แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระราม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระราม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ข้อเท็จจริงของจตุคามรามเทพ ตอนที่ ๑

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




คติจตุคามรามเทพ ในช่วงที่เป็นปรากฏการณ์ระหว่างพ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๕๐ นั้น กล่าวในทางเทววิทยาแล้วนับว่ามีที่มาที่ไปที่คลุมเครือ อ่อนเหตุผล ไร้หลักฐาน ตลอดจนตรรกวิธีที่ผิด และยิ่งมีผู้พยายามอธิบาย ก็ยิ่งทำให้เกิดความสับสนอันเกิดจากข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นทุกที

เหตุผลก็คือ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ทฤษฎีต่างๆ ที่เผยแพร่และอ้างอิงกันอยู่ในวงการนักสร้างพระเวลานั้น ล้วนแต่พากันตกหลุมพรางของเทพนิยายที่แต่งขึ้นโดยใครบางคนในคณะผู้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งชื่นชอบอะไรๆ ที่เป็น ศรีวิชัยและ มหายานเป็นพิเศษ

และเมื่อตกหลุมพรางเช่นนี้ ทำให้ต่างก็พากันมองข้าม หรือปฏิเสธหลักฐานต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง และเป็นรากฐานของคติการบูชาท้าวจตุคามรามเทพในเมืองไทย อันสามารถอธิบายได้ทั้งในทางวิชาการ เทววิทยา และมีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับอย่างชนิดที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโต้แย้งได้เลยครับ

บุคคลแรกที่นำเสนอความจริง ในทางเทววิทยาขององค์จตุคามรามเทพ น่าจะได้แก่ ผ.ศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ในฐานะนักวิชาการท้องถิ่นที่ค้นคว้าเรื่องจตุคามรามเทพอย่างต่อเนื่อง บทสัมภาษณ์ของท่านซึ่งตีพิมพ์ใน น.ส.พ. คมชัดลึก ฉบับประจำวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ ได้ให้ข้อมูลที่แตกต่างจากที่มีการเผยแพร่กันตามสื่อต่างๆ ในเวลานั้นว่า


ภาพจาก http://www.komchadluek.net

จตุคามรามเทพมีที่มาชัดเจน คือเป็นเทพหรือเทวดาที่มีหน้าที่รักษา ๓ สิ่ง ได้แก่ ๑.พระธาตุ ๒.พระสิหิงค์ ๓.แผ่นดินแผ่นน้ำ ที่มานั้นมาจากคติลังกาวงศ์ รับมาสู่นครศรีธรรมราชเมื่อราวปี ๑๗๓๐ สมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ทั้งนี้องค์จตุคามรามเทพนั้นจริงๆ แล้วประกอบด้วย ๔ องค์ คือ ๑.ท้าวสุมลเทวราช ๒.ท้าวลักขณาเทวราช ๓.ท้าวขัตตุคามเทวราช ๔.ท้าวรามเทพเทวราช ทั้งหมดจะถูกเรียกหมายรวม คือ จตุคามรามเทพ

ข้อมูลของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองนครฯ ท่านนี้ ได้รับการยืนยันโดยผลการค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและเทววิทยา ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐  คือ กำธร เลี้ยงสัจธรรม ได้เสนอหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องด้วยองค์จตุคามรามเทพโดยระบุว่า พระนามของท้าวขัตตุคาม และท้าวรามเทพ มีอยู่ในคัมภีร์โบราณของไทยไม่ว่าจะเป็น นิทานพระพุทธสิหิงค์ และ ชินกาลมาลีปกรณ์

โดยในหนังสือ นิทานพระพุทธสิหิงค์ หรือ สิหิงคนิทาน ซึ่งแต่งโดยพระโพธิรังสี พระเถราจารย์ชาวเชียงใหม่เมื่อราวๆ พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๕ (ฉบับแปลใหม่ พ.ศ.๒๕๐๖) ปริจเฉทที่ ๓  นิทานพระพุทธสิหิงค์เสด็จมาถึงชมพูทวีป กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

มีเทพ ๔ ตน คือ สุมนเทพ กามเทพผู้มีฤทธิ์มาก รามเทพ ลักษณเทพ ได้รักษาคุ้มครองพระพุทธสิหิงค์นั้นทุกเมื่อ




และอีกตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ทั้งยังมีเทพเจ้า ๔ องค์ คือ สุมนเทพ รามเทพ ลักษณเทพ กามเทพผู้มีฤทธิ์ รักษาพระพุทธรูปนั้นทุกเมื่อ

ส่วน ชินกาลมาลีปกรณ์  ที่พระรัตนปัญญาเถระ พระเถราจารย์ชาวเชียงใหม่เช่นกันเขียนในระหว่างพ.ศ.๒๐๕๙-๒๐๗๑ ตอน กาลมาของพระสีหลปฏิมา ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพระเจ้าสีหลแห่งลังกาทวีปได้หล่อพระสีหลปฏิมาสำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อพ.ศ.๗๐๐ แล้ว ก็ได้ทรงบูชาพระสีหลปฏิมานั้นสืบๆ กันมาช้านาน จนถึงพ.ศ.๑๘๐๐ พระโรจราชกษัตริย์ผู้ครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัยใคร่จะทอดพระเนตรมหาสมุทร จึงยกทัพทหารหลายหมื่นเสด็จล่องใต้ตามลำแม่น้ำน่านจนถึงสิริธรรมนคร พระเจ้าสิริธรรมได้ออกมาต้อนรับ




เมื่อทรงรับรองเป็นอย่างดีแล้ว พระเจ้าสิริธรรมได้ตรัสเล่าให้พระโรจราชฟังถึงความอัศจรรย์ของพระสีหลปฏิมาในลังกาทวีปตามที่ทรงสดับมา พระโรจราชจึงตรัสถามว่า พระองค์จะไปที่นั่นได้หรือไม่ พระเจ้าสิริธรรมตรัสตอบว่า ไปไม่ได้

เพราะมีเทวดาอยู่ ๔ ตน ชื่อ สุมนเทวราช ๑ รามเทวราช ๑ ลักขณเทวราช ๑ ขัตตคามเทวราช ๑ มีฤทธิ์เดชมาก รักษาเกาะลังกาไว้เป็นอย่างดี

กำธรกล่าวว่า รามเทพในนิทานพระพุทธสิหิงค์ ก็คือรามเทวราชในชินกาลมาลีปกรณ์ ส่วน กามเทพผู้มีฤทธิ์มาก ก็คือ ท้าวขัตตคามเทวราชในชินกาลมาลีปกรณ์

ซึ่งเมื่อดูจากความเก่าแก่ของหนังสือนิทานพระพุทธสิหิงค์ กับชินกาลมาลีปกรณ์ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไทยเราได้รับคติความเชื่อเกี่ยวกับท้าวขัตตุคาม และท้าวรามเทพ พร้อมกับเทพารักษ์คณะเดียวกันอีกสององค์มาจากลังกาตั้งแต่ไม่น้อยกว่า ๕๐๐ ปีแล้ว และเป็นการรับเข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์นั่นเอง

แต่เรายังมีหลักฐานอื่นเกี่ยวกับเทพทั้งสององค์นี้ในเมืองไทย ที่เก่ากว่าหนังสือนิทานพระพุทธสิหิงค์และชินกาลมาลีปกรณ์อีกครับ

กำธรระบุว่า ในกฎหมายเก่าของไทย คือ ลักษณะพิสูจน์ดำน้ำ-ลุยเพลิง ใน  กฎหมายตราสามดวง ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๘๙๙ อันถือเป็นกฎหมายฉบับเก่าที่สุดของไทยเรานั้น เมื่อมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคู่ความทั้งสองฝ่ายด้วยการลุยไฟ ก็จะต้องทำเป็นพิธีกรรม มีการอ่านโองการอัญเชิญเทพเจ้าต่างๆ เป็นสักขีพยานโดยอาลักษณ์ เรียกว่า โองการลุยเพลิง

โองการนั้นเขียนเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ ความตอนหนึ่งว่า

อีกทังพระกาลพระกุลี พระขัตุคามี พระรามเทพชาญไชย

ในขณะเดียวกัน จากการค้นคว้าของ อ.พงศ์เกษม สนธิไทย ได้พบรูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดของท้าวจตุคามรามเทพ คือรูปสลักที่รอยพระพุทธบาทสำริด สมัยสุโขทัย อายุราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ บนรอยพระพุทธบาทนั้นปรากฏพระนามของพระอดีตพุทธเจ้า พระมหาสาวก นามของเทพยดา ๓ องค์ซึ่งเป็นเทวดารักษาทิศและรักษารอยพระพุทธบาทนี้ คือ ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ และ ท้าวขัตตคาม ทั้งหมดเขียนด้วยอักษรขอม  ภาษาบาลี


ภาพจาก http://theicity.com

อ.พงศ์เกษมยังได้พบพระนามของท้าวขัตตุคาม จารึกไว้ใต้เทวรูปท้าวเวสสุวัณ ในซุ้มคูหาชั้นบนของพระปรางค์ด้านทิศเหนือ อันเป็นหนึ่งในพระปรางค์ ๔ ทิศที่ตั้งล้อมรอบพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดอรุณราชวราราม ธนบุรี ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

แสดงว่า คติการบูชาท้าวขัตตุคาม ท้าวรามเทพได้มีหลักฐานปรากฏแล้วในเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ก่อนที่จะมีตำนานเกี่ยวกับการได้พระพุทธสิหิงค์มาจากลังกาเสียอีก และการบูชาพระเทวราชทั้งสององค์นี้ก็ยังคงปรากฏในเมืองไทยของเราต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยครับ

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็น่าแปลกใจว่าเพียงชั่วระยะเวลาร้อยกว่าปีให้หลัง ทุกคนก็ลืมเรื่องราวของพระองค์กันไปหมด แม้แต่ที่นครศรีธรรมราชซึ่งมีเทวรูปของพระองค์ปรากฏอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกระทั่ง พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จอมขมังเวทย์แห่งเมืองนครฯ กล่าวถึงอีกครั้งหนึ่งในพ.ศ.๒๕๒๘  ด้วยพระนามใหม่ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันนี้ว่า จตุคามรามเทพ

แล้วเทวรูปของพระองค์ในนครศรีธรรมราช อยู่ที่ไหน?

คำตอบก็คือ อยู่บนบานประตูที่เปิดขึ้นสู่ลานประทักษิณขององค์พระบรมธาตุนั่นเองละครับ

บานประตูทั้งสองนั้น จำหลักเป็นรูปเทพยดาซึ่งมีเทวลักษณะแปลก เป็นศิลปะพื้นเมืองนครศรีธรรมราช แต่คนละยุคกับเทวดานั่งชันเข่าสององค์ที่อยู่ถัดลงมา ซึ่งโดยทั่วไปคิดกันว่าเป็นองค์จตุคามรามเทพ เพราะมีชื่อติดไว้บนแท่นฐานของเทวดาดังกล่าวเช่นนั้น


ภาพจาก http://www.manager.co.th

เทพยดาบนบานประตูไม้จำหลักนี้ สวมศิราภรณ์และฉลองพระองค์แบบเทวดาไทย แต่เป็นแบบอย่างที่เก่ามาก โดยองค์ที่อยู่ทางซ้ายมือ แลเห็นพระพักตร์ที่ชัดเจน ๔ พระพักตร์ มี ๔ พระกร แต่ละพระหัตถ์ถือเทพอาวุธและสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ตีความไม่ออกว่าตรงกับสิ่งใดบ้าง

ส่วนองค์ขวามี ๒ พระพักตร์  ๔ พระกร ทรงจักรและคันศร พระหัตถ์ที่เหลืออาจถือตรีศูล ธนูหรือแม้แต่ใบไม้ และอีกพระหัตถ์หนึ่งน่าจะแสดงปางวิตรรกะมุทรา

เทวรูปทั้งสององค์นี้ เชื่อกันมานานแล้วว่าหมายถึงพระพรหมกับพระนารายณ์ แต่รูปแบบที่เห็นทั้งหมดในปัจจุบันเกิดจากการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง ด้วยเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในวิหารมหาภิเนษกรมณ์ในช่วงเวลานั้น ทั้งบานประตูของเดิมรวมทั้งประติมากรรมทั้งหมดพลอยถูกไฟไหม้ไปด้วย โดยไม่มีบันทึกไว้ว่าเสียหายมากน้อยเพียงใด 

ว่าที่ ร.ต.กฤษณศักดิ์ กัณฐสุทธิ์ ให้ความเห็นไว้ในนิตยสาร ตะลุยตลาดพระ ว่า บานประตูทั้งสองบานนี้อาจเป็นของที่ทำขึ้นใหม่ในครั้งนั้นแทนของเดิมก็เป็นได้ และผลจากการบูรณะใหม่ก็ทำให้เทวรูปองค์ซ้ายมือถือสิ่งของที่ดูไม่ออกว่าเป็นสิ่งใด จนทำให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักประติมานวิทยายังไม่กล้าสรุปกันจนทุกวันนี้

ผมคิดว่า ความเห็นของว่าที่ ร.ต.กฤษณศักดิ์ มีความเป็นไปได้สูงครับ

เพราะเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้อาคารใดๆ บานประตูหน้าต่างที่ทำด้วยไม้มักจะได้รับความเสียหายทั้งหมด หรือถึงแม้จะมีการดับไฟได้ทัน แต่ถ้าบานประตูหน้าต่างเหล่านั้นถูกไฟไหม้ไปบ้างแล้ว แม้จะเป็นของเก่ามีลวดลายแกะสลักด้วยฝีมือช่างชั้นสูงเพียงใด ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการเปลี่ยนใหม่

และถ้าช่างผู้ทำการบูรณะนั้น เคารพของเดิมว่าเป็นฝีมือครู หรือเห็นว่าจะต้องรักษาคติเดิมไว้  อย่างมากก็ทำเพียงแกะสลักของใหม่ให้ดูคล้ายกับของเดิมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เท่านั้นละครับ

นั่นก็เพราะในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น การบูรณะปฏิสังขรณ์ศิลปวัตถุใดๆ แม้กระทั่งในทวีปยุโรปก็ยังไม่มีแนวความคิดที่จะต้องรักษาของเก่า หรือเลียนแบบของเก่าให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ดังที่เป็นมาตรฐานบังคับใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

การแกะสลักบานประตูทั้งสองบานนี้ขึ้นใหม่ จึงอาจจะมุ่งเลียนแบบของเดิมเฉพาะส่วนที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น รายละเอียดของศิราภรณ์ เครื่องทรง และสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นของปลีกย่อยอาจถูกดัดแปลงไปตามที่ช่างจะเห็นสมควร เช่นลวดลายตรงที่ใดที่ไม่รู้จัก หรือเดาไม่ออก เพราะของเดิมถูกไฟไหม้เสียหายหนัก ก็จะแทนที่ด้วยลวดลายอื่นที่ตนรู้จักแทน

ดังนั้นรูปเทพยดาทั้งสององค์นี้ ก็อาจมีอายุเพียงไม่เกินร้อยปีที่ผ่านมานี้เองครับ

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ศิลปะของเมืองไทย คือ  ศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม เคยกล่าวกับว่าที่ร.ต.กฤษณศักดิ์ว่า ท่านได้ไปดูด้วยตาแล้วเห็นว่า แม้จะมีการบูรณะขึ้นมาใหม่ แต่ก็คงมีเค้าที่ทำตามรูปแบบของเดิมไว้ ซึ่งมองเผินๆ ก็จะเห็นว่าเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น แต่ที่ยืนยันได้ก็คือถึงอย่างไรก็ไม่เก่าไปถึงสมัยศรีวิชัยอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จากลักษณะเด่นที่ยังคงเหลืออยู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ อ.ไมเคิล ไรท์ เขียนไว้ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ถึงเทวรูปสององค์นี้ว่า




"ที่วิหารพระม้า วัดพระบรมธาตุนครฯ ที่หัวบันไดมีลานแคบ ซ้าย-ขวามีเทวรูปปูนปั้น ไม่มีลักษณะเฉพาะ ตรงกลางเป็นประตูไม้เข้าสู่ลานประทักษิณ บานขวาสลักเป็นรูปพระนารายณ์ (แน่นอนเพราะทรงจักร) แต่ยังทรงธนูอีกด้วย แสดงว่าเป็นรามาวตาร

บานซ้ายนั้นเป็นเทวรูปที่มี ๔ หน้าให้เห็น จึงสรุปกันว่ารูปนี้คือพระพรหม แต่ท่านถือเทพาวุธนานาผิดกับพระพรหมที่ถือเครื่องประกอบพิธี (อักษมาลา ทัพพี คนโท) ถ้านับพระพักตร์ที่มองไม่เห็น (เพราะอยู่ด้านหลังรูปนูน) ก็จะได้ ๖ เศียร ตรงกับ สฺกนฺท/ขนฺธกุมาร/การฺตฺติเกย (บุตรพระอิศวร) ที่มี ๖ เศียร เพราะเป็นลูกบุญธรรมแม่นมทั้งหกในนักษัตรกฤตติกา นอกจากนี้ขันธกุมารย่อมถือเทพาวุธนานา เพราะนับกันว่าท่านเป็น เทวเสนาบดี

ดังนั้น ตามข้อเขียนของ อ.ไมเคิล ไรท์  เทพยดาทั้งสององค์นี้ก็ไม่ใช่พระพรหมและพระนารายณ์ดังที่สันนิษฐานกันมาก่อน แต่เป็นเทวรูปองค์อวตารของพระนารายณ์ ซึ่งทรงธนู และเทพเจ้าแห่งการสงคราม หรือพระสกันท์

ซึ่งก็คือ ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ๒ ใน ๔ เทวราชที่ไทยเราได้รับมาจากลังกาตั้งแต่สมัยสุโขทัยนั่นเอง

ส่วนเทวดาปูนปั้นทั้ง ๒ องค์ซึ่งมีรูปลักษณ์อย่างเดียวกัน และประทับนั่งในลีลาที่เกือบจะเหมือนกัน ขนาบบันไดชั้นบนก่อนถึงบานประตูนั้น เหตุใดจึงมีแผ่นจารึกคำว่า เท้าขัตตุคาม และ เท้ารามเทพ อยู่หน้าแท่น แทนที่ชื่อดังกล่าวจะไปติดไว้บนบานประตู?


ภาพจาก http://www.palungdham.com

ผมว่า เทวรูปปูนปั้นทั้งสององค์นั้นอาจไม่เกี่ยวอะไรกับองค์จตุคามรามเทพเลยนะครับ

หากเป็นเพียง ทวารบาล ในลักษณะของเทวดาสององค์ เป็นชุดเดียวกับประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์ สิงห์ และครุฑ ที่ปั้นขึ้นเป็นคู่ๆ ในลักษณะ พยนต์ สำหรับพิทักษ์ทางขึ้นสู่ชั้นประทักษิณของพระบรมธาตุเจดีย์เท่านั้น

และการที่แผ่นจารึกถูกนำมาติดตั้งที่ฐานของเทวรูปทั้งสอง ก็อาจเป็นเพราะความเข้าใจผิด เนื่องด้วยแผ่นจารึกทั้งสองเดิมอาจจะอยู่ใต้บานประตูไม้แกะสลักก็ได้  เมื่อเกิดไฟไหม้วิหารขึ้น วัตถุต่างๆ ในวิหารเสียหายเป็นอันมาก เมื่อมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ก็อาจมีผู้นำแผ่นจารึกทั้งสองมาติดตั้งไว้ใต้รูปทวารบาลแทน

จาก www.manager.co.th ซึ่งอ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ จตุคามรามเทพ : ความจริงและความลับ ที่ไม่เคยมีใครรู้ ทำให้เราทราบว่า พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล เป็นบุคคลแรกอย่างแท้จริงที่ค้นพบว่า บานประตูไม้ดังกล่าวไม่ใช่พระพรหมกับพระนารายณ์ แต่เป็นองค์จตุคาม-รามเทพ ซึ่งการค้นพบนั้นก็เป็นเพราะท่านต้องค้นหารูปแบบของศิลปะศรีวิชัยมาใช้ในการสร้างเสาหลักเมือง

ดังนั้นในเว็บไซต์ดังกล่าวจึงบ่งชี้อย่างไม่ลังเลเลยว่า

ถ้าใครเคยไปดูบานประตูแกะสลักทางขึ้นพระบรมธาตุ องค์จตุคามจะอยู่บานทางด้านซ้าย ส่วนองค์รามเทพจะอยู่บานทางด้านขวา

เพราะฉะนั้น การที่มีผู้กล่าวว่า เทพองค์นี้เป็นเทพที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นใหม่ เป็นเทพที่นักสร้างพระแต่งขึ้นมาหลอกลวง เพื่อขายความงมงายนั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าควรแก่การรับฟังอีกต่อไปครับ


..................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด