แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระตรีปุระสุนทรี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระตรีปุระสุนทรี แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

ตรีเอกานุภาพ


บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*




การจัดกลุ่มเทพแบบ ตรีเอกานุภาพ (Triad) มีอยู่ในระบบทางเทววิทยาของหลายชนชาติครับ 

ตั้งแต่อียิปต์  ซึ่งมีกลุ่มเทพสูงสุดสำหรับบูชา ที่รู้จักกันทั่วโลก คือ จอมเทพโอสิริส (Osiris)  พระเทวีไอซิส (Isis)  และ มหาเทพโฮรุส (Horus)         

ทางฝ่ายสแกนดิเนเวีย หรือยุโรปเหนือ ก็นิยมจัดกลุ่ม จอมเทพโอดิน (Odin) มหาเทวีเฟรยา (Freya)  และ มหาเทพธอร์ (Thor) เป็นตรีเอกานุภาพเช่นกัน     

ส่วนตรีเอกานุภาพของทางฮินดูนั้น ที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดคือ พระตรีมูรติ (Trimurti) หรือพระเป็นเจ้าทั้งสาม  คือพระวิษณุ  พระศิวะ  และพระพรหม  




คติพระตรีมูรติในอินเดียนั้น นิยมกันเมื่อหลังพุทธกาลเป็นต้นมาครับ ในอินเดีย ยกให้พระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด แต่ในอาณาจักรขอม ยกให้พระศิวะเป็นใหญ่ที่สุด 

อย่างไรก็ตาม พระตรีมูรติในอินเดียนั้น มีน้อยมากครับที่จะเป็นเทวรูป ส่วนมากจะเป็นภาพวาด และปัจจุบันก็เริ่มเสื่อมความนิยมแล้ว คงมีให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ในช่วงที่พระตรีมูรติ ยังได้รัความนิยมในอินเดียสมัยโบราณ ได้มีการจัดกลุ่มมหาเทวี คือ พระตรีศักติ (Trishakti) ได้แก่พระอุมา พระลักษมี และพระสรัสวดี 

ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับพระตรีมูรติครับ คือมักจะเป็นภาพวาดมากกว่าเทวรูป หรือประติมากรรม และในส่วนที่เป็นพระอุมานั้น ก็แทนด้วยพระทุรคา




และในช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงพระทุรคา เป็น พระตรีปุระสุนทรี หรือเทพนารีพื้นเมืองอินดัยใต้องค์อื่นๆ เช่น พระมีนากษี (Meenakshi)

นอกจากนี้ ก็มีการเสนอตรีเอกานุภาพใหม่ๆจากหลายสำนัก เช่น พระคเณศ-พระสวามีอัยยัปปา-พระสกันท์

พระสวามีอัยยัปปา (Ayyappa) เป็นเทพพื้นเมืองอินเดียใต้ นับถือกันมานานหลายร้อยปีแล้วครับ แต่ไม่กว้างขวางขึ้นไปถึงอินเดียภาคอื่น




แล้วโดยชื่อชั้น ก็ยังเป็นรองพระคเณศ กับพระสกันท์ จนไม่น่าจะเอามาเป็นองค์ประธานแบบนี้ได้ จึงยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก

ส่วนตรีเอกานุภาพที่ผมตั้งใจกล่าวถึงในบทความนี้ คือ การนับถือพระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดีด้วยกัน นับว่าเป็นตรีเอกานุภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องยาวนานที่สุด ในศาสนาฮินดูครับ

คนอินเดียทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไวษณพ หรือไศวะ ก็ยังคงบูชาตรีเอกานุภาพชุดนี้อย่างเหนียวแน่นในปัจจุบัน แม้จะมีการนำเสนอตรีเอกานุภาพใหม่ๆ เป็นอันมาก ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ดังกล่าวแล้วก็ตาม




จริงๆ แล้ว คติการนับถือองค์พระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดีรวมกัน ก็ไม่จัดว่าเก่าแก่นะครับ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียเมื่อไม่กี่ทศวรรษมานี้เอง แต่ก็มีรากฐานที่ได้ปรากฏตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้วเหมือนกัน

ดังความเชื่อเก่าสุด อันพอจะนับว่าเป็นต้นเค้าดั้งเดิมของคตินี้คือ ลัทธิสัปตมาตฤกา (Saptamatrkas)  

สัปตมาตฤกา เป็นลัทธิเก่าแก่มากในอินเดีย โดยนับถือพระแม่ ๗ องค์ ที่เป็นกำลังของเพศหญิงหรือ ศักติ อันเป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง ๗ 

พระแม่ ๗ องค์นี้ได้แก่ 

๑) พระพรหมมี (Brahmi) : พระสรัสวดี)

๒) พระมเหศวรี หรือ โยเคศวรี (Maheshvari,Yogeshvari : พระอุมา)

๓) พระไวษณวี (Vaishnavi : พระลักษมี)

๔) พระเกาเมารี (Kaumauri : ชายาพระสกันท์)

๕) พระวราหิ (Varahi : พระลักษมีในวราหาวตาร)  

๖) พระอินทราณี (Indrani : ชายาพระอินทร์)

๗) พระจามุณฑา (Chamunda : ชายาพระยม) 

โดยทุกพระองค์จะปรากฏพร้อมกับพาหนะ และเทพศาสตราวุธครบ ต่อเนื่องเป็นแถวเดียวกัน




คนอินเดียโบราณนับถือพระแม่ทั้ง ๗ นี้ ก็เพื่อขอเทวอำนาจมาคุ้มครองเด็กเกิดใหม่ หรือเด็กๆ ในหมู่บ้าน และบางทียังนิยมบูชากันเพื่อเพิ่มประชากรในหมู่บ้านครับ

จากหลักฐานทางโบราณคดี เทวประติมากรรมในลัทธิสัปตมาตฤกานอกจากจะทำรูปพระแม่ทั้ง ๗ องค์แล้ว ยังทำรูปพระคเณศไว้ด้วย 

การบูชาพระคเณศควบคู่ไปกับพระแม่ ๗ องค์นี้ ก็เพื่อเป็นการขจัดอุปสรรคต่างๆ และทำให้คำสวดขอพรของผู้บูชาพระแม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง 

ปัจจุบัน คติความเชื่อในเรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่ในอินเดียใต้ครับ ดังที่เราจะเห็นได้จากที่ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือวัดแขกสีลม ซึ่งเป็นเทวสถานนิกายศักติฝ่ายทมิฬ         

นอกจากนี้ ชาวฮินดูส่วนใหญ่ก็มักจะจับคู่ระหว่างพระคเณศ กับพระลักษมี เพื่อการสักการะที่หวังผลสองอย่าง เนื่องด้วยพระคเณศเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ และการขจัดอุปสรรค ในขณะที่พระลักษมีเป็นเทพแห่งโชคลาภ 

เพราะฉะนั้น การบูชาพระคเณศกับพระลักษมีจึงแพร่หลายมาก เป็นความสำเร็จของการนำเทพเจ้าซึ่งได้รับการนับถืออย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดนิกายและสาขาอาชีพทั้งสององค์มารวมกัน 

โดยจะเห็นว่า ในทางประติมานวิทยานั้น กำหนดให้พระคเณศมีปางหนึ่งเรียกว่า ลักษมีคณปติ (Lakhshmi Ganapati)

ในปางนี้พระลักษมีจะประทับบนพระเพลาของพระคเณศ และพระกรหนึ่งของพระคเณศ ก็จะยกมาโอบเอวพระแม่ลักษมีไว้ เป็นที่บูชาสำหรับผู้ที่หวังความสำเร็จ การปราศจากซึ่งอุปสรรค  และการมีโชคลาภทรัพย์สินบริบูรณ์ 
                   



เป็นที่น่าสนใจว่า พระลักษมีปรากฏพระองค์ในปางนี้ เหมือนกับเป็นศักติของพระคเณศ เพราะตามคติฮินดูแล้ว เทพเจ้าที่มีเทวสตรีประทับนั่งบนพระเพลา และโอบเทวสตรีนั้นไว้พระกรหนึ่ง ก็มักเป็นเทพสวามีและชายาต่อกันครับ 

แต่ในกรณีพระลักษมีคณปตินี้เป็นที่ยกเว้น เนื่องเพราะมีแต่ฮินดูบางสำนักเท่านั้นทีถือว่า พระลักษมีเป็นศักติของพระคเณศ ฮินดูทั่วไปไม่ถือเช่นนั้น  

เหตุที่ปรากฏพระองค์ในลักษณะดังกล่าว ก็เพราะได้รับแบบอย่างมาจากเทวรูปพระคเณศแบบโบราณปางหนึ่ง ที่มีอิทธิพลตันตระ คือพระคเณศปาง อุจฉิษฎคณปติ 

เทวรูปพระคเณศปางนี้จะมีศักติ คือ พระวิฆเนศวรี (Vighaneshvari : ไม่ใช่พระนางพุทธิและพระนางสิทธิ) ประทับบนพระเพลาเช่นเดียวกันนี้ละครับ  

ต่อมา เมื่อมีความนิยมนับถือพระคเณศกับพระลักษมีคู่กัน ช่างฮินดูก็เปลี่ยนพระวิฆเนศวรีออก แล้วใส่รูปพระลักษมีเข้าไปแทน

เพียงแต่เพราะว่าไม่ใช่พระสวามีและชายากัน พระลักษมีจึงประทับบนพระเพลาของพระคเณศโดยยังคงมีการแสดงถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แต่ไม่มีการแสดงออกทางกามวิสัยเท่านั้น

พิธีกรรมบูชาพระคเณศและพระลักษมีรวมกันโดยเฉพาะก็มีนะครับ และเป็นแบบแผนหนึ่งของการบูชาที่ทำให้เกิดรูปภาพที่ได้รับความนิยมแพร่หลายที่สุดแบบหนึ่งของทางฮินดู โดยเฉพาะผู้ทำการค้าขายด้วยแล้ว มักจะมีรูปภาพ หรือเทวรูปลักษณะนี้อยู่ในบ้าน หรือร้านค้า 

เทวรูปนี้เรียกว่า ลักษมีคเณศ (Lakshmi Ganesh)




โดยถ้าเป็นรูปเขียน หรือเทวรูปนูนสูง มักจะวาดให้พระลักษมีประทับยืน พระคเณศประทับนั่ง บางรูปประทับยืนหรือประทับนั่งทั้งสองพระองค์ แต่พระลักษมีจะไม่ประทับบนพระเพลาของพระคเณศ เช่นในรูปลักษมีคเณศ 

ส่วนถ้าเป็นเทวรูปลอยองค์แล้ว มักจะทำแยกเป็น ๒ องค์ มาประกอบบนแท่นฐานเดียวกัน           

ลักษมีคเณศ ถือกันว่ามีอานุภาพสูงสุดในการบันดาลโชคลาภ ความมั่งมีศรีสุข และความสำเร็จสมปรารถนาประการ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะบูชาในการประกอบธุรกิจ และยังมีการมทำด้วยวัสดุราคาถูกสำหรับบูชาในเทศกาลทิวาลีโดยเฉพาะด้วย         

ในอินเดียตะวันตก  ยังมีพิธีกรรมการบูชาพระคเณศกับพระลักษมีอีกลักษณะหนึ่ง เรียกว่า วาหิปูชาณ (Vahi Pujan) โดยการนำหนังสือมาวางไว้หน้าเทวรูปพระคเณศและพระลักษมี จุดตะเกียงและบูชาด้วยการโปรยดอกไม้ 




ผู้ประกอบพิธีจะสวดขอพร ให้กิจการมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ทำมาค้าขายร่ำรวย และมีการเจิมหน้าแรกของหนังสือทุกเล่ม รวมทั้งสมุดบัญชีต่างๆ ด้วยหญ้าฝรั่น  แล้วเขียนคำอธิษฐาน หรือข้อความที่เป็นมงคลไว้ที่ผนังบ้าน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการจัดกลุ่มพระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดีสำหรับบูชารวมกันเป็นตรีเอกานุภาพขึ้นมา จึงเท่ากับเป็นการบูชาคุณสมบัติที่เด่นๆ ของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ เพื่อให้ได้ผลดีทั้งในด้านความสำเร็จ การปลอดพ้นจากอุปสรรค โชคดี ลาภยศสรรเสริญ ความรู้และสติปัญญา

คตินี้ ได้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบการพิมพ์ที่ดีเยี่ยมในประเทศอินเดียเอง เพราะปรากฏว่าวัตถุที่ทำขึ้นเพื่อการบูชาตามคตินี้ ส่วนมากเป็นภาพจิตรกรรมมากกว่าประติมากรรมครับ

จนเป็นประเพณีว่า จิตรกรที่วาดรูปเทพเจ้าฮินดูแทบทุกคน จะต้องแสดงฝีมือวาดรูปเฉพาะสามองค์นี้รวมกันไว้ด้วย และกลายเป็นความนิยมที่เกิดกับชนทุกชั้นวรรณะ 

รูปภาพเหล่านี้ ได้แพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบปีแล้ว โดยปัจจุบันยังคงหาได้ในย่านชุมชนชาวอินเดีย เป็นต้นว่าในตรอกแขก หรือซอยวัดซิกข์  ข้างห้างสรรพสินค้าอินเดีย เอ็มโพเรียม       

แต่เทวรูปที่ทำเฉพาะเทพสามองค์นี้ไว้ด้วยกัน โดยเป็นภาพแกะสลักนูนสูงบนแผ่นหิน, ไม้ หรือภาพนูนสูงทำด้วยปูนหรือเรซินหล่อจากแม่พิมพ์ และรูปลอยองค์ที่ตั้งบนฐานเดียวกัน ที่ผ่านมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเป็นของที่หาไม่ง่ายนักหรอกครับ 




เพราะสำหรับช่างฝีมือในอินเดีย การทำรูปเทพทั้งสามประทับอยู่ร่วมกัน ตามแบบอย่างในจิตรกรรมนั้น จะทำให้สวยงาม ได้สัดส่วน และเก็บรายละเอียดได้ครบ เป็นเรื่องยากมาก 

แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรอกครับ 

เพราะผู้ศรัทธาเฉพาะองค์เทพทั้งสามนี้  มักจัดหาเทวรูปของแต่ละองค์มาประดิษฐานด้วยกันในที่บูชา โดยไม่จำเพาะเจาะจงว่า เทวรูปแต่ละองค์นั้นจะต้องมาจากแหล่งเดียวกัน หรือเป็นฝีมือช่างคนเดียวกันอยู่แล้ว

และสำหรับผู้ประสงค์จะบูชาพระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดีรวมกัน ควรจัดหาเทวรูปแต่ละพระองค์ที่มีเทวลักษณะงาม และอิงแบบโบราณ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นฝีมือช่างคนเดียวกัน ดังกล่าวแล้วน่ะแหละครับ

เพราะช่างคนหนึ่ง อาจมีความชำนาญเฉพาะองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้

แต่ถ้าเลือกได้ ก็ควรจะทำด้วยวัสดุชนิดเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน 

และข้อสำคัญคือ เทวรูปเหล่านั้นควรจะผ่านการเทวาภิเษกเสียก่อน          




การจัดวางในที่สำหรับบูชา ควรประดิษฐานพระคเณศไว้ตรงกลาง จะดีที่สุดครับ จากนั้นจัดให้พระลักษมีอยู่ทางซ้ายมือของเรา และพระสรัสวดีอยู่ทางขวามือของเรา   

หรือถ้าจะถ้าจัดตามแบบภาพวาดทั่วไป คือพระลักษมีอยู่กลาง พระสรัสวดีอยู่ทางซ้าย และพระคเณศอยู่ทางขวานั้น เทวรูปพระลักษมีก็ควรจะมีขนาดใหญ่ที่สุด 

และที่จริง การจัดเช่นนั้นก็ไม่ถูกด้วยนะครับ เพราะพระคเณศควรอยู่ทางซ้ายมือของเรา และพระสรัสวดีควรอยู่ทางขวามือของเราเสมอ

ภาพนี้สิครับ จัดถูกต้อง ไม่เหมือนแบบทั่วไป ถ้าจะให้พระลักษมีเป็นประธานนะครับ        




ถ้าในบ้านของผู้บูชา มีพระพุทธรูปอยู่แล้ว ก็ควรแยกจากแท่นบูชาหรือโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป มาจัดเป็นแท่นบูชาต่างหาก และไม่ควรให้ปะปนกับเทพเจ้าของศาสนาอื่น เช่น พระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม พระฤาษีต่างๆ เป็นต้น 

นอกจากนี้ก็ไม่ควรอยู่กับเทพชั้นต่ำหรือปิศาจ เช่นพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ กุมารทอง นางกวัก ควายธนู ฯลฯ      

โดยรายละเอียดในการบูชานั้น ผมได้เขียนไว้หมดทุกอย่างแล้วในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ใครยังไม่มีก็รีบเอาภาพปกกับชื่อหนังสือ ไปติดต่อสั่งซื้อที่เคาน์เตอร์ของร้นซีเอ็ดสาขาใกล้บ้านท่านนะครับ ก่อนจะหมด

ผมขอเน้นว่า การบูชาองค์พระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดี หรือเทพองค์ใดก็ตาม ควรจะทำอย่างเคร่งครัด และทำด้วยความสุข 

มีคนเป็นจำนวนมากนะครับ ที่พอใจจะบูชา โดยมิได้คาดหวังสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ได้รับความสำเร็จราบรื่นในทุกสิ่งที่ต้องกระทำ ได้รับความผาสุกในชีวิต และได้รับปรีชาญาณที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น

ในทางตรงกันข้าม  ผู้บูชาเทพทั้งสามองค์นี้ โดยคาดหวังหมกมุ่นแต่ในเรื่องกิเลสตัณหา เช่นอบายมุขต่างๆ, การบังคับใจผู้อื่นให้หลงรักตน, การอยากได้อยากมีในสิ่งที่ต้องได้มาด้วยการเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น, การหวังลาภลอยโดยไม่ลงมือทำอะไร

ตลอดจนแม้แต่การหวังพึ่งเทวานุภาพ ในการตอบโต้แก้แค้นศัตรูที่ตนไม่ชอบหน้า 

คนเหล่านี้ไม่เคยได้รับความสมหวังเลยครับ 

แม้บางคนอาจจะมีโชคดีในทางอบายมุข หรือได้รับความสำเร็จในเรื่องที่ยกตัวอย่างมาแล้วบ้าง แต่ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่า นั่นเป็นผลจากบุญเก่าที่เขาได้สั่งสมมาก่อน หาได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเทวานุภาพไม่        



ขณะเดียวกัน ผู้ซึ่งได้รับสิ่งดีๆ ในการปฏิบัติบูชา ด้วยความเคร่งครัดและความสุขใจที่จะกระทำดังกล่าวแล้ว สิ่งดีๆ เหล่านั้นก็จะยังคงได้รับอย่างจำกัดครับ หากผู้นั้นยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม หรือยังไม่พยายาม ที่จะลดละเลิกอุปนิสัยอันไม่ดีงามต่างๆ 

ถ้าผู้นั้นพยายามขจัดนิสัย และความเคยชินที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะโดยการบังคับใจตนเอง หรือขอความช่วยเหลือจากองค์เทพทั้งสาม เทวานุภาพของพระองค์ก็จะช่วยให้เขาขจัดสิ่งไม่ดีในจิตวิญญาณออกไปได้ง่ายขึ้น 

ในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุที่เขามีความตั้งใจที่ดีเช่นนั้น สิ่งดีๆ ในชีวิตของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีกครับ    
ดังนั้น การยกระดับจิตวิญญาณของผู้บูชาองค์เทพ จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องดังกล่าวแล้ว

ข้อเตือนใจในการบูชาพระคเณศ พระลักษมี  และพระสรัสวดี ตลอดจนเทพเจ้าไม่ว่าองค์ใดก็ตาม ยังมีอีก และสำคัญมากด้วยครับ 

กล่าวคือ พึงระวังความคิดที่ว่า การปฏิบัติบูชาพระองค์นั้นเป็นเงื่อนไข หรือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพื่อติดสินบนให้พระองค์ช่วยเหลือ บันดาลให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ 

เพราะนั่นจะหมายความว่า ในจิตสำนึกของเรามองเพียงว่า องค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นแค่ผู้ช่วยเหลือ  หรือคอยรับใช้บริการในสิ่งที่เราคาดหวังเท่านั้นนะครับ         

ความคิดอย่างนี้ จิตสำนึกอย่างนี้ ถือเป็นข้อห้ามอย่างที่สุด และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดกับผู้บูชาเทพเจ้า ไม่่ว่าผู้ใดทั้งสิ้น 

เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่การศรัทธาหรือนับถือพระองค์ แต่กลับเปรียบเสมือนการลบหลู่ดูหมิ่น หรือล่วงละเมิดต่อทิพยฐานะ และเทวานุภาพของพระองค์อย่างร้ายแรง เทียบเท่าพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่ไม่เคารพหรือกระทำการจ้วงจาบต่อพระองค์ 




ผู้คิดอย่างนี้ จะไม่สามารถได้รับความสุขความเจริญในชีวิต ไม่ว่าจะมีการบูชาอย่างเคร่งครัดเพียงใด สรรหาของดีของแพงแค่ไหนถวาย ชีวิตก็ยังตกต่ำลง 

เพราะแทนที่จะศรัทธา กลับดูหมิ่นองค์เทพโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังกล่าวแล้ว       

พึงระลึกเสมอว่า องค์เทพชั้นสูง ย่อมประทานในสิ่งที่ดีและสูงส่ง และสิ่งนั้นย่อมเหมาะสมกับผู้บูชาที่มีจิตสำนึกสูงส่งเพียงพอเท่านั้นและครับ 

ดังนั้น เราจึงควรประมาณตนให้รอบคอบเสียก่อนว่า เราควรได้หรือไม่ควรได้อะไรจากการบูชส

และเราจะต้องเพิ่มเติม หรือละเลิกสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เราเป็นผู้เหมาะสม ที่เทพเจ้าจะทรงยอมรับอย่างแท้จริง

……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระสรัสวดี พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี : เทวีแห่งพลังวิเศษ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์





ในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์ ผมอธิบายไว้ว่า พระสรัสวดี (सरस्वती) ทรงเป็นเทวีแห่งภูมิธรรม ความรู้แจ้ง พิธีกรรม การบำเพ็ญภาวนา การสวดมนต์ การใช้เวทมนต์

พระนางยังทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ผู้รักษากฎสวรรค์ ผู้ประทานความบริสุทธิ์และขจัดมลทิน และเป็นเทวีซึ่งเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง

หลายๆ ท่านอ่านแล้ว แสดงความแปลกใจว่า ในทรรศนะทางฮินดูปัจจุบัน นับถือท่านเป็นเทวีแห่งคำพูด การศึกษา และศิลปะการแสดงทุกสาขาเท่านั้น

ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่ผมเขียนไว้เลยครับ

ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องด้วยบทบาทในทางศาสนาของท่าน ถูกเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา

เดิมท่านเป็นเทวีพื้นเมืองของอินเดียครับ น่าจะนับถือกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยชาวอารยันจากตะวันออกกลางจะอพยพเข้าอินเดียด้วยซ้ำไป

โดยมีร่องรอยว่า ท่านมีความสัมพันธ์กับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นที่บำเพ็ญภาวนาของเหล่าฤาษีโยคีต่างๆ ก่อนจะหายไปในทะเลทรายพรหมวรรต

เมื่อชาวอารยันเสถาปนาศาสนาพระเวท (Vedas) ขึ้น ท่านก็ทรงเป็นที่เคารพนับถือร่วมไปกับคณะเทพ ที่ชาวอารยันนำเข้าไปจากตะวันออกกลาง

ลัทธิบูชาท่านรุ่งเรืองอยู่ในสำนักพราหมณ์และฤาษี ที่นับถือกันว่า เป็นคลังความรู้ด้านเทวศาสตร์ และพิธีกรรม รวมทั้งศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ ทำให้ท่านทรงได้รับการยกย่องให้เป็นมารดาของพระเวท (เวทนมฺ  มาตารํ  ปสฺยา - Vedanam Mataram Pasya) ครับ





คตินี้ ยังคงสืบเนื่องมาถึงยุตฮินดู ดังปรากฏใน ภีศมะบรรพ ของ มหาภารตะ (Maha Bharata) ซึ่งกล่าวถึงพระกฤษณะว่า เป็นผู้สร้างพระสรัสวดีและพระเวทขึ้นจากใจของพระองค์  และกล่าวย้ำว่า พระสรัสวดีนั้นคือมารดาแห่งพระเวททั้งปวง

และก็เพราะเหตุเดียวกันนี้ละครับ เมื่อศาสนาฮินดูเกิดขึ้นในเวลาต่อมา พระสรัสวดีจึงถูกยกให้เป็นชายาของพระพรหม

ในฐานะนี้ พระนางก็ทรงมีบทบาทสำคัญในด้านอักษรศาสตร์ และพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งเป็นเทวีแห่งการพูด และการเจรจา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคแรกๆ ของการปรับเปลี่ยนศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดูด้วย

แต่เมื่อถึงยุคที่ ๒ นิกายใหญ่ของฮินดู คือ ไวษณพนิกาย และไศวะนิกาย ประชันขันแข่งกัน ทำให้พระพรหมเสื่อมความนิยมลงเป็นอันมาก

ซึ่งปัจจัยหนึ่ง อาจจะเกิดจากพราหมณ์ตระกูลใหญ่ๆ หรือฤาษีในสายนี้ เปลี่ยนไปนับถือพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ (จนกระทั่งทำให้เกิดการอธิบายคำว่า พรหมใหม่ๆ ขึ้นมาในพุทธศาสนา)

ส่วนลัทธิบูชาพระสรัสวดียังแข็งแกร่งอยู่ และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก จนไม่อาจประสานเข้ากับนิกายใหญ่ทั้งสองนั้นได้สนิท

พราหมณ์และนักปราชญ์ในทั้งสองนิกายนั้น จึงได้ปรับลดบทบาทของท่านลงครับ

ดังเช่นฝ่ายไวษณพ ที่ผูกนิยายขึ้นมาว่า เดิมท่านเป็นชายาหนึ่งใน ๓ องค์ของพระวิษณุ แต่ท่านไม่อ่อนน้อม ไม่อยู่ในโอวาทของพระสวามี และขี้หึง จนทะเลาะกับพระลักษมี และพระคงคา ทำให้พระวิษณุต้องยกท่านให้พระพรหม และยกพระคงคาให้พระศิวะไงครับ

นับว่า เป็นการข่มพระพรหมและพระศิวะไปด้วยในตัว

แน่มั้ยล่ะครับ ฝีมือนักแต่งนิยายแขก?

แต่พระสรัสวดี ท่านก็ยังคงเป็นที่นับถือของบรรดานักบวชอยู่เป็นอันมากครับ

เมื่อปัญญาชนอินเดียยุคหลังๆ เชิดชูการศึกษาและศิลปวิทยาการเป็นสิ่งสำคัญ ท่านจึงได้รับการนับถือเป็นคุรุเทวี ผู้อุปถัมภ์ด้านการศึกษาทุกแขนงในอินเดียปัจจุบันนี้

ส่วนทิพยฐานะเดิมของท่าน ในฐานะที่เป็นมารดาแห่งพระเวทนั้น ในความเป็นจริงก็ไม่เคยลดลงไปตามการบิดเบือนของพราหมณ์เลยครับ

ผมจึงเขียนไว้ในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์ ตามที่เป็นจริง ว่า ผู้ใดก็ตามที่บูชาพระสรัสวดี ท่านจะประทานพลังอำนาจให้การใช้เวทมนต์ทุกชนิดเป็นผล ประทานความเข้มขลังแก่พิธีกรรมทุกอย่าง รวมทั้งประทานความสามารถในการเข้าถึงเทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่ค่อยมีการพูดถึงกันแล้ว ในศาสนาฮินดูยุคปัจจุบันก็ตาม

ซึ่งเหตุปัจจัยหนึ่ง ก็อาจเป็นเพราะ ลัทธิการบูชา พระคายะตรี (गायत्री) อันเป็นผลพวงหนึ่ง แห่งความเสื่อมถอยของลัทธิการบูชาพระสรัสวดี อันเกิดจากการปรักปรำของพราหมณ์นั่นเอง

ย้อนไปก่อนที่จะบังเกิดพระแม่องค์นี้ มีมนต์บทหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป ในหมู่ฤาษีและโยคีของอินเดียนับแต่โบราณกาล

มนต์บทนี้คือ คายะตรีมนตรา (Gayatri Mantra) ซึ่งว่ากันว่า น่าจะเก่าก่อนพุทธกาลครับ




และแต่เดิมก็เป็นบทสวดบูชาพระอาทิตย์ ดังคำแปลของมนตร์บทนี้คือ
 
ขอศานติจงมีแด่ปุถุชน และผู้เป็นอมตะ (คือเทวดา) ตลอดจนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย 
ข้าพเจ้าขอตั้งสมาธิจิต ระลึกถึงประภามณฑลอันกระจ่างแจ้งแห่งองค์พระสุริยเทพ
ขอพระองค์ได้โปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพเจ้า
 
คติการบูชาพระอาทิตย์นั้น เป็นคติเก่าแก่ของชนแทบทุกชาติทุกภาษาในโลกครับ รวมทั้งอินเดียด้วย

และก็เชื่อกันว่า คงมีอยู่แล้วในอินเดียตั้งแต่ก่อนพวกอารยันจะเข้าไป

แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากล่าวว่า คายะตรีมนตรานี้ ถึงอย่างไรก็น่าจะเกิดขึ้นในสมัยอารยันเข้าครอบครองถึงภาคกลางของชมพูทวีปแล้วละครับ

และนักเทววิทยาอินเดียโดยทั่วไปก็เชื่อว่า พระสุริยเทพที่กล่าวถึงในมนตร์บทนี้ คือพระสุริยเทพของชาวอารยัน หรือ พระสาวิตรี (Savitri)

ไม่ใช่พระสุริยเทพของชนพื้นเมืองอินเดีย ซึ่งในภาคใต้นั้น ต่อมาจะกลายเป็นพระสกันท์ หรือพระขันธกุมาร
 
ต่อมา มนตร์บทนี้ได้รับความนิยมมากในสมัยฮินดู ที่คติการนับถือพระพรหมกับพระสรัสวดีนั้นเสื่อมลง โดยเฉพาะตั้งแต่ราวๆ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ที่มีการเผยแพร่มนตร์บทนี้แก่คนนอกวรรณะพราหมณ์เป็นครั้งแรก

และกล่าวกันว่า ในยุคหลังๆ ก็มีผู้ภาวนามนตร์บทนี้แล้วเกิดนิมิต เห็นเป็นองค์เทพนารีขึ้นมา จนทำให้เกิดคติการบูชามนตร์บทนี้ ในรูปของพระเทวีอย่างแพร่หลาย

ด้วยเหตุนี้ละครับ จึงเกิดมีนิยายในคัมภีร์ สกันทปุราณะ (Skanda Purana) กล่าวถึงกำเนิดพระคายะตรีว่า เป็นหญิงเลี้ยงโค ที่พระอินทร์นำไปเป็นชายาของพระพรหม เพราะพระพรหมถูกพราหมณ์ยุยง ให้หาพระชายามาแทนพระสรัสวดี

แล้วก็เลยเป็นเหตุให้พระพรหม พระวิษณุ และพราหมณ์ ถูกพระสรัสวดีสาปกันไปถ้วนหน้า ในขณะที่พระคายะตรีรอดพ้นไป

และพระสรัสวดียังทรงเมตตาพระคายะตรีเป็นอันมากด้วย ดังที่ผมเล่าแล้วในหนังสือ ตรีเทวปกรณ์ : พระคเณศ พระลักษมี พระสรัสวดี





เบื้องหลังเทพนิยายนี้ มันเป็นอย่างนี้ครับ

พระพรหมนั้นมาจากสำนักพราหมณ์สายพระเวทเก่า มานิยมนับถือกันในยุคที่ศาสนาพระเวทเริ่มเสื่อมแล้ว

พูดง่ายๆ ว่า เป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจที่สุด ซึ่งสายพราหมณ์เก่าและสายฤาษีเชิดชูขึ้นมา ในยุคเสื่อมของศาสนาพระเวท ก็น่าจะได้

ส่วนพระสรัสวดี มาจากลัทธิที่แข็งแกร่งไม่น้อยกว่าสำนักที่บูชาพระพรหมดังกล่าวแล้ว สองลัทธินี้ ก็เลยประชันขันแข่งกันกลายๆ ตลอดมา

พอถึงยุคฮินดู ซึ่งแม้พระพรหมจะถูกจับคู่กับพระสรัสวดี แต่ก่อนหน้านั้น เขาเล่นชั้นชิงเชิงกันมาตลอดนี่ครับ พอมาจับคู่กัน สาวกทั้งสองฝ่ายเลยไม่ปรองดองกันเท่าที่ควร

จึงทำให้เกิด ภาพของพระพรหมกับพระสรัสวดี ในลักษณะที่ต่างคนต่างอยู่ หรือพอมาอยู่ด้วยกันก็จะดูนิ่งๆ เฉยเมย ไม่หวานชื่นกันแบบพระศิวะ-พระอุมา หรือพระวิษณุ-พระลักษมี

ยิ่งภายหลัง พระพรหมตกจากความนิยมลงเรื่อยๆ ขณะที่พระสรัสวดียังคงมีคนนับถือมากอยู่ ในขณะที่ลัทธิการบูชาพระคายะตรีก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดนิยายที่เกี่ยวกับพระคายะตรี ในสกันทปุราณะไงครับ

ซึ่งผลที่ตามมาของนิยายเรื่องนี้ ก็คือ

๑) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเห็นผิดไปว่า พระพรหมที่เคยเป็นบิดาของพระเวท เป็นเทพที่หูเบา และขาดวิจารณญาณอย่างมาก

ซึ่งก็จะสอดคล้องกับเทพนิยายของพระพรหม ที่เล่ากันในนิกายไวษณพและไศวะครับ

๒) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเห็นผิดไปว่า พระสรัสวดีเป็นเทพนารีที่มีปัญหา เข้ากับใครไม่ได้ จะไปงานพิธีสำคัญก็ล่าช้า ไม่อยู่เคียงข้างพระสวามีในเวลาอันควร

ซึ่งในไวษณพนิกาย ก็จะสร้างภาพขึ้นมาคล้ายๆ กัน ดังที่ผมเล่าแล้วก่อนหน้านี้ครับ

๓) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเกิดความเชื่อใหม่ว่า พระคายะตรีมีความเหมาะสมกับยัญญพิธีต่างๆ มากกว่าพระสรัสวดีซึ่งมีบทบาทมาแต่เดิม

เป็นการพยายามยกเอาเทวีรุ่นใหม่ ซึ่งเกิดจากมนตร์ที่ได้รับความนิยมสูง มาแทนที่เทวีรุ่นโบราณ ที่พราหมณาจารย์ฮินดูมองว่า ควบคุมได้ยาก นั่นเอง

๔) แล้วก็ยังสามารถอธิบายเชื่อมโยงไปถึงลัทธิบูชาพระกฤษณะ และความตกต่ำของพราหมณ์หลายๆ ตระกูลในยุคเสื่อม ที่กำลังขายความงมงาย แลกกับอามิสสินจ้างอย่างน่าเกลียดเพิ่มขึ้นทุกวัน

จนพราหมณ์หัวก้าวหน้า และฤาษีที่เคร่งจริงๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไป

แต่การที่พระคายะตรี เป็นเทพนารีที่เกิดมาจากมนตร์ที่ได้รับความนิยมมาก โดยที่ในการถือกำเนิดขึ้นมา ท่านก็ไม่มีลักษณะเด่นหรือสัญลักษณ์อะไร พอที่จะทำให้เป็นที่จดจำกันได้

ก็เลยมีการอัญเชิญพระแม่ทั้ง ๕ พระองค์ หรือ ปัญจมาตฤกา (Pancha Matrikas) คือ พระอุมา พระลักษมี พระสรัสวดี พระปฤถิวี และพระคงคา) มารวมกัน แล้วบัญญัติว่า พระคายะตรีก็คือภาครวมของพระแม่ทั้ง ๕ นั้น
 
ดังนั้น ในทรรศนะของนักเทววิทยาอินเดียหลายท่านจึงถือว่า พระคายะตรีไม่ใช่เทพที่มีตัวตนจริงเหมือนกับพระลักษมี พระสรัสวดี พระอุมาฯลฯ

ท่านเป็นเพียงบุคลาธิษฐาน (Personification) เท่านั้นครับ

นักปราชญ์บางท่านยังเสริมด้วยว่า การที่นับถือกันว่าพระคายะตรีเป็นภาครวมของปัญจมตฤกา หรือ พระแม่ทั้ง ๕ ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่มีตัวตนจริงมาตั้งแต่แรก
 



แต่สำหรับตัวผมเอง ยังมองถึงความเป็นไปได้นะครับ

ความเป็นไปได้ที่ว่า ท่านอาจจะเป็นนิมิตที่เกิดจากการบริกรรมคาถา ในลักษณะเดียวกับที่พระเถราจารย์ในพุทธศาสนาของเรา คือ สมเด็จพระวันรัตน (แดง) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ บริกรรมคาถาบทหนึ่งที่ขึ้นต้นว่า มุนินทะ วะทะนัมพุชะฯ จนเกิดนิมิตเป็น พระสุนทรีวาณี

ซึ่งจากประสบการณ์ของคนจำนวนมาก ที่บูชาพระสุนทรีวาณี ก็เห็นตรงกันว่า ท่านมีอยู่จริง และศักดิ์สิทธิ์ด้วยน่ะสิครับ 

ดังนั้น พระคายะตรีก็มีความเป็นไปได้นะครับ ที่ว่าจะมีตัวตนจริง ไม่ใช่แค่บุคลาธิษฐานเพียงอย่างเดียว

โดยถ้าใครมาถามผมว่า ท่านปรากฏในนิมิตที่เกิดจากมนต์บูชาพระอาทิตย์ แล้วทำไมถึงเป็นเทพนารี?

ผมก็คงต้องถามแบบเดียวกันว่า ทำไมสมเด็จพระวันรัตนบริกรรมคาถาในศาสนาพุทธ แล้วบังเกิดนิมิตเป็นเทพนารีเหมือนกันล่ะครับ?

ลัทธิบูชาพระคายะตรี จึงเป็นลัทธิที่ผู้บูชาจำนวนมากยืนยันว่า สัมผัสได้จริง มีผลจริง เหมือนกับลัทธิบูชาพระสรัสวดี และเทพนารีองค์อื่นๆ

มิใช่อะไรที่เลื่อนลอยไร้แก่นสาร เหมือนบูชาอากาศธาตุ

ทั้งยังมีผู้บูชาแล้วได้รับพลังพิเศษ เกิดญาณลี้ลับ สื่อสารเชื่อมโยงกับองค์เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้จริง คล้ายกับการบูชาพระสรัสวดีด้วยสิครับ

แต่ทุกวันนี้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างในเรื่องดังกล่าวกำลังลดลง

นั่นก็เพราะ ไม่ว่าจะเป็นพระสรัสวดี หรือพระคายะตรี ล้วนแต่ได้รับการบูชาแบบ ฮินดูปัจจุบันเหมือนกันหมด

จนทำให้ฤทธานุภาพของท่าน ไม่เป็นที่ประจักษ์ และยิ่งนานวัน ยิ่งไม่ค่อยได้รับการนำมาเล่าขานในทางสาธารณะ

คนฮินดูปัจจุบัน เขาไม่รับรู้กันหรอกครับ ว่าเหตุที่พระแม่ทั้งสอง รวมทั้งองค์เทพเทวีต่างๆ ที่ตนบูชามาแต่เดิม ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อย่างในอดีต ก็เพราะวิธีบูชาที่ผิดๆ ของตนนั่นแหละ

จึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการแสวงหาเทพเทวีผู้ทรงฤทธิ์องค์ใหม่ๆ มาบูชาแทน

และส่วนมาก จึงมุ่งไปยังคณะเทพ-เทวีฝ่ายใต้ หรือเทพของชาวทมิฬ ซึ่งยังคงรักษาเทวศาสตร์ดั้งเดิมไว้ได้มาก ทำให้องค์เทพ-เทวีต่างๆ ยังคงศักดิ์สิทธิ์ ทรงอานุภาพปรากฏให้เห็นเด่นชัด

ซึ่งในส่วนของฮินดูรุ่นใหม่ ซึ่งต้องการเทพองค์ใหม่ ที่ประทานพลังจิต พลังอำนาจลี้ลับ ดังที่ฮินดูรุ่นก่อนเคยได้จากพระสรัสวดี และพระคายะตรี

คำตอบของคนกลุ่มนี้ก็คือ พระตรีปุระสุนทรี (त्रिपुरा सुंदरी) ครับ




พระแม่เจ้าองค์นี้ ทรงมีพระนามอื่นๆ ซึ่งนิยมเรียกในต่างท้องที่กัน เช่น พระแม่ลลิตา (Lalita) พระราชาราเชศวรี (Rajarajeshwari)

ทรงเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว ในคณะเทวีที่เรียกรวมๆ กันว่า มหาวิทยา (Mahavidyas) หรือ ทศมหาวิทยา (Dasha-Mahavidyas)

ท่านทรงเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรม ของนิกายศักติสายตันตระ ซึ่งมียันต์ และมณฑลที่เรียกกันว่า ศรีจักรา (Shri Chakra) เป็นอุปกรณ์หลัก สิ่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่จะต้องปรากฏพร้อมกับเทวรูปของท่านเสมอครับ

ผู้บูชาพระตรีปุระสุนทรี เชื่อว่า ท่านทรงมอบพลังจิตและตบะเดชะแก่ผู้บูชา ประทานกำลังความสามารถในการบำเพ็ญเพียร การฝึกจิต และการชำระจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ

ประทานความสามารถในการใช้เวทมนต์ทุกชนิด ประทานอานุภาพแก่พิธีกรรม รวมทั้งความสามารถในการเข้าถึงเทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

ทั้งยังทรงคุ้มครองผู้บูชาจากคุณไสยมนต์ดำ และอำนาจลี้ลับทั้งปวง และทรงดลบันดาลให้ผู้บูชาได้รับความนับถือศรัทธา จากผู้คนทั่วไปอีกด้วย

ก็คือ สิ่งเดียวกันที่จะได้รับจากการบูชาพระสรัสวดี และพระคายะตรี ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นฮินดูปัจจุบัน นั่นแหละครับ

ความนิยมในองค์พระตรีปุระสุนทรี จะเห็นได้จากภาพ ตรีเทวี (Tridevi) ซึ่งสมัยก่อนจะประกอบด้วย พระทุรคา พระลักษมี และพระสรัสวดี ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ เริ่มเปลี่ยนจากพระทุรคา เป็นพระตรีปุระสุนทรีแล้วครับ

ซึ่งในด้านศิลปะ ก็ทำให้ได้องค์ประกอบภาพที่ลงตัวมากกว่า




โดยเฉพาะ รูปที่ประทับนั่งบนอาสนะเหมือนกันทั้ง ๓ องค์ ไม่เหมือนของเดิมที่พระทุรคานั่งเสือหรือสิงโต แตกต่างจากพระแม่อีกสององค์ ซึ่งมักประทับบนอาสนะอยู่ในภาพเดียวกัน

องค์ประกอบที่ลงตัวอย่างนี้ละครับ ทำให้เมื่อผ่านพิธีเทวาภิเษกแล้ว จะเป็นภาพบูชาที่มีอานุภาพสมบูรณ์ โดยเฉพาะในด้านของการปกป้องคุ้มครอง มากกว่าภาพตรีเทวีแบบเดิม

เพราะไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ทางศิลปกรรม ที่เอื้ออำนวยต่อการเทวาภิเษกมากกว่าเท่านั้นหรอกครับ

ในส่วนขององค์เทพเอง พระตรีปุระสุนทรีเป็นเทวีแห่งมหายันต์ศรีจักรา พระลักษมีเป็นเทวีแห่งสิริมงคล และพระสรัสวดีเป็นมารดาแห่งพระเวท รวมถึงเทวศาสตร์ทั้งปวง

พลังแห่งการปกปักรักษาของพระแม่ทั้ง ๓ องค์นี้ เป็น กระแสเย็น ดุจเดียวกัน ย่อมประสานสอดคล้องกันได้สนิทแนบเนียนกว่าพระทุรคา ซึ่งโดดเด่นในการประหารทำลายล้างฝ่ายศัตรู ด้วยความรุนแรงเด็ดขาด เป็น กระแสร้อน

และไม่มีผลกระทบกับผู้บูชาที่เกิดปีวอก ซึ่งเดิมมักจะมีในการบูชาพระทุรคา เนื่องจากท่านมักทรงเสือเป็นพาหนะครับ




ส่วนถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ แล้วจะมีใครถามผมว่า ถ้าต้องการพลังลี้ลับ ญาณวิเศษ หรืออิทธิฤทธิ์ ควรบูชาพระองค์ใดในระหว่างพระสรัสวดี พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี หรือควรบูชาหมดทั้ง ๓ องค์?

ผมก็จะตอบว่า แล้วแต่ความพอใจ หรือสัมผัสส่วนบุคคลของแต่ละท่านนะครับ ว่าถูกจริตกับพระแม่องค์ใด

ตัวผมเอง ผมบูชาพระสรัสวดี เท่านั้นครับ

เพราะเทวศาสตร์ที่ผมได้สืบทอดมา เป็นสายพระสรัสวดี ซึ่งเน้นการบูชาองค์เทพ และการประกอบพิธีกรรมตามแบบแผนดั้งเดิม หรือไม่ก็ใกล้เคียงของเดิมที่สุด (Authentic)

นั่นหมายถึง การบูชาอันประณีต สุขุม สงบเย็น ไม่เพ้อเจ้อฟูมฟาย และได้ผลจริง สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ได้จริง

ศาสตร์แห่งพระสรัสวดีนั้น ลึกซึ้งมากครับ

ในการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงบูชาต่างๆ ขอเพียงมีเทวรูปพระสรัสวดีประดิษฐานอยู่ ก็แน่ใจได้ว่าสามารถอัญเชิญเทพ-เทวีอื่นๆ มาได้อย่างสมบูรณ์ หรือพูดแบบง่ายๆ ว่า เต็มองค์

แม้แต่องค์เทพ ที่ไม่มีเทวรูปบูชาอยู่ในสถานที่ที่ประกอบพิธีกรรมนั้นก็ตาม

ทั้งนี้ ด้วยการอ้างพระนามแห่งองค์พระสรัสวดี และสาธยายมนต์อย่างถูกต้องเท่านั้น

เพราะท่านทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ที่เก่าแก่โบราณที่สุด ทรงมีศักดิ์ และสิทธิ์ ที่จะเชิญองค์เทพต่างๆ ที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในสถานที่ใดๆ ไปเข้าพิธีในสถานที่นั้นก็ได้

โดยไม่มีเทพองค์ไหน ที่จะปฏิเสธการเชิญของท่านได้




บารมีในด้านนี้ของพระสรัสวดี ยังกว้างขวางจนสามารถอัญเชิญเทพต่างชาติ เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น ก็ยังได้นะครับ

เหตุผลก็คือ ท่านทรงได้รับการบูชาทั้งในศาสนาพราหมณ์, ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธมหายานจีน, ศาสนาพุทธวัชรยานทิเบต, ศาสนาพุทธเถรวาทมอญ-พม่า, ศาสนาพุทธเถรวาทไทย (พระสุนทรีวาณี), ศาสนาเชน และ ศาสนาชินโต นับแต่อดีตอันยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ

แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ ทางอินเดีย ก็ไม่ให้ความสำคัญกับท่านมากไปกว่าเรื่องการศึกษาเล่าเรียนดังกล่าวแล้ว อันเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนมากไม่สนใจ

ความนิยมบูชาท่าน ในสังคมคนบูชาเทพของไทยเรา จึงมีน้อย ผมเองพยายามเผยแพร่เรื่องราวของท่านมาตลอด เป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าที่ควร

แต่ผมก็จะทำต่อไปละครับ เพราะตัวผมเองผมรู้ดีว่า บูชาท่านแล้วผมได้อะไร


...........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด