คติการนับถือพระตรีมูรติ แม้ในประเทศอินเดียเองก็ไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายเท่าที่ควร แม้เทวรูปก็ไม่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายนักหรอกครับ


ภาพจาก http://www.lotussculpture.com

สาเหตุสำคัญ คือชาวฮินดูนิยมแยกบูชาเป็นองค์ๆ ไปมากกว่า 

และการบูชาพระตรีมูรติในสังคมอินเดียปัจจุบันก็ไม่แพร่หลายเท่ากับตรีเอกานุภาพที่ประกอบด้วย พระคเณศ พระลักษมี และ พระสรัสวดี เพราะเทพทั้งสามองค์นี้ไม่จำกัดนิกายนั่นเอง

ในขณะที่พวกไวษณพ คือพวกที่บูชาพระวิษณุเป็นเทพสูงสุด กับพวกไศวะ คือพวกที่บูชาพระศิวะเป็นเทพสูงสุดนั้น บางทีก็ไม่อยากเห็นเทพสูงสุดของอีกฝ่ายหนึ่งมารวมหรืออยู่ในฐานะที่เสมอกับเทพสูงสุดของตน 

เทวรูปพระตรีมูรติ จึงเหมาะสมแต่เฉพาะกับผู้บูชาเทพ ที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้เท่านั้นละครับ

เพื่อนบ้านของไทยเรา คือ อาณาจักรขอม เป็นผู้รับคติการบูชาพระตรีมูรติมาจากอินเดีย แต่พระตรีมูรติของขอมนั้นส่วนมากทำแยกกันเป็นองค์ๆ ไป ที่รวมกันเป็นองค์เดียวกันมีตัวอย่างอยู่น้อยมาก 

ดังมีตัวอย่างอยู่ที่ ปราสาทวัดพู แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็ทำแยกเป็น ๓ องค์ เช่นกัน


พระตรีมูรติ ปราสาทวัดพู ภาพจาก http://board.trekkingthai.com

ส่วนศาลพระตรีมูรติ ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญที่ผมตั้งใจจะกล่าวถึงในบทความนี้ กล่าวโดยทางประวัติแล้ว เดิมเป็นเทวาลัยประจำศูนย์สรรพสินค้า เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ สี่แยกราชประสงค์ ตั้งอยู่ด้านมุมอาคารส่วนที่เป็นห้างสรรพสินค้า Zen ครับ

เหตุผลของการเลือกองค์พระตรีมูรติมาประดิษฐานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคุ้มครองกิจการแห่งนี้ มีผู้อธิบายไว้ ๔ ข้อ

๑) ห้างสรรพสินค้าเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่มีอาถรรพณ์แรงที่สุดของสี่แยกราชประสงค์ คือ เป็นพื้นที่ของ วังเพชรบูรณ์ เดิม

วังดังกล่าวเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย ซึ่งภายหลังจากสิ้นพระชนม์โดยพระชันษาอันไม่สมควรแล้ว ก็เสื่อมโทรมลง พระทายาทต้องแบ่งที่ขายให้ส่วนราชการ เช่น การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น

จนในที่สุดก็สิ้นสภาพวัง เป็นทำเลที่ในอดีตที่ผ่านมารู้กันดีว่า ใครไปทำธุรกิจอะไรก็เจริญรุ่งเรืองได้ยาก ทั้งที่เป็นที่ดินผืนงามที่สุดบริเวณนั้น

๒) มุมของบริเวณที่ตั้งห้างดังกล่าว ด้านที่ติดกับสี่แยกราชประสงค์ ยังเล็งกับเทวาลัยอีกแห่งหนึ่งที่ทรงอานุภาพรุนแรงมาก่อน คือ ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ พอดี 

ถือเป็นพื้นที่อันตรายมากตามหลักฮวงจุ้ย เพราะในศาสตร์ฮวงจุ้ยนั้น เขาไม่ให้สร้างกิจการเล็งกับศาลเจ้า หรือรูปเคารพขนาดใหญ่ครับ

๓) ด้วยอาถรรพณ์ของพื้นที่ดังกล่าวมา จึงต้องตั้งพระตรีมูรติ เพราะเป็นองค์รวมของพระเป็นเจ้าสูงสุดทั้งสาม ย่อมมีเทวานุภาพเพียงพอที่จะรับมือกับท้าวมหาพรหมเอราวัณได้

๔) พระตรีมูรติ เคยเป็นเทวรูปที่สักการบูชากันในวังเพชรบูรณ์มาก่อน

อ.สุชาติ รัตนสุข ผู้เป็นเจ้าพิธีตั้งศาลพระตรีมูรติแห่งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือ ๑๐๘ เทพแห่งสรวงสวรรค์ ว่า ตนเป็นผู้แนะนำให้คณะผู้บริหารของเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ให้ตั้งพระตรีมูรติ เพื่อรับกระแสพลังจากศาลท้าวมหาพรหม

โดยแบบอย่างของพระเทวรูปนั้น ก็จำลองจากพระตรีมูรติทำด้วยไม้แกะสลักสมัยอยุธยา ซึ่ง อ.สุชาติอ้างว่า เคยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บูชากันอยู่ในวังเพชรบูรณ์ ต่อมาพระทายาทได้นำออกขาย และได้ตกทอดมาอยู่กับตนในที่สุด

ซึ่งนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ที่ตนซึ่งเป็นผู้ครอบครองพระตรีมูรติของวังเพชรบูรณ์เดิม ต้องมารับหน้าที่เป็นผู้ตั้งเทวาลัยให้กับเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วังเพชรบูรณ์เดิมเช่นกันครับ

ผมไม่เคยเห็นเทวรูปไม้แกะสลักที่ อ.สุชาติกล่าวถึงนะครับ จนกระทั่งหนังสือ พระตรีมูรติ ของสำนักพิมพ์โอม พับลิชชิ่ง พ.ศ.๒๕๔๙ ได้นำรูปถ่ายมาตีพิมพ์ จึงได้เห็นว่ามีรูปลักษณะคล้ายกับองค์พระตรีมูรติที่เห็นกันอยู่ขณะนี้ 

คือเป็นเทวรูปยืน มี ๕ พระพักตร์ สองพระหัตถ์บนยกขึ้นทำอาการสำหรับถือเทพอาวุธอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ปล่อยว่างไว้ อีกสองพระหัตถ์ทำท่าประทานพร และประทานอภัย

เทวรูปองค์นี้ ควรสร้างในสมัยอยุธยาจริง เพราะทั้งศิราภรณ์และเครื่องถนิมพิมพาภรณ์นั้นเป็นศิลปะอยุธยา และทำอย่างประณีตบรรจงมาก 

อีกทั้งสัดส่วนและองค์ประกอบโดยรวมแล้ว ก็ดูมีพลังอำนาจน่าเกรงขามกว่าองค์ที่ศาลพระตรีมูรติ ที่เราเห็นกันอยู่ขณะนี้เสียอีก นับว่าเป็นเทวรูปที่งามที่สุดองค์หนึ่งได้ทีเดียว

แต่ความผิดพลาดลำดับแรก ก็คือ เทวรูปองค์ต้นแบบที่ อ.สุชาติกล่าวว่าเป็นพระตรีมูรตินั้น ที่จริงไม่ใช่เทวรูปของพระตรีมูรติครับ

แต่เป็นเทวรูปของ พระสทาศิวะ หรือ พระศิวะปัญจมุข ซึ่งเป็นบุคลิกภาพสูงสุดในสกลจักรวาลแห่งองค์พระศิวะเป็นเจ้า ตามเทววิทยาของศาสนาฮินดูไศวะนิกาย


พระสทาศิวะ ศิลปะอินเดียสมัยปาละ
ภาพจาก http://commons.wikimedia.org

คติการบูชาพระสทาศิวะนี้ ไทยเราคงได้รับผ่านขอมเข้ามา เพราะลักษณะโดยรวมไม่แตกต่างกันมากนัก 

อย่างภาพข้างล่างนี้ คือ พระสทาศิวะในศิลปะอยุธยา พบที่ วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา อายุราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (ดูเทียบกับพระศิวะในชุดพระตรีมูรติ ที่ ปราสาทวัดพู ในภาพข้างบนด้วยนะครับ เป็นพระสทาศิวะเหมือนกัน)


พระสทาศิวะ ศิลปะอยุธยา จากวัดหน้าพระเมรุ

เป็นอันว่าเริ่มต้น ประติมานวิทยาก็ไม่ใช่แล้วละครับ

แต่อย่างไรก็ตาม... ในเมื่อคติการบูชาพระสทาศิวะในสมัยอยุธยาได้เสื่อมสูญไปแล้ว ประติมานวิทยาของเทวรูปดังกล่าว มิได้มีการทำสืบเนื่องต่อๆ กันมา

ดังนั้น ถ้าจะกล่าวอย่าง ประนีประนอม ที่สุดในทางเทวศาสตร์ การนำประติมานวิทยาหรือรูปแบบดังกล่าวมาสร้างเป็นพระตรีมูรตินั้น จึงเป็นสิ่งที่ พอจะทำได้ ครับ

ปัญหาก็คือ เมื่อจำลองพระตรีมูรติองค์ใหญ่ขึ้นจากพระเทวรูปดังกล่าว ด้วยปูนปั้นปิดทอง อ.สุชาติก็ยังคงปล่อยให้พระหัตถ์ทั้งสองของพระเทวรูปองค์ใหญ่เว้นว่างไว้อย่างเดิม ไม่ถือเทพอาวุธใดๆ

โดยมีคติรองรับว่า สงครามยุคใหม่เป็นสงครามการค้า จึงปลดอาวุธเทวรูป เพราะไม่ต้องไปรบกับใครอีก

คติดังกล่าวนี้ อ.สุชาติกล่าวว่าเป็นเพราะท่านได้สื่อกับองค์เทพ ในคืนหนึ่ง องค์เทพได้มาเล่าประวัติเทวรูปดังกล่าว โดยบอกว่า สมเด็จพระไชยราชา พระอัยกาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดฯ ให้สร้างขึ้น หลังจากเสร็จศึกที่ประเทศเขมร จึงปลดอาวุธเพราะเสร็จศึกแล้ว

เอกทันตะ ผู้เรียบเรียงหนังสือ พระตรีมูรติ ขยายความต่อไปว่า สมเด็จพระไชยราชาทรงกำหนดให้พระตรีมูรติปลดอาวุธจากพระหัตถ์เปลี่ยนเป็นปางประทานพรแทน เป็นการละอาวุธเสีย เพื่อบอกประวัติศาสตร์ยุคนั้นว่า รบชนะเสร็จศึกแล้ว

นี่ละครับ คือความผิดพลาดลำดับที่สอง




เพราะกฎพื้นฐานในการสถาปนาเทวรูป ตามหลักเทวศาสตร์ก็คือ เทวรูปซึ่งจะสำแดงเทวานุภาพได้ชัดเจนและสมบูรณ์ นอกจากจะต้องมีลักษณะงดงาม  มีเครื่องบ่งชี้ในทางประติมานวิทยาอย่างถูกต้องแล้ว 

ยังจะต้องมีเทพอาวุธครบถ้วน ตามที่ตำราโบราณระบุไว้ว่าเ ป็นสัญลักษณ์ของพระเป็นเจ้าองค์นั้นๆ ด้วย

เนื่องด้วยเทพอาวุธ เป็นเครื่องแสดงพลังอำนาจขององค์เทพ หาได้มีความหมายอยู่แค่ว่าเอาไว้สำหรับรบพุ่งกับใครเพียงเท่านั้นไม่

การที่เทวรูปองค์ต้นแบบเว้นสองพระหัตถ์บนให้ว่างไว้นั้น แท้จริงจึงไม่เกี่ยวกับการทำสงครามใดๆ เลยครับ 

เพียงแต่เป็นเพราะเมื่อแรกสร้างนั้น ได้มีการทำเทพอาวุธแยกออกไปต่างหาก

ซึ่งเทพอาวุธเหล่านั้น อาจจะทำด้วยไม้เหมือนองค์พระเทวรูป หรือจะทำด้วยสำริดหรือทองคำก็ได้ 

เมื่อจะเทวาภิเษกพระเทวรูป จะได้ปลุกเสกเทพอาวุธนั้น แล้วจึงค่อยถวายบรรจุในพระหัตถ์ที่ทำรอไว้

องค์เทวรูปก็จะยิ่งศักดิ์สิทธิ์ และดูงามกว่าที่จะทำเทพอาวุธมาด้วยกันตั้งแต่แรก ซึ่งมักจะทำให้สวยได้ยากนั่นเอง

ต่อมา ด้วยเหตุที่เป็นของนำมาประกอบภายหลัง และเป็นของที่ถอดออกได้ เทพอาวุธนั้นจึงอาจจะสูญหายไป 

โดยเฉพาะเมื่อเป็นของเก่าถึงสมัยอยุธยา กว่าจะได้เข้าไปอยู่ในวังเพชรบูรณ์ (?) ก็อาจไม่มีเทพอาวุธมาแต่ครั้งนั้นแล้ว

เมื่อตกมาอยู่ในความครอบครองของ อ.สุชาติ พระตรีมูรติองค์ดังกล่าวจึงยกพระหัตถ์ไว้เฉยๆ ไม่มีเทพอาวุธ ดังที่ปรากฏ

การไม่ถวายเทพอาวุธให้กับพระตรีมูรติองค์ใหญ่ ทั้งที่ตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครองกิจการสำคัญ อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอาถรรพณ์แรงดังกล่าว จึงมีผลทำให้พระตรีมูรติองค์นี้อ่อนกำลัง ไม่สามารถตั้งรับเทวานุภาพอันร้ายแรงจากองค์ท้าวมหาพรหมที่เล็งกันโดยตรง 

รวมทั้งไม่อาจจะคุ้มครองกิจการเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ และเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ จนในที่สุดทางเวิลด์เทรดฯ ต้องตั้งศาลพระคเณศขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง

และแม้จะตั้งศาลพระคเณศแล้ว แต่พระตรีมูรติซึ่งเป็นสรณะหลักที่สร้างอย่างบกพร่อง ย่อมไม่สามารถประสานเทวานุภาพให้เข้ากับองค์พระคเณศ ที่ตั้งขึ้นใหม่อย่างถูกต้องกว่า เพื่อช่วยพยุงฐานะของเวิลด์เทรดฯได้ 

กิจการเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ จึงต้องขายให้กลุ่มธุรกิจเครือเซ็นทรัลในท้ายที่สุด

อีกทั้งเมื่อเป็นเทวรูปที่ไม่สมบูรณ์ พลังอำนาจย่อมจำกัด นอกจากไม่สามารถคุ้มครองกิจการแล้ว ยังไม่อาจช่วยเหลือดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลตามคำขอ ของผู้ที่ไปกราบไหว้บูชาส่วนใหญ่ได้ด้วยครับ

ศาลพระตรีมูรติจึงไม่ใช่เทวาลัยที่มีชื่อเสียงมาแต่เดิม เพิ่งจะเป็นที่กล่าวขวัญ มีผู้คนไปบูชามากขึ้นดังที่เห็นกันอยู่ ก็เพราะเกิดกระแสบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่

นั่นคือ การบูชาเพื่อขอความสำเร็จในเรื่องความรักไงครับ

กระแสนิยมที่ว่านี้ แม้จะไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่สัมพันธ์ใดๆ เลยกับคติการบูชาองค์พระตรีมูรติดั้งเดิม และมิได้มีต้นสายปลายเหตุที่ชัดเจนใดๆ นอกจากการที่มีผู้ไปบูชาในเรื่องดังกล่าวหลายคนได้รับความสมหวัง แล้วก็มีการนำมาบอกเล่ากันทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น

แต่ก็มีความดีอยู่อย่างหนึ่งนะครับ 

นั่นคือ อย่างน้อยผู้โหมกระแสเทพแห่งความรักส่วนหนึ่ง กระทำไปด้วยความพยายามที่จะปกป้องเทวาลัยดังกล่าวไว้


ศาลพระตรีมูรติหลังเดิม ตรงมุมห้างสรรพสินค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ตั้งประจันหน้ากับท้าวมหาพรหมเอราวัณ

เนื่องจากเกิดข่าวลือกันทั่วไปว่า เมื่อกลุ่มธุรกิจเครือเซ็นทรัลได้เข้ามาซื้อกิจการเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และเปลี่ยนชื่อใหม่ดังปรากฏในปัจจุบันว่า เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา เจ้าของกิจการคนใหม่ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์จ ะพลอยรื้อเทวาลัยดังกล่าวเสีย 

ซึ่งก็ปรากฏว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่โดยรอบ ตลอดจนรูปลักษณ์ภายนอกตัวอาคารเวิลด์เทรดฯ เดิมทันที

แม้แต่พื้นที่ด้านหลังเทวาลัย ซึ่งเดิมเป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อน ก็ถูกดัดแปลงไปทำอย่างอื่น

เมื่อยังไม่มีผู้ใดทราบว่า เจ้าของใหม่ของพื้นที่ดังกล่าวจะรื้อศาลออกไปเมื่อใด การโหมกระแสบูชาขอพรองค์พระตรีมูรติในด้านความรัก ก็อาจทำไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าครับ

แต่นั่นก็ทำได้เพียงยืดอายุเทวาลัยอันสวยงามไว้ได้ระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะเจ้าของกิจการใหม่ได้ตัดสินใจใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในทางอื่นมาตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ อย่างที่ร่ำลือกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าองค์พระตรีมูรติมีผู้นับถือมาก และการรื้อทำลายศาลของพระองค์ทิ้งอย่างถาวรจะทำให้เกิดกระแสการต่อต้านขึ้นทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อกลุ่มใหญ่ของเครือเซ็นทรัล 

ทางเจ้าของพื้นที่ ก็เลือกที่จะสร้างเทวาลัยหลังใหม่ขึ้นรองรับ ณ บริเวณปัจจุบัน คือด้านหน้าห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ใกล้กับศาลพระคเณศ

นัยว่า เมื่อศาลพระคเณศมีผู้ศรัทธากราบไหว้ มากกว่าศาลพระตรีมูรติมาแต่เดิมอย่างเห็นได้ชัด ต่อไปภายภาคหน้า ผู้คนจะได้มาไหว้ทั้งพระตรีมูรติ และพระคเณศไปด้วยกันโดยสะดวก กระแสศรัทธาในองค์พระตรีมูรติจะได้เพิ่มพูนขึ้นโดยง่าย 

ทั้งยังลดกระแสการต่อต้าน และยังรักษาลูกค้ากลุ่มสำคัญไว้ได้ด้วย

การย้ายองค์พระตรีมูรติจากเทวาลัยเดิม กระทำในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๘ และมีพิธีวางศิลาฤกษ์ประดิษฐานในเทวาลัยหลังใหม่ในวันที่ ๒ ธันวาคม ปีนั้น 

โดย อ.สุชาติ  รัตนสุข ยังคงได้รับเชิญจากบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามาเป็นเจ้าพิธีบวงสรวง และองค์พระตรีมูรติก็ได้ประดิษฐาน ณ ที่นั้นเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ที่น่าเศร้าก็คือ แม้จะมีความเสียหายที่เห็นได้ชัด อันเกิดจากคติที่เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีหลักเกณฑ์ทางเทววิทยาใดๆ รองรับ 

แต่เมื่อได้จัดการสถาปนาขึ้นใหม่แล้ว แทนที่จะแก้ไขก็กลับยังคงรักษาคติเดิมนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการเชิญเจ้าพิธีคนเดิม ซึ่งยังคงยืนยันที่จะปล่อยพระหัตถ์ของเทวรูปไว้ให้เว้นว่างอย่างเดิม

กาลเวลาได้พิสูจน์ผลของคติอันแปลกประหลาดนั้นแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครที่มีวาสนาเพียงพอจะหยั่งรู้หรือไม่เท่านั้นละครับ


ศาลพระตรีมูรติปัจจุบัน ภาพจาก http://cutejames.pixnet.ne

ส่วนความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระตรีมูรติ ในด้านที่เกี่ยวกับความรัก ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ วัยรุ่นหนุ่มสาวและบรรดาผู้มีปัญหาหัวใจยังคงยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจกันอยู่นั้น คนที่เคยไปไหว้ ก็คงจะรู้กันอยู่แก่ใจนะครับ ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จมากน้อยเพียงใด

ก็เล่นเอาเทวรูปของพระสทาศิวะ บรมเทพสูงสุดแห่งจักรวาล มาแปลงเป็นพระตรีมูรติที่ไร้อาวุธ แล้วยังจะไปไหว้ขอพรเรื่องความรัก มันใช่ไหมล่ะครับ?

ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าอีกไม่กี่วันหลังโพสต์บทความนี้ใน blog ศรีคุรุเทพมนตรา จะเป็นเทศกาลวาเลนไทน์ 

ซึ่งหมายถึ งเราจะเห็นมหกรรมถวายดอกกุหลาบชุดใหญ่ หน้าศาลพระเป็นเจ้าองค์นี้เหมือนเช่นทุกปี

ถ้าใครถามผมว่า แล้วถ้าไม่ใช่ที่นี่ จะให้ไปขอพรเรื่องความรักกับเทพองค์ไหน

ผมจะตอบว่า ให้ไปไหว้ พระลักษมี ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว หรือไม่ ก็พระราธากฤษณะ ที่วัดเทพมณเฑียรก็ได้ วัดวิษณุก็ได้ 

ส่วนศาลพระตรีมูรติองค์นี้ คงช่วยอะไรใครไม่ได้มาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องสำคัญในช่วงชีวิตหนึ่งของพวกเราแต่ละคน 

อย่าไปฝากความหวังไว้กับเทวรูปที่ได้แต่สวย แต่ผิดหลักวิชาเลยครับ


...................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด