แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระมหาชนก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระมหาชนก แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานพรปีใหม่ พร้อม ส.ค.ส.พระมหาชนก สำหรับปีพ.ศ.๒๕๕๘

ในรัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระราชนิพนธ์มหานิบาตชาดกเรื่อง พระมหาชนก ขึ้นใหม่ โดยทรงแปลจากพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนจบในพ.ศ.๒๕๓๑ 

แต่เวลาก็ล่วงไปอีก ๘ ปี พระราชนิพนธ์ดังกล่าวจึงได้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกครับ  
         
การจัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ดังกล่าว เป็นงานใหญ่ เพราะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ในโอกาสเฉลิมฉลองปีกาญจนาภิเษกแห่งรัชกาล จึงทรงมีพระราชดำริจะจัดทำเป็นหนังสือภาพ

และด้วยเหตุนั้น จึงทรงคัดเลือกศิลปินร่วมสมัย ที่มีผลงานทางศิลปะในระดับแถวหน้าของเมืองไทยในขณะนั้น ๘ ท่าน  คือ ปัญญา วิจินธนสาร, เนติกร ชินโย, จินตนา เปี่ยมศิริ, เฉลิมชัย โฆสิตพิพัฒน์, ประหยัด พงษ์ดำ, พิชัย นิรันต์, ธีระวัฒน์ คะนะมะ และ ปรีชา เถาทอง แบ่งกันวาดภาพจิตรกรรมประกอบพระราชนิพนธ์ทุกตอน เป็นจำนวนถึง ๓๖ ภาพ

ศิลปินเหล่านั้น ต่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ และความเชี่ยวชาญเท่าที่มีอยู่ ทำงานถวายอย่างเต็มฝีมือ ทุกภาพได้นำมาตีพิมพ์ประกอบพระราชนิพนธ์ เป็นหนังสือขนาดใหญ่ ปกแข็ง พิมพ์สี่สีบนกระดาษอาร์ตทั้งเล่ม  จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ โดยบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  
        

ภาพจาก http://BlogGang.com

หนังสือพระราชนิพนธ์นี้  แสดงถึงพระอัจฉริยภาพอันหลากหลาย ในองค์พระบาทสมเด็จพระประมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ 

๑. พระปรีชาสามารถในด้านการประพันธ์ 

พระองค์ไม่เพียงทรงพระราชนิพนธ์คัมภีร์ทางศาสนาที่มีเนื้อความซับซ้อน ให้อ่านง่ายและกระชับขึ้นเท่านั้นนะครับ  ยังได้ทรงรักษาไว้ซึ่งสารัตถะเดิมที่สำคัญทั้งหมดด้วย 

ทั้งยังทรงอธิบายพระคาถา ตามเหตุการณ์ต่างๆ ไปตลอดเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้พิจารณาต่อเนื่องได้อย่างแจ่มชัด ทำให้แม้แต่ผู้อ่านที่ขาดความรู้ที่สุด ก็สามารถอ่านเข้าใจได้ 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงพระราชนิพนธ์ดัดแปลง สอดแทรกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเชื่อมโยงความคิดมาสู่เหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน ได้อย่างแยบยลด้วยครับ 

สำนวนภาษาที่ทรงใช้ ก็ล้วนแต่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา มีถ้อยคำที่เร้าใจ มีความงามของจังหวะ และน้ำเสียงแพรวพรายอยู่โดยตลอด ผู้ใดได้อ่านแล้ว จะไม่สามารถวางลงได้จนกว่าจะจบเรื่อง

๒. พระปรีชาสามารถในด้านการแปล 

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ต่างยกย่องกันว่า ทรงแปลทั้งเนื้อเรื่อง และการอธิบายพระคาถาต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษอย่างสละสลวย ทำให้ชาวต่างชาติ ซึ่งไม่คุ้นกับศาสนาและวัฒนธรรมไทย สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่แตกฉานภาษาอังกฤษมากนัก หากต้องการจะฝึกทักษะทางภาษา ก็สามารถอ่านเข้าใจได้โดยตลอด เพราะไม่ทรงใช้ศัพท์ยาก 

กล่าวคือ ทรงพระราชนิพนธ์ภาษาไทยอย่างไร ก็ทรงพระราชนิพนธ์ภาษาอังกฤษอย่างนั้นละครับ

๓. พระปรีชาสามารถในด้านโหราศาสตร์ 

ทรงทำแผนภูมิพยากรณ์ ผูกดวงวันออกเดินทางของพระมหาชนก จากเมืองจัมปาไปยังกรุงมิถิลา โดยทรงคำนวณตามรายละเอียด ที่บรรยายไว้ในชาดกเดิมได้อย่างสอดคล้องกัน

จนแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพระมหาชนกนี้ สามารถเทียบเคียงได้กับความรู้ทางโหราศาสตร์ไทยด้วย          

๔. พระปรีชาสามารถในทางศิลปกรรม 

เป็นที่เทิดทูนในวงการศิลปะของไทยกันมานานแล้วว่า ทรงเป็นอัครศิลปิน ทรงมีผลงานทางศิลปกรรมส่วนพระองค์ที่สูงส่งด้วยความเป็นศิลปวิสัย (Artistic) อย่างสูง 

สำหรับในพระราชนิพนธ์ชุดนี้ แม้จะมิได้ทรงเขียนภาพประกอบส่วนใหญ่ แต่ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานคำแนะนำ และวิจารณ์งานเขียนภาพประกอบทั้งหมดแก่ศิลปินที่เขียนถวาย ด้วยพระอัจฉริยภาพทางศิลปะที่ลุ่มลึก จนหลายๆ ครั้งก็ทรงชี้แนะถึงบางแง่มุม ที่ศิลปินผู้เชี่ยวชาญยังนึกไม่ถึงเลยครับ  

นอกจากนี้ ยังได้ทรงจัดทำแผนภูมิพยากรณ์วันเดินทางของพระมหาชนก โดยทรงสร้างภาพลายเส้น แสดงแผนที่อาณาบริเวณทั้งหมดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ลงสเกลตามแบบมาตรฐานสากลทุกประการ


ภาพจาก http://tiwrm.haii.go.th

ในแผนภูมินั้น ตอนบนทรงบรรจุรูปพระมหาชนก และพระมณีเมขลาขณะโต้ตอบสนทนาธรรมกัน ตามแบบอย่างภาพลายเส้นของ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ทรงเขียนไว้เมื่อพ.ศ.๒๔๖๘ และยังทรงบรรจุแผนภูมิดวงชะตาทางโหราศาสตร์ไว้ด้วย  

ภาพฝีพระหัตถ์ที่สร้างขึ้น ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่คล้ายกันนี้ ยังปรากฏต่อมาใน ส.ค.ส.พระราชทานสำหรับปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ ซึ่งทรงออกแบบได้อย่างเรียบง่าย และสมบูรณ์แบบในตัวเอง 




กล่าวคือ ได้ทรงนำภาพลายเส้นของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มาเป็นภาพประกอบหลัก  และทรงบรรจุบทสนทนาในส่วนที่สำคัญ ระหว่างพระมณีเมขลาและพระมหาชนก ไว้เตือนใจผู้ได้รับพระราชทาน ส.ค.ส.ชุดนี้ ซึ่งนั่นก็คือประชาชนไทยทุกคนครับ 

ในการจัดพิมพ์ พระมหาชนก ฉบับปกแข็งครั้งแรก ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง เหรียญพระมหาชนก ออกจำหน่ายพร้อมกัน มีทั้งเนื้อทองคำและเนื้อเงิน ด้านหน้าของเหรียญดังกล่าวเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ ด้านหลังเป็นรูปพระมหาชนก และพระมณีเมขลา ตามแบบของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ 

เหรียญชุดนี้ ออกแบบโดย รศ.นนธิวรรธน์ จันทนะผะลิน ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์ประจำคณะจิตรกรรม  ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 


เหรียญพระมหาชนก เนื้อทองคำ ด้านหน้าและด้านหลัง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีชัยมังคลาภิเษกเหรียญชุดนี้ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙  โดยมี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์
        
ปรากฏว่า พระราชนิพนธ์พระมหาชนกฉบับปกแข็งกลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง จนหมดไปอย่างรวดเร็ว เป็นที่กล่าวขวัญชื่นชมยินดีทั้งในวงการหนังสือ และมหาชนทั่วไป 

ส่วนเหรียญพระมหาชนก ที่ออกจำหน่ายพร้อมหนังสือดังกล่าว ต่อมาได้มีผู้นำมาจำหน่ายกันในวงการพระเครื่องด้วยราคาที่สูงขึ้นไปอีกหลายเท่า           

ในปีต่อมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ชุดนี้เป็นฉบับปกอ่อน และย่อลงในขนาด ๑๖ หน้ายกพิเศษ แต่ยังคงพิมพ์สี่สีบนกระดาษอาร์ตทั้งเล่ม โดยออกวางจำหน่ายในราคา ๒๕๐ บาทเท่านั้น 




ปรากฏว่า กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ของร้านหนังสือทุกแห่งในเมืองไทยเป็นเวลาหลายปีต่อมา ไม่มีหนังสือเล่มใดลบสถิติลงได้จนปัจจุบันนี้ครับ  

แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ชัย ราชวัตร อัญเชิญพระราชนิพนธ์ดังกล่าวมาเขียนเป็นนิยายภาพ ตีพิมพ์ออกมาทั้่งฉบับขาวดำ และสอดสีสวยงามทั้งเล่มอีก โดยทรงมีพระราชประสงค์จะให้เข้าถึงนักอ่านที่เป็นเยาวชน 

หนังสือนิยายภาพประกอบพระราชนิพนธ์ชุดนี้ ก็กลายเป็นหนังสือขายดีอีกเช่นกัน และต่อมาก็มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Animation ด้วย    


         

สำหรับประเด็นที่ผมอยากกล่าวถึงเป็นพิเศษ ในบทความนี้ คือ ภาพของพระมณีเมขลา ในพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ทั้งฉบับปกแข็งและปกอ่อน ซึ่งเป็นผลงานของศิลปิน ๕ ท่าน คือ อ.เนติกร ชินโย, อ.เฉลิมชัย โฆสิตพิพัฒน์, ศ.ประหยัด พงษ์ดำ, อ.พิชัย  นิรันต์ และ รศ.ปรีชา เถาทอง ครับ       

อ.เนติกร ชินโย เขียนภาพพระมณีเมขลาไว้ ๑ ภาพ ในแผนที่ช่วงแรกของบทพระราชนิพนธ์ ลีลาท่วงท่าของพระมณีเมขลาของ อ.เนติกร ดูเหมือนกับภาพลายเส้นของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  มีรายละเอียดผิดกันเล็กน้อย และส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาก็มีเพียงแต่สีสันเท่านั้น 

ภาพดังกล่าวลอยอยู่เหนือแผนที่แบบสมัยใหม่ ที่แสดงสภาพทางภูมิศาสตร์ และที่ตั้งเมืองอย่างคร่าวๆ 

         

อ.เฉลิมชัย โฆสิตพิพัฒน์ เขียนภาพพระมณีเมขลาประกอบพระราชนิพนธ์ ตอนที่พระมณีเมขลาเสด็จมาพบพระมหาชนกว่ายน้ำอยู่ คือภาพประกอบบทพระราชนิพนธ์บทที่ ๒๑ มีเพียงภาพเดียวเท่านั้น

แต่เป็นภาพของเทพนารีที่เปี่ยมไปด้วยเส้นสี แนวความคิด และความชำนาญอย่างยิ่ง

ทิพยรูปของพระมณีเมขลาที่ลอยอยู่เหนือทะเลนั้นเบา สว่าง เปล่งประกายแห่งรัศมีอันเรืองรอง อยู่ในลีลาที่สวยงามหมดจด  งามอย่างสูงส่งและอัศจรรย์ 

นี่เป็นภาพพระมณีเมขลาที่ดีที่สุดภาพหนึ่ง เท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยของเราครับ แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพที่ยากที่สุด ที่ อ.เฉลิมชัยเขียนประกอบพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ก็ตาม  
  

ภาพจาก http://thaiforhetit.blogspot.com

ศ.ประหยัด  พงษ์ดำ เขียนภาพพระมหาชนกพบพระมณีเมขลาในทะเล จนได้รับการช่วยเหลือในที่สุด โดยเขียนไว้ทั้งหมด ๒ ภาพ ประกอบบทพระราชนิพนธ์บทที่ ๒๒ และ ๒๗ 

ลักษณะการเขียนภาพของ ศ.ประหยัด นั้น ไม่เน้นความอลังการในด้านทักษะอย่าง อ.เฉลิมชัยหรอกครับ แต่ใช้เส้น สี การประกอบภาพที่เรียบง่าย ชัดเจน 

จึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน บรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึกก็ผิดกันมากครับ

กล่าวคือ ขณะที่ภาพพระมณีเมขลาของ อ.เฉลิมชัย แสดงถึงบรรยากาศที่เป็นทิพย์ ภาพของ รศ.ประหยัด จะดูนิ่มนวล ใสสะอาด ทั้งยามที่เหาะลงมาใกล้พระมหาชนก และเมื่อประคองพระมหาชนกพาเหาะไปกรุงมิถิลานั้น ดูแฉล้มแช่มช้อย เป็นความงามอย่างไทยๆ อันบริสุทธิ์ไม่แต่งแต้ม ซึ่งเป็นแนวที่ถนัดของศิลปินผู้นี้     


ภาพจาก http://thaiforgetit.blogspot.com

อ.พิชัย นิรันต์ ก็เขียนภาพพระมณีเมขลาในพระราชนิพนธ์ตอนนี้ไว้ ๒ ภาพเช่นกัน โดยเขียนประกอบบทที่ ๒๓ และ ๒๕ 

พระมณีเมขลาของศิลปินท่านนี้ เปล่งรัศมีทั้งพระวรกายอยู่บนท้องฟ้าที่เริ่มกระจ่าง เป็นสัญญาณว่า ผลแห่งความอุตสาหะของพระมหาชนกนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว

ตามมุมมองของผม ลีลาของพระมณีเมขลาในงานของ อ.พิชัย ดูไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับของ ๒ ท่านที่กล่าวมา แต่ก็งามอยู่ในตัวเองครับ           

ส่วน รศ.ปรีชา เถาทอง เขียนไว้ ๒ ภาพ สำหรับประกอบพระราชนิพนธ์บทที่ ๓๔ และ ๓๖ 


ภาพจาก http://thaiforgetit.blogspot.com

ภาพแรกนั้น เขียนตอนทรงอุ้มพระมหาชนกลอยอยู่ในกรอบรูปวงรี มีฉากหลังเป็นลวดลายประดิษฐ์ และภาพสัตว์น้ำต่างๆ  เป็นส่วนประกอบเบื้องบนของภาพ เมื่อพระมหาชนกครองกรุงมิถิลา 

พระมณีเมขลาของ รศ.ปรีชาในภาพนี้ ดูงดงามลงตัว ในแบบอย่างที่เรียบง่าย และโทนสีที่อ่อนหวานเป็นพิเศษครับ

ส่วนอีกภาพนั้นมีขนาดใหญ่กว่า เล่าเรื่องตอนที่ทรงพบกับพระมหาชนกในทะเล ในภาพดังกล่าวเทพนารีองค์นี้ฉลองพระองค์อย่างสวยงาม อยู่ในพระอิริยาบถที่นิ่มนวล มีพระรัศมีเปล่งออกจากพระเศียร  ดูสว่างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีสดอย่างเห็นได้ชัด


ภาพจาก http://thaiforgetit.blogspot.com

น่าสังเกตว่า เฉพาะเหตุการณ์ระหว่างพระมหาชนกและพระมณีเมขลา ในพระราชนิพนธ์ชุดนี้  มีศิลปินถึง ๔ ท่านเขียนภาพประกอบ เป็นจำนวนมากถึง ๗ ภาพ ราวกับจะเป็นการประชันฝีมือกัน เหตุการณ์อื่นในเรื่องไม่มีอย่างนี้นะครับ 

นั่นก็เพราะ เนื้อเรื่องระหว่างพระมหาชนกกับพระมณีเมขลานี้่ เป็นตอนที่สำคัญที่สุด คือเป็นตอนที่พระมหาชนกได้แสดงธรรมในเรื่องความเพียร อันเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดพระราชนิพนธ์ชุดนี้ขึ้นมานั่นเอง    

เป็นการเหลือวิสัยที่จะนำภาพทั้งหมดที่ได้บรรยายแล้ว มาให้ชมในบทความนี้ คงนำมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

ภาพทั้งหมดจะหาดูได้ในหนังสือพระราชนิพนธ์พระมหาชนก ทั้งฉบับปกแข็งและปกอ่อน แต่ขณะที่เขียนบทความนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังการเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ก็คงมีแต่ฉบับปกอ่อนเท่านั้นที่อาจพอหาซื้อได้          

ส่วนภาพลายเส้นพระมณีเมขลา ในนิยายภาพประกอบพระราชนิพนธ์ชุดเดียวกันนี้ของ อ.ชัย ราชวัตร  ก็เป็นลีลาเฉพาะของผู้รังสรรค์ภาพ ที่เจนจัดในด้านการเขียนการ์ตูนล้อการเมืองมาก่อน และเมื่อดูจากเนื้อเรื่องทั้งหมดแล้วก็ไม่ใช่ภาพที่มีสำคัญมากนัก

ถึงอย่างไรก็ตาม นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป บทพระราชนิพนธ์ชุดนี้ก็จะกลายเป็นหนังสือทรงคุณค่าแห่งสยามประเทศ


เป็นหนึ่งในพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่จักตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์ไทยตลอดไป ชั่วกาลนาน



.............................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด




วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

พระมณีเมขลา

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





ปัญหาอย่างหนึ่งในทางเทวศาสตร์ไทยของเรา ก็คือ เราเป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเกษตร แต่เรากลับบูชาเทพอย่างผิดเพี้ยนในเรื่องของฝนและน้ำ

ซึ่งเป็นความผิดเพี้ยนของคนยุคหลัง ไม่น่าจะเกินยุครัตนโกสินทร์นี้เอง

เพราะในชั้นแรก เรารับคติการบูชาเทพแห่งฝนและน้ำโดยตรง มาจากอินเดีย คือ พระอินทร์ และพระวรุณหรือพระพิรุณ (Varuna) ตั้งแต่สมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นอย่างน้อย ดังมีหลักฐานปรากฏตามโบราณสถานต่างๆ ในสมัยนั้น

เพียงแต่ว่า เรามิได้บูชาพระอินทร์เพื่อขอพรในด้านของความอุดมสมบูรณ์ เหมือนในศาสนาพราหมณ์ของอินเดีย เพราะตอนที่เรารับมานั้น การบูชาพระอินทร์ในแง่ดังกล่าวได้เสื่อมความนิยมไปแล้ว

พระอินทร์ในช่วงแรกสุดที่เรารับมา จึงมีความสำคัญเพียงเป็นเทพประจำทิศตะวันออก และเมื่อกลับมามีบทบาทสำคัญขึ้นอีกเมื่อเรารับศาสนาพุทธจากลังกา พระองค์ก็ไม่ใช่เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์อีกต่อไปแล้วละครับ

ส่วนพระวรุณ เรารับมาโดยเน้นการเป็นเทพประจำทิศเช่นกัน คือทิศตะวันตก ดังนั้นไม่ว่าในคติทวารวดี หรือคติขอม ที่คนไทยโบราณรับอิทธิพลมา ต่างก็รู้จักพระวรุณในฐานะเทพประจำทิศ มากกว่าจะเป็นเทพที่เกี่ยวกับท้องไร่ท้องนา

แต่ก็มีความเป็นไปได้นะครับ ว่า ในช่วงเดียวกับที่เรารับพระอินทร์ และพระวรุณมาจากอินเดีย (หรือหลังจากนั้นไม่มากนัก) เราก็น่าจะได้รับคติการบูชา พระมณีเมขลา หรือ พระมณีเมกไล จากอินเดียใต้เข้ามาด้วย

พระแม่เจ้าองค์นี้เป็นเทวีแห่งฝนและน้ำโดยแท้จริง ดังที่นักเทววิทยาคนสำคัญของไทยคือ อ.ประยูร อุลุชาฏะ หรือ พลูหลวง กล่าวว่า พระนางทรงเป็นบริวารของพระวรุณ

พระมณีเมขลา ใกล้ชิดกับคนไทยมากกว่าพระวรุณ เพราะเป็นเทพนารีในศาสนาพุทธ และมีบทบาทสำคัญยิ่ง คือเป็นเทวดาที่ทำให้การบำเพ็ญวิริยบารมีของ พระมหาชนก สัมฤทธิ์ผลเป็นที่ประจักษ์

ถ้าลองสังเกตกันดูนะครับ บรรดาวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติ ภาพเล่าเรื่องตอนมหาชนกชาดก แทบจะทุกวัด ต้องเขียนเป็นภาพตอนเรือสำเภาล่มกลางพายุ มีรูปพระมณีเมขลาอุ้มพระมหาชนกขึ้นจากท้องทะเล




ภาพเช่นนี้ เป็นที่คุ้นเคยของคนไทยสมัยก่อน ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัด ตั้งแต่เกิดจนตายครับ

คนรุ่นปู่ย่าตายายของเรา จึงรู้จักพระมณีเมขลากันเป็นอย่างดี ทั้งในมหาชนกชาดก และทั้งเป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ จนแม้ต่อมาจะเหลือแต่นิทานเรื่องเมขลา-รามสูร แต่ก็ฝังตัวอยู่ในจิตวิญญาณของเกษตรกรไทยมาตลอด

แต่--ดูเหมือนจะในช่วงเวลาเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เองละครับ ที่นิทานเมขลา-รามสูร ถูกปัญญาชนผู้รู้หนังสือกำหนดให้เป็นเพียง นิทานอย่างแท้จริง

แล้วคนไทยทุกระดับเมื่อจะบูชาเทพ-เทวีแห่งน้ำ ก็หันไปบูชาพระแม่คงคาของอินเดีย

ทั้งที่พระแม่คงคา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับชาวไร่ชาวนาผู้ประกอบอาชีพทางการเกษตรของไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับพิธีกรรมที่ต้องใช้น้ำใดๆ ในไสยศาสตร์ เทวศาสตร์ และพระราชพิธีต่างๆ ของไทย

เพราะจนกระทั่งสมัยอยุธยา ไทยเราไม่เคยมีข้อกำหนดที่ไหนนะครับ ว่า น้ำที่จะนำมาประกอบพิธีเหล่านั้น ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำคงคา

ในขณะที่ความเป็นจริง คือ พระแม่คงคา เป็นเทพประจำแม่น้ำในอินเดีย พระนางจะประทานพรแก่เฉพาะผู้บูชาพระนาง ณ ริมฝั่งแม่น้ำดังกล่าว หรือโดยมีน้ำจากแม่น้ำดังกล่าวเป็นสื่อเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกัน พระวรุณกับพระมณีเมขลา จึงมีความเป็นสากลมากกว่าครับ

เฉพาะกรณีพระวรุณ เทวศาสตร์ไทยยังคงรักษาคติการบูชาพระวรุณ ในประติมานวิทยาของพระพิรุณทรงนาคจนถึงปัจจุบันนี้

ส่วนคติการบูชาพระมณีเมขลาในหมู่ชาวบ้าน แม้ว่าแทบจะสาบสูญไป แต่ก็ยังมีหลงเหลืออยู่ในชนบท

ดังที่ตัวผมเองเคยพบเห็น เมื่อหลายสิบปีมาแล้วว่า ตามชนบทไกลๆ เวลาฝนแล้ง ยังมีการเอารูปภาพเมขลาล่อแก้วมาตั้งบูชาเพื่อขอฝน




และยังมีตำราการบูชาพระมณีเมขลา สำหรับใช้ในพระราชพิธีต่างๆ ของราชสำนักด้วยครับ

ซึ่งในทางเทวศาสตร์ การบูชาเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้น ถ้าบูชาเทวสตรีจะได้ผลดีและกว้างขวางกว่าเทวบุรุษ

เพราะอย่างน้อย พระวรุณทรงเป็นธรรมราช เป็นเทพแห่งสัจจะ และเป็นเทพที่ดุ จนทำให้เกิดพิธีแช่งน้ำ หรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เทพเช่นนี้จะไม่ประทานพรในด้านของเสน่ห์ และเมตตามหานิยมอย่างพระมณีเมขลาหรอกครับ

แต่จากที่ผมเคยเห็นทั้งหมด ชาวบ้านที่ยังคงบูชาพระมณีเมขลา เขาเขียนเป็นภาพในท่าเหาะ ตามแบบจิตรกรรมไทย เอามาตั้งโต๊ะบูชาในท้องนา หรือที่โล่งแจ้ง ตอนที่ผมเขียนหนังสือ รัตนเทวีปกรณ์ ผมจึงแนะนำให้เอาประติมากรรมพระมณีเมขลาในท่าเหาะ (ซึ่งที่จริงทำเป็นชุดคู่กับรามสูร) มาดัดแปลงเป็นเทวรูป

ซึ่งผมเองลองทำแล้วก็ทำได้ เทวาภิเษกได้ ใช้บูชาแทนองค์พระมณีเมขลาได้ระดับหนึ่งครับ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการตีพิมพ์หนังสือ รัตนเทวีปกรณ์ ไม่นาน ผมได้รับนิมิตจากพระมณีเมขลาองค์จริง ท่านเสด็จมาประทับนั่ง ลักษณะเดียวกับในภาพประกอบบทความนี้ เครื่องทรงก็เป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งเป็นแบบคล้ายๆ ชวา




ท่านตรัสว่า ให้ทำเทวรูปท่านเป็นแบบนี้ จะได้ผลในการบูชาที่มากกว่าการไปดัดแปลงจากประติมากรรมที่ผมเคยบอกไว้ครับ

แต่กว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม สำหรับการสร้างเทวรูปของท่านขึ้นมาจริงๆ จังๆ ผมก็ต้องรอไปจนกระทั่งในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ.๒๕๕๖ จึงจะดำเนินการได้สำเร็จ สมกับที่ตั้งใจไว้

นับเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และ ในโลก ที่บังเกิดเทวรูปพระมณีเมขลาสำหรับบูชาอย่างแท้จริง ตามนิมิตที่พระองค์ท่านประทานมาให้ผมแต่เพียงผู้เดียว

ซึ่งในฐานะที่เป็นเจ้าพิธี ผมก็ดำเนินการเทวาภิเษกไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้ ทั้งตามหลักเทวศาสตร์ และตามแบบแผนที่สืบทอดมาแต่โบราณทุกประการ

และนับเป็นความก้าวหน้าในทางเทวศาสตร์ไทย ที่เหนือกว่าเทวศาสตร์อินเดียใต้และลังกา ซึ่งยังคงบูชาพระองค์ท่านอยู่ในปัจจุบันนี้ ด้วยเทวรูปที่ไม่มีประติมานวิทยาอันแตกต่างจากพระแม่องค์อื่นๆ และหาบูชาได้ยากเต็มที

การบูชาพระมณีเมขลา โดยผ่านพระเทวรูปที่ถูกต้องนั้น จะทำให้ได้รับพรวิเศษในด้านใดบ้าง ผมจะขออธิบายโดยบทสัมภาษณ์ ระหว่างผม กับคณะศิษย์ของอาศรมอารยสรัสวดี ในพ.ศ.๒๕๕๗ ดังต่อไปนี้ครับ

คำถาม : พระมณีเมขลา ที่อาศรมอารยสรัสวดีสร้างขึ้นนั้น แตกต่างกับเครื่องรางของขลังด้านเมตตาในท้องตลาดอย่างไร?

ตอบ : ถ้าพูดถึงเครื่องรางด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยมในท้องตลาด ล้วนแต่มีวิธีการสร้างและการให้ผลในระดับที่หลากหลายมาก เพราะฉะนั้นผมจะอธิบายเฉพาะระดับที่ใกล้เคียงกัน

นั่นคือ สายวิชาทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม และโภคทรัพย์ที่ผมได้สืบทอดมานั้น ประกอบด้วย นางเงือก กินรี และอัปสร จะมีความใกล้เคียงกับเครื่องรางอื่นๆ มากที่สุดก็แต่เฉพาะพวกนางกวัก นางรับ และพระแม่โพสพ ซึ่งบรรดาเครื่องรางเหล่านั้นก็มีทั้งที่สำเร็จด้วยมนต์ สำเร็จด้วยยันต์ และสำเร็จด้วยการประจุวิญญาณชั้นสูง

นางเงือก กินรี และอัปสร ในสายที่ผมได้ต่อวิชามา สำเร็จด้วยมนต์และการประจุวิญญาณชั้นสูง ผลที่ได้คือเสน่ห์ เมตตาและโภคทรัพย์ ที่ไม่เร็วทันใจ เห็นผลทันตาแบบพวกพราย แม้แต่วิชาเทพอัปสรซึ่งเน้นด้านกามารมณ์สูงสุด ก็ไม่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในตัณหาราคะ เท่ากับพวกพราย

ทั้งนี้ก็เพราะมีการสกรีนมากกว่า ลึกซึ้งกว่า ไม่ใช่เจอะใครก็ได้กันมั่วไปหมด เรียกได้ว่าเน้นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ

และสายวิชาสูงสุดของผมในด้านนี้ คือพระมณีเมขลา เรียกว่าแม้ในพิธีเสกนางเงือก กินรี อัปสร ก็ยังต้องมีพระมณีเมขลาเป็นองค์ครูเลยครับ

นั่นก็เพราะพลังเสน่ห์ของพระมณีเมขลานั้น สูงกว่าเทพมัจฉา หรือนางเงือก ในด้านความดึงดูดเย้ายวนใจ สูงกว่าเทพกินรี ในด้านของความเป็นที่รักที่พอใจของบุคคลอื่น และสูงกว่าเทพอัปสร ในด้านของการปลุกกิเลส เย้ายวนให้เกิดความลุ่มหลงและกำหนัด




พลังด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม และโภคทรัพย์ของพระมณีเมขลา เหนือกว่านางเทวดาทั้ง ๓ ที่กล่าวมา จึงเป็นเทพนารีที่มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมสูงสุดดังกล่าวแล้ว ในเทวศาสตร์ไทยสายที่ผมได้รับสืบทอดมา

พระมณีเมขลา จะประทานเสน่ห์ เมตตามหานิยม และโชคลาภให้แก่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป โดยดึงเอาสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในตัวคนเหล่านั้นเอง มาเสริมสร้างเป็นพลังเสน่ห์ และเมตตามหานิยมที่จะช่วยดึงดูดโชคลาภและโภคทรัพย์

แต่คนที่อยากมีเสน่ห์ อยากมีเมตตามหานิยม เป็นที่รักของใครต่อใคร ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้าในอาชีพการงานและเงินทองด้วยนั้น ก็ต้องไม่ใช่แค่บูชาท่านด้วยความอยากมีเสน่ห์ แต่ต้องพยายามค้นหาจุดเด่นของตนเอง และลบจุดด้อย

ซึ่งก็จะต้องรู้จัก scan ตัวเองอย่างถี่ถ้วน มิใช่ไม่ทำอะไรเลย แล้วก็บูชาไปด้วยความมั่นใจอย่างผิดๆ ว่าที่ฉันทำของฉันอยู่นี้ดีอยู่แล้ว

คนที่เทวดาจะช่วยให้มีเสน่ห์ เป็นที่รักของใครต่อใครได้นั้น จะต้องยึดศีล ๕ และพรหมวิหาร ๔ ในการดำเนินชีวิต

รวมทั้งใส่ใจในการดูแลตัวเองให้สุขภาพดีจากภายใน ซึ่งพึงมีพึงเกิดได้ จากการใส่ใจในการกินอยู่ให้ถูกต้อง และเป็นคนมองโลกในแง่ดี ละวางความทุกข์และความเครียด ฯลฯ

ถ้าภายในดี ก็จะเกิดปราณที่ดีในการเสริมเสน่ห์และเมตตามหานิยมขึ้นมาในร่างกาย ซึ่งพระมณีเมขลาก็จะหนุนตรงนี้ให้เด่นชัดขึ้น แผ่ขยายออกรอบตัวเป็นที่ประจักษ์

พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่ทำตัวไม่มีเสน่ห์ ท่านก็สร้างเสน่ห์ให้ไม่ได้ แต่คนที่พร้อมที่จะทำตัวเองให้มีเสน่ห์ ท่านช่วยได้ และคนที่มีเสน่ห์อยู่แล้ว ท่านก็จะยิ่งช่วยให้มีมากขึ้นไปอีก

คำถาม : พระมณีเมขลาเด่นด้านเสน่ห์และเมตตามหานิยม ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติธรรม สามารถบูชาพระมณีเมขลาได้หรือไม่?

ตอบ : คุณสมบัติ และอานุภาพต่างๆ ของเทวรูปจะตอบสนองผู้บูชา ตามสภาวะจิตของผู้บูชา ถ้าผู้บูชาฝักใฝ่ในทางโลก ต้องการประโยชน์ในด้านเสน่ห์และเมตตามหานิยม ก็จะได้รับพลังด้านนั้น

แต่ถ้าเป็นคนที่ฝักใฝ่ทางธรรม ไม่ต้องการผลสำเร็จในด้านเสน่ห์ และเมตตามหานิยม พระมณีเมขลาก็จะคุ้มครองให้พ้นจากอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะจะช่วยเสริมในด้านวิริยบารมี ซึ่งดีมากๆ กับคนที่สติปัญญาไม่สูงมาก แต่มุ่งค้นหาธรรมด้วยความพากเพียร ก็จะประสบผลสำเร็จเร็วขึ้น หรือช่วยให้มีโอกาสได้พบครูที่ดีก็เป็นได้

อีกนัยหนึ่ง พระมณีเมขลาจะช่วยให้เห็นผลที่ชัดเจนในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะโดยผู้ปฏิบัติธรรมเองหรือผู้อื่น ผู้ปฏิบัติธรรมจะได้รับโอกาสในการแสดงธรรม หรือพิสูจน์ตนในทางธรรมต่อมหาชนทั้งหลาย

ดังเช่นที่พระมณีเมขลาทรงหลอกล่อ ให้พระมหาชนกได้ยืนยันถึงความเพียรของพระองค์ จนสำเร็จวิริยบารมีนั่นเอง

คำถาม : ในเมื่อพระมณีเมขลาเด่นด้านเสน่ห์และเมตตามหานิยม แล้วจะสามารถคุ้มครองผู้บูชาจากคุณไสยมนต์ดำได้มากน้อยเพียงใด?

ตอบ : เทวรูป หรือรูปเคารพของเทพทุกองค์ที่ได้รับการเทวาภิเษก หรือผ่านพิธีที่ถูกต้อง ไม่ว่าสำนักใด ย่อมจะมีพลังในการป้องกัน หรือบรรเทาคุณไสยมนต์ดำอยู่แล้ว

สำหรับพระมณีเมขลา จะเด่นเป็นพิเศษในการป้องกันและขจัดภัยจากคุณไสยในด้านของ เสน่ห์ยาแฝด หรือคุณไสยที่กระทำเพื่อผลทางด้านความลุ่มหลง และกามารมณ์เป็นหลัก รวมทั้งคุณไสยทุกชนิดที่อาศัยลมและน้ำเป็นตัวซัดเข้าสู่ร่างกาย เพราะท่านเป็นเทพผู้ควบคุมพายุฝนและน้ำ ส่วนคุณไสยชนิดอื่นก็ป้องกันได้เป็นอย่างดี

โดยปกติเทพเจ้าไม่ว่าจะเก่งทางใด ก็สามารถขจัดคุณไสยมนต์ดำได้ทุกองค์ แต่ความเร็วช้า และความหมดจดในการขจัดนั้น ต่างกันไปตามคุณสมบัติของแต่ละองค์

คำถาม : แล้วคนที่ไม่สนใจเรื่องเสน่ห์ เมตตามหานิยม และไม่ได้ปฏิบัติธรรม จะได้อะไรจากการบูชาพระมณีเมขลา?

ตอบ : พระมณีเมขลานั้นคล้ายกับพระคเณศอย่างหนึ่ง คือเป็นเทพที่เด่นในการคุ้มครองผู้ที่มีมานะบากบั่นในการทำงานต่างๆ ให้พ้นจากอุปสรรคต่างๆ ไปสู่ความสำเร็จ

ดังนั้นผู้บูชาที่กำลังลำบาก ทำงานโดยมองไม่เห็นอนาคต หรือใครที่กำลังสงสัยว่าการแสวงหาความสำเร็จของตนนั้น อยู่ในหนทางที่ถูกที่ควรหรือยัง การบูชาพระมณีเมขลาก็จะนำแสงสว่างมาให้




แต่เขาก็จะต้องมั่นใจด้วยว่าท่านสามารถประทานพรเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เป็นคนลังเลสงสัยไปเสียทุกอย่าง หรือคนจับจดที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วก็รอฟลุ๊ค แบบนั้นบูชาท่านไปก็เปล่าประโยชน์ ท่านเป็นเทพที่เหมาะกับคนขยัน คนอดทน คนที่มีความมุ่งมั่น และคนที่ทำอะไรทำจริง แบบนี้ท่านจะพอใจที่จะช่วย

นอกจากนั้น การที่ท่านเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับน้ำและฝน ท่านจึงสามารถปกป้องเราจากอุบัติเหตุ รวมทั้งภัยทั้งทางน้ำทางอากาศได้

ครับ, ก็จบบทสัมภาษณ์ที่ผมยกมาเพียงเท่านี้

สำหรับใครที่คิดจะลอกเลียนแบบ ขอเตือนไว้ว่า เทวรูปพระมณีเมขลารุ่นนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของผม และอาศรมอารยสรัสวดี (ที่บัดนี้ได้ปิดตัวไปแล้ว) เท่านั้นนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลหรือองค์กรอื่นใดจะลอกเลียนหรือนำไปใช้ได้

และเทวรูปรุ่นนี้สร้างจำนวนน้อย เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวทางอาศรมไม่คิดว่าจะมีผู้บูชามากนัก จึงคิดแค่จะออกให้บูชากันเป็นการภายในมากกว่า ปัจจุบันจึงคงเหลืออยู่ไม่กี่องค์ ที่ผู้สนใจสามารถเช่าบูชาได้ผ่านทางตัวแทนของผม คือ ศรีคุรุเทพมนตรา แห่งนี้ครับ

ถึงเวลาที่ท่านมาโปรด คนที่มีวาสนาจริงเท่านั้นที่จะได้บูชา ตอนนี้ เหลือไม่กี่องค์เท่านั้นนะครับ ใครช้า ใครที่ยังไม่เกิดแรงบันดาลใจ ก็อดกันไป


...............................


หมายเหตุ ๑ : พระมณีเมขลา ขนาดบูชา เพนท์สี ที่เห็นในบทความนี้ จัดสร้างเพียง ๒ องค์ และมีผู้บูชาแล้ว ขณะนี้ยังมีให้บูชาเฉพาะองค์สีทอง ดู http://sacredstatue.blogspot.com/2016/03/blog-post_15.html

หากประสงค์จะบูชาองค์เพนท์สีแบบเดียวกันนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม (ซึ่งจะกำหนดค่าบูชาที่แน่นอนภายในวันที่ ๒๗ มี.ค.๒๕๖๑ นี้)



หมายเหตุ ๒ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ
URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด