แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนี่วา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนี่วา แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทวีแห่งเซ็กซ์

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




เรื่องกามารมณ์ เป็นธรรมชาติ และความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกรูปนามครับ

และใครก็ตาม ที่ได้ศึกษาเทววิทยาในระดับที่จริงจังพอสมควรแล้ว จะพบว่า คติดั้งเดิมของเทพ-เทวียุคโบราณนั้น ส่วนมากมิได้ปฏิเสธวิถีของปุถุชนในเรื่องของกามารมณ์แต่อย่างใด ทั้งยังมีหลายๆ องค์ที่ได้รับการบูชาเพื่อผลดังกล่าวโดยตรงด้วย  

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากองค์เทพต่างๆ ของอินเดียแล้ว เรายังสามารถบูชาเทพเจ้าในลัทธิศาสนาอื่น ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย (Mesopotemia) และโลกตะวันตก ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันได้อีกต่างหากครับ

เพราะโลกของเราในปัจจุบันนี้ เป็นโลกไร้พรมแดน เรามีโอกาสที่จะศึกษาเทววิทยาของภูมิภาคอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อย่างเต็มที่ ยิ่งกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรา

และเทพ-เทวีที่มาจากลัทธิศาสนาอื่น วัฒนธรรมอื่น ต่างก็มีความโดดเด่นในแง่มุมที่แตกต่างกันไป

โดยถ้าหากว่า เรามีความรู้ที่ถูกต้องในการบูชาเทพเหล่านั้นนะครับ เทพเหล่านั้นก็สามารถตอบรับการบูชาของเราได้ ไม่น้อยไปกว่าเทพเจ้าที่มาจากวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับเรา อย่างเทพอินเดีย หรือเทพจีน ไม่มีข้อจำกัดทางวัฒนธรรม หรือกาลเวลาทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า พวกเราสามารถเลือกบูชาองค์เทพที่ตรงกับจริตนิสัย และความชอบส่วนตัวของเราได้อย่างหลากหลาย และแทบไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้กระทั่งการจะสั่งซื้อเทวรูป และเครื่องบูชาต่างๆ ที่มีจำหน่ายอยู่คนละซีกโลกกับเรา

ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อแนะนำเทพนารีจากลัทธิศาสนาโบราณต่างๆ ทั่วโลก ที่ประทานพรในด้านกามารมณ์ และยังมีลัทธิ หรือศาสตร์ในการบูชาดั้งเดิมสืบทอดกันมาจนถึงยุคของเรา ถือว่าเป็นการตอบคำถามส่วนหนึ่งที่ผมได้รับอยู่เรื่อยๆ ตลอดการทำงานด้านเทววิทยาที่ผ่านมาด้วย

ส่วนใครจะศรัทธาเทวีองค์ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวดังกล่าวแล้ว หรือบางท่านจะแค่ศึกษาไว้เป็นความรู้ก็ได้นะครับ

และการที่บทความนี้ว่าด้วยเรื่องของเทพนารีล้วนๆ ไม่มีเทพเจ้าฝ่ายชาย นั่นก็เพราะในทางเทววิทยาสากลนั้น เทพเจ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ และพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้นผูกพันกับเรื่องของกามารมณ์โดยตรง ไม่อาจแยกออกจากกันได้ เทพฝ่ายหญิงจึงประทานความสำเร็จในเรื่องเช่นนี้ได้มากกว่าเทพฝ่ายชาย

อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเข้าใจร่วมกันเสียก่อนนะครับ ว่า นอกจากเทวีบางองค์ เช่น นางพญาลิลิธ ซึ่งเป็นเทวีแห่งตัณหาราคะโดยตรงแล้ว

เทพนารีทุกองค์ที่ผมจะกล่าวถึงต่อจากนี้ไป ล้วนทรงมีทิพยภาวะหลักๆ เป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น โดยที่เรื่องของกามารมณ์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทรงอุปถัมภ์ เพราะเกี่ยวเนื่องผูกพันกันดังกล่าวแล้วเท่านั้น ไม่ใช่คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของแต่ละองค์

แต่เนื่องด้วยบทความนี้เป็นเรื่องของเทวีแห่งกามารมณ์ ผมก็จะพูดถึงในส่วนนี้เป็นหลัก ทิพยภาวะด้านอื่นๆ แม้จะสำคัญกว่า ก็ขอยกไว้ก่อนนะครับ บางองค์ก็สามารถหาอ่านได้จากหนังสือชุดเทวปกรณ์ที่ผมเขียนไว้แล้ว


เทวีฮาเธอร์ ผลงานของ Sharon George

๑) มหาเทวีฮาเธอร์ (Hathor)

ศาสนาอียิปต์โบราณนั้นมี ๒ นิกายใหญ่ๆ ครับ มหาเทวีฮาเธอร์ทรงเป็นใหญ่ในนิกายที่นับถือ สุริยเทพรา (Ra) เป็นเทพสูงสุด เช่นเดียวกับ พระเทวีไอซิส (Isis) ซึ่งเป็นมหาเทวีแห่งนิกายโอสิเรียน (Osirion : นับถือ จอมเทพโอสิริส Osiris เป็นเทพสูงสุด)

ในฐานะของเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ มหาเทวีฮาเธอร์ คือผู้ดลบันดาลให้สรรพชีวิตก่อเกิด เจริญเติบโต และผันแปรไปตามวัฏจักรแห่งการดำรงอยู่และสืบทอดเผ่าพันธุ์

เทพนารีองค์นี้แสดงถึงพลังที่มาจากท้องฟ้า สัญลักษณ์ของพระนางคือ แม่วัวศักดิ์สิทธิ์ และดวงสุริยะ พระนางทรงรวมไว้ซึ่งคุณสมบัติแห่งสตรีเพศทุกอย่าง

ในด้านของความรักและความใคร่ มหาเทวีฮาเธอร์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์แห่งบรรดาคู่รักทั้งหลาย พระนางประทานความมีเสน่ห์เย้ายวนน่าลุ่มหลงแก่สตรีเพศ และดลบันดาลให้เกิดอารมณ์ปรารถนา

อีกทั้งทรงพอพระทัย ที่จะควบคุมให้เพศสัมพันธ์ระหว่างคู่รักนั้น เป็นไปตามครรลองที่ดีที่สุด แม้แต่การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศก็อาจเยียวยาได้ด้วยทิพยานุภาพแห่งพระนาง

โดยนัยนี้ พระนางจึงทรงเป็นเทวีแห่งกามารมณ์ และกิจกรรมทางเพศ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในอันดับต้นๆ ของพระนาง ซึ่งในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย หรือควรปิดบังแต่อย่างใดครับ


เทวรูปเทวีฮาเธอร์ เนื้อเรซินผสมผงหินอ่อน

เทวสถานของพระนางนั้น เปิดกว้างเสมอสำหรับคู่รักทุกคู่โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ นั่นก็เพราะว่าพระนางโปรดการแต่งงานมาก การที่ได้ประทานพรให้คู่รักสมหวังและได้แต่งงานกัน ทำให้พระนางมีความสุข

ถ้ามีพิธีการแต่งงานที่ใด แม้จะเป็นพิธีในคติโอสิเรียน ก็ต้องอัญเชิญมหาเทวีฮาเธอร์เป็นประธาน และขอพลังจากพระนางคุ้มครองชีวิตสมรสให้ยั่งยืนตลอดไป

เทวสถานบางแห่ง ยังอนุญาตให้คู่สมรสประกอบพิธีกามบูชา คือเสพสังวาสกันถวายพระเทวรูป หากต้องการขอพรเป็นพิเศษด้วย

ปัจจุบัน ศาสตร์ในการบูชามหาเทวีฮาเธอร์ ยังคงได้รับการสืบทอดในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับสมัยอียิปต์โบราณ ไม่ว่าจะในการของการเทวาภิเษกพระเทวรูป และมนต์คาถา ตลอดจนพิธีกรรมแบบอียิปต์โบราณ ดังที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ สุริยเทวีปกรณ์ นั่นละครับ


มหาเทวีอินันนา ตามจินตนาการของศิลปินยุคปัจจุบัน

๒) มหาเทวีอินันนา (Inanna)

ทรงเป็นที่สักการะกันใน อารยธรรมสุเมเรียน (Sumerian) อันเป็นอารยธรรมยุคแรกๆ ที่เจริญขึ้นในดินแดนลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส (Tigris-Euphraetes) ซึ่งทางโบราณคดีนิยมเรียกว่า เมโสโปเตเมีย

จากเพลงสวดภาษาสุเมเรียนที่เรียกกันว่า The Exaltation of Inanna ซึ่งเป็นบทพระนิพนธ์ของ เจ้าหญิงเอนเฮดูอันนา (Enheduanna) พระธิดาใน พระเจ้าซาร์กอนแห่งอักกาด (Sargon of Agade in Akkad) เมื่อ ๒,๓๕๐ ปีก่อนคริสตกาล อธิบายถึงเทวลักษณะของมหาเทวีอินันนาไว้ว่า ทรงรุ่งโรจน์ไปด้วยความน่าลุ่มหลง น่ายำเกรง และทรงพลังอำนาจ ทรงเป็นที่รักของมนุษยโลกและเทวโลก ทรงควบคุมสัมพันธภาพระหว่างชายหญิง และองค์ประกอบทุกอย่างในเรื่องเพศ 

แต่...ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงเป็นเทวีที่น่ากลัว พระนางทรงบันดาลให้พืชผลต่างๆ เกิดโรคร้ายแรงขึ้นได้

เพราะด้วยเทวฐานะที่ทรงเป็นพระแม่ธรณีนั้น ย่อมทรงอำนาจสูงสุดที่จะกำหนดว่า ยามใดควรมีความอุดมสมบูรณ์ และยามใดควรจะแห้งแล้ง ซึ่งมนุษย์ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้เลยครับ

เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้ในยามปกติจะทรงเป็นเทวีแห่งความรัก แต่ในการศึกพระนางก็ยังทรงเป็นเทวีแห่งการสงครามอีกด้วย และอาจทรงนำความหวาดหวั่นมาสู่มนุษย์ในลักษณาการต่างๆ หากว่าทรงมีพระประสงค์ ชะตากรรมแห่งมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความพอพระทัยแห่งพระนางทั้งสิ้น

มหาเทวีอินันนา จึงอาจเทียบได้กับพระเป็นเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือทุกๆ ชีวิต ผู้อุปถัมภ์ทุกสิ่งในอารยธรรมสุเมเรีย เชื่อกันว่าผู้ใดที่บูชาพระนาง เมื่อตายไปแล้วจะได้รับความเป็นอมตะทางวิญญาณ ไม่มีการดับสูญ

พิธีกรรมที่เกี่ยวกับมหาเทวีอินันนา เป็นรัฐพิธีที่สำคัญที่สุด เรียกกันว่า The Ritual Marriage of the God โดยกษัตริย์จะต้องทรงพระบรรทมร่วมกับอธิการีของนักบวชหญิงในเทวสถานปีละครั้ง เพื่อเป็นพันธสัญญาแห่งความอุดมสมบูรณ์ในผลผลิตของอาณาจักร

จากภาพสลักบนแผ่นอิฐที่ได้ค้นพบเป็นจำนวนมาก แสดงเทวลักษณะที่สำคัญที่สุดของเทพนารีองค์นี้ คือพระวรกายเปลือยเปล่า ทรงมีปีกเหมือนนก ปลายพระบาทก็เป็นกรงเล็บแบบนก ประทับยืนเหนือสิงโต

จากเทวลักษณะเช่นนี้ ได้มีการพรรณนาไว้อย่างเป็นปริศนาธรรมว่า ทรงสวมหน้ากากของสตรีที่เย้ายวนน่าลุ่มหลง โดยปิดบังความน่าสะพรึงกลัวภายในไว้


แผ่นอิฐแกะสลักภาพของมหาเทวีอินันนา ที่เรียกกันว่า The Burney Relief
อายุราวๆ ๑,๘๐๐-๑,๗๕๐ ปีก่อนคริสตกาล
ปัจจุบันจัดแสดงใน British Museum

ในสมัยของอารยธรรม อัสสิเรีย (Assyria) คุณสมบัติทุกอย่างของพระนางได้พัฒนาขึ้นอีก โดยทรงมีพระนามว่า อิชตาร์ (Ishtar) และทรงเป็นพระมเหสีของพระเป็นเจ้าสูงสุด คือ จอมเทพอัสซูรา (Assura or Ashura : คือคำว่า อสูร ในศาสนาพราหมณ์นั่นแหละครับ)

และในความเชื่อของชาวอัสสิเรียน เทพนารีองค์นี้ก็ทรงเกี่ยวข้องกับกามารมณ์มากยิ่งขึ้นไปอีกครับ 

พระนางทรงอุปถัมภ์ความสัมพันธ์ทางเพศในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งโสเภณี ซึ่งถือว่าเป็น พรตอันศักดิ์สิทธิ์ ของสตรีที่บูชาพระนางเลยทีเดียว

ลัทธิดังกล่าว  ได้รับความนิยมนับถือในนคร อัสซูร์ (
Assur) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของอัสสิเรีย และบาบิโลน รวมทั้งได้แพร่ขยายไปยังดินแดนอื่นที่ห่างไกลออกไปด้วย

ดังปรากฏว่า ในวัฒนธรรม ฟีนิเชีย (Phoenicia) ได้นับถือพระเทวีองค์นี้ภายใต้พระนามภาษาฟีนิเชียนว่า อัสตาร์เต (Astarte) ในขณะที่ชาวฮีบรูว์ยุคแรกๆ หลายพวกก็พากันนับถือ และถวายพระนามว่า อัชทารอธ (Ashtaroth)

พิธีกรรมบูชาพระเทวีในสองชนชาตินี้ ล้วนแสดงออกในเรื่องกามารมณ์อย่างชัดเจนครับ เป็นต้นว่าการร่วมเพศของสาวกชายหญิง ประกอบการเริงระบำอย่างเร่าร้อนในเทวสถาน เพื่อให้พระเทวีทรงพอพระทัย

ปัจจุบัน มหาเทวีองค์นี้ยังคงได้รับการบูชาทั้งในภาคของ มหาเทวีอินันนา และ พระเทวีอิชตาร์ โดยเทวรูปและเครื่องรางของพระนางในภาคของมหาเทวีอินันนา ยังคงยึดถือรูปแบบดั้งเดิมจากภาพสลักบนแผ่นอิฐของสุเมเรียน

ส่วนในภาคของพระเทวีอิชตาร์นั้น มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปมากมาย แต่ในการบูชาก็ไม่ประสบผลเท่าในภาคของมหาเทวีอินันนา



เทวีทลาโซลเตโอทล์ ฉลองพระองค์แบบเทพนารีอัซเท็ค
ภาพโดยศิลปินร่วมสมัย

๓) เทวีทลาโซลเตโอทล์ (Tlazolteotl)

เป็นเทวีในลัทธิศาสนาของ จักรวรรดิอัซเท็ค (Aztec) ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพื้นที่ที่บัดนี้คือประเทศเม็กซิโก

คณะเทพอัซเท็คนั้น แม้แต่เทพแห่งความดีงามก็มีบุคลิกภาพที่ดุร้าย น่าสะพรึงกลัว เทวีทลาโซลเตโอทล์ก็เช่นกันครับ พระนางทรงเป็นเหมือนพระแม่กาลีแห่งอเมริกากลางก็ว่าได้

เพราะขณะที่ทรงอุปถัมภ์ความรัก, ความปรารถนา กามารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนพิธีชำระให้บริสุทธิ์ (Purification) รวมทั้งทรงเป็นคุรุเทพของพวกหมอตำแยนั้น

พระนางก็ทรงเกี่ยวข้องกับบาปเคราะห์, กามโรค และทรงมีความเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ด้วย

กล่าวคือ เชื่อกันว่า กามโรค หรือโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากเพศสัมพันธ์ต่างๆ นั้น เกิดจากการดลบันดาลของพระนาง โดยเฉพาะจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณี 

แต่ถ้าเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดในสามีภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณี ก็สามารถขอให้พระนาทรงบำบัดได้ครับ


เทวรูปเทวีทลาโซลเตโอทล์ พบในเวราครูซ (Veracruz)
อายุราวๆ ค.ศ.๑๐๐-๙๐๐

และแม้การแพทย์ของอัซเท็ค จะไม่เจริญก้าวหน้าเท่าการแพทย์แผนปัจจุบันของพวกเรา แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปในยุคเดียวกัน คือเชื่อว่า โรคทางเพศสัมพันธ์ และโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายชนิด เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีพอ ซึ่งจะรักษาได้ด้วยการแช่น้ำอุ่น ในพิธีชำระให้บริสุทธิ์นั่นเอง

โดยนัยนี้ พระนางจึงทรงเกี่ยวข้องกับน้ำร้อน และยังทรงใช้พิธีกรรมดังกล่าวนี้ ทรงปลดเปลื้องผู้บูชาจากบาปเคราะห์ทั้งปวงด้วย

ในลัทธิศาสนาของอัซเท็คนั้น มีความเชื่อในเรื่องการสารภาพบาป คล้ายกับศาสนาคริสต์ โดยมีเทพอยู่ 2 องค์ที่มีบทบาทสำคัญในด้านนี้ คือ เทพอสูรเทซคัทลิโปคา (Tezcatlipoca) ซึ่งเป็นเทพแห่งการบูชายัญ และ เทวีทลาโซลเตโอทล์

เชื่อกันว่า ชาวอัซเท็คผู้ใดก็ตามได้ทำพิธีสารภาพบาป (โดยเฉพาะในด้านตัณหาราคะ) เบื้องหน้าเทวรูปของเทวีทลาโซลเตโอทล์ เขาก็มั่นใจได้ว่า บาปเคราะห์ของเขาจะถูกขจัดให้สูญสิ้นไป

ในทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า เดิมพระนางทรงเป็นเทวีของชนเผ่าที่ตั้งหลักแหล่งอยู่แถวอ่าวเม็กซิโกมาก่อน เมื่อชนชาติอัซเท็คเข้าครองพื้นที่ดังกล่าว พระนางก็ทรงกลายเป็นเทพนารีที่ใกล้ชิดกับวิถีวัฒนธรรมของชนชาตินี้ ตลอดยุครุ่งเรืองของอัซเท็ค

ช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา มีการฟื้นฟูการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของอัซเท็ค โดยนักเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมในเม็กซิโก และชาวตะวันตกที่ชื่นชอบเทพเจ้าเหล่านี้ก็ตอบรับเป็นอย่างดี เทวีทลาโซลเตโอทล์ก็ทรงเป็นหนึ่งในบรรดาเทพที่ได้รับความนิยมบูชาอีกครั้ง

และกล่าวกันว่า ทรงประทานพรในเรื่องเซ็กซ์อย่างไม่ยิ่งหย่อน กว่าพระแม่แห่งกามาองค์อื่นๆ ในบทความนี้
ด้วยครับ


นางพญาลิลิธ ผลงานของ Luis Royo

๔) นางพญาลิลิธ (Lilith)

ในความเชื่อของอารยธรรมสุเมเรีย และ บาบิโลเนีย (Babylonia) ราว ๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เธอปรากฎในตำนานของนางปีศาจ ลามัซตู (Lamashtu) ซึ่งเป็นผู้คุกคามสตรีมีครรภ์ และเด็กอ่อนครับ

นางปีศาจผู้นี้ ยังมีอีกหลายชื่อ เช่น อาร์ดัท ลิลี (Ardat Lili) หรือ ลีลีตู (Lilitu) ผู้เป็นคู่ครองของจอมปิศาจ ลีลู (Lilu)

เธอมักได้รับการบรรยายว่า เป็นหญิงสาวสวยยั่วยวนใจ เร้าความรู้สึกทางเพศ เต็มไปด้วยตัณหาราคะ แต่ปราศจากศีลธรรม เธอจะใช้มารยาล่อลวงชายขณะหลับไหล ทั้งยังชอบสังหารเด็กๆ

ชนชาติทั้งหลายในเมโสโปเตเมีย ต่างพากันหวาดกลัวนางพญาแห่งรัตติกาลผู้นี้กันทั่วไป พวกยิวซึ่งกลัวมากที่สุด ได้นำเรื่องราวของเธอไปปรุงแต่งในชื่อใหม่ว่า ลิลิธ และผูกนิยายว่า พระยะโฮวาห์ทรงทร้างอดัมและลิลิธขึ้นจากฝุ่นดิน เพื่อให้เป็นสามีภรรยากัน

แต่ต่อมา ได้เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างมนุษย์คู่แรก พระเจ้าจึงขับไล่ลิลิธออกจากสวนสวรรค์แห่งอีเดน แล้วมอบให้เป็นของขวัญแก่ซาตาน เธอคือภรรยาคนแรกในจำนวนทั้งหมด ๔ คนของของจอมปิศาจ จากนั้นก็สร้าง อีฟ ขึ้นมาให้เป็นภรรยาของอดัมแทน

ชื่อและเรื่องราวของลิลิธ อันตรธานไปจากพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิม แต่ยังสามารถค้นได้ในบันทึกความเชื่อโบราณของชาวยิว ซึ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อคริสตศตวรรษที่ ๑๓ ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในทางสาธารณะอีกครั้งหนึ่ง และกลายเป็นที่หวาดกลัวของคริสตศาสนิกชนทั่วยุโรปมาตั้งแต่นั้น

ลิลิธตามความคิดของชาวคริสต์ ได้ชื่อว่าเป็นราชินี และมารดาแห่งปีศาจทั้งปวง เธอยังนับว่าเป็นต้นกำเนิดของ แวมไพร์ (Vampire) เพราะว่ากันว่า ลิลิธนั้นจะชอบฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอของมนุษย์ เพื่อดูดกินเลือดเป็นภักษาหารนั่นเองครับ

ปัจจุบัน ลัทธิบูชานางพญาลิลิธ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับลัทธิบูชาซาตาน ซึ่งได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น จากกระแสการต่อต้านศาสนาคริสต์ และศาสนายิวในโลกตะวันตก พระนางได้รับการบรรยายว่าเป็นสตรีสาวสวยน่าลุ่มหลง เปลือย หรือแต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น เบื้องหลังของพระนางมีปีกค้างคาว หรือปีกค้างคาวที่มีขนแบบนก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ และเวลากลางคืน


ประติมากรรมนางพญาลิลิธ ออกแบบโดย Milosh Meehan

แต่จะว่าไปแล้ว พิธีกรรมของลัทธิบูชาซาตานในสำนักต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการนั้น มิได้มีลักษณะรุนแรงชั่วร้าย ดังที่คริสตจักรพยายามล้างสมองคนทั่วไปหรอกครับ

พิธีกรรมที่จัดกันส่วนใหญ่เน้นไปในเรื่องเพศ ถ้าจะเกี่ยวข้องกับเลือดและความตาย ก็เฉพาะการฆ่าสัตว์บูชายัญ จะมีก็แต่พวกวิกลจริตบางคน ที่อ้างว่านับถือซาตานแล้วไปก่ออาชญากรรมกับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นละครับ ส่วนคนที่นับถือนางพญาลิลิธนั้น ยิ่งไม่ปรากฏว่ามีข่าวอาชญากรรมหรือทำผิดกฎหมายใดๆ

ที่สำคัญก็คือ นางพญาลิลิธแม้จะน่าสะพรึงกลัว แต่ผู้บูชาพระนางก็ยืนยันว่า พระนางก็เหมือนพระแม่กาลีที่พวกเรารู้จักละครับ คือแม้จะดุร้าย แต่ก็ใจนักเลง และปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนประทานพรให้ผู้บูชาพระนางสมปรารถนาในเรื่องเซ็กซ์ได้ดีมาก

ที่ผ่านมา เทวรูปและเครื่องรางของนางพญาลิลิธ พบเห็นได้ไม่มากนัก เพราะเป็นของที่บูชากันภายในลัทธิซาตาน จึงทำให้ศิลปินชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงบางคน ได้นำรูปลักษณ์ของ มหาเทวีอินันนา แห่งเมโสโปเตเมีย มาสร้างเป็นเทวรูปของนางพญาลิลิธออกจำหน่าย ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันทั่วไป

แต่ปัจจุบัน ได้มีศิลปินร่วมสมัยในยุโรปและอเมริกา ได้รังสรรค์ประติมากรรมแห่งนางพญาลิลิธออกมาหลายรูปแบบ ซึ่งตรงกับที่มีการบรรยายไว้ในคัมภีร์ทางศาสนา ดังภาพประกอบในบทความนี้ละครับ 



มหาเทวีเฟรยา ต้นธารของศาสตร์แม่มดในยุโรป

๕) มหาเทวีเฟรยา (Freya)

เทพนารีองค์นี้ ทรงมีคุณสมบัติที่หลากหลายอย่างยิ่ง ทรงได้รับการสรรเสริญว่างดงามเหนือกว่าเทพนารีทุกองค์ ทรงมีพระเกศาสีทองเป็นประกาย พระพักตร์งามสดใส เรือนร่างบอบบางเปี่ยมด้วยความเย้ายวนน่าลุ่มหลงภายใต้พัสตราภรณ์น้อยชิ้น สะกดทุกคนที่เห็นให้ตกเป็นทาสของพระนางได้ในชั่วไม่กี่วินาที

พระนางทรงเป็นเทวีแห่งความรักและกามารมณ์ พระนางมอบเสน่หาและพลังแห่งความน่าหลงใหลแก่สาวรุ่น พระนางดลบันดาลให้ชายหญิงปรารถนาในกันและกัน และทรงถนอมความรักของทั้งสองให้เอิบอาบไปด้วยความพึงพอใจซึ่งกันและกันเรื่อยไป ภายใต้กฎแห่งเสรีภาพและความเสมอภาค

และตามเทวปกรณ์แห่ง ลัทธิศาสนาอาซาทรู (Asatru : ศาสนาของชาวไวกิ้ง) พระนางก็ทรงเกี่ยวข้องด้วยความรักอย่างมากมายจริงๆ ครับ

แม้ว่าจะทรงมีพระสวามี แต่พระสวามีนั้นก็แทบจะไร้ตัวตน และพระนางก็ปรากฏพระองค์อย่างอิสระเสมอ ไม่ผูกพันกับใคร และไม่มีใครที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยของพระนางยิ่งไปกว่าพระนางเอง

พระนางทรงสวมสร้อยพระศอ บรีซซิงกาเมน (Brisingamen) ที่กล่าวกันว่างดงามที่สุดในจักรวาล และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่มีวันถ่ายถอน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจากสร้อยพระศอนี้ พระนางต้องทรงมีสัมพันธ์สวาทกับคนแคระ ๔ คนเพราะมัน

ในขณะเดียวกับที่ทรงผูกพันอยู่กับเรื่องของความสวยงาม ความรัก เซ็กซ์ และความอุดมสมบูรณ์ เทพนารีองค์นี้ก็ทรงมีอีกด้านหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ด้วยครับ

เพราะพระนางทรงเป็นนางพญา ผู้ควบคุมกองทัพนางฟ้าแห่งสงคราม หรือ วัลคีรีส์ (Valkyrie) ผู้คัดเลือกดวงวิญญาณเหล่านักรบในสงครามต่างๆ กล่าวอย่างง่ายที่สุดก็คือ ทรงมีอำนาจเต็มในการพิพากษาว่าใครควรจะอยู่หรือควรจะตายนั่นเอง

มหาเทวีเฟรยา ยังทรงเป็นคุรุเทพแห่งศิลปะการใช้เวทมนต์ ที่เรียกว่า ซีเธอร์ (Seidhr) ซึ่งเป็นไสยเวทอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในมายาศาสตร์สแกนดิเนเวีย นอกเหนือไปจาก Runes Magic ซึ่งเป็นของ จอมเทพโอดิน (Odin) ซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด 


เทวรูปมหาเทวีเฟรยา เนื้อเรซินผสมผงหินอ่อนระบายสี
ขณะเขียนบทความนี้ คงเหลือแต่เนื้อชุบสีเลียนแบบสำริด

ซีเธอร์ เป็นมายาศาสตร์ที่ถ่ายทอดกันในหมู่ผู้ใช้เวทมนต์ที่เป็นสตรี โดยมากเป็นเรื่องของการใช้คาถา และวัตถุธรรมชาติ เช่นสมุนไพร ตลอดจนน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ เพื่อผลในทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม การปลุกเร้าอารมณ์เพศ รวมไปถึงการบำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพ และโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ นับเป็นต้นธารของศาสตร์แห่งแม่มด หรือ Witchcraft ทั้งปวงในยุโรป

ปัจจุบัน มหาเทวีเฟรยาได้รับความนิยมในการบูชาในระดับที่แพร่หลายมากครับ ไม่ว่าจะเป็นการบูชาเคียงคู่กับ จอมเทพโอดิน หรือบูชาโดยลำพัง

เทวรูปของพระนางที่หล่อด้วยเรซินผสมผงหินอ่อน มีให้สั่งซื้อได้ง่ายในอินเตอร์เน็ต และยังคงมีศาสตร์ในการบูชา เวทมนต์ และพิธีกรรมที่สืบทอดจากยุคของชาวไวกิ้ง ตามที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ อติเทวปกรณ์ ครับ


พระแม่ระตี ผลงานของศิลปินตะวันตกยุคปัจจุบัน

๖) พระแม่ระตี (Rati)

ในเทวปกรณ์ฮินดู พระแม่ระตีทรงมีบทบาทไม่มากนัก คนทั่วไปรู้เพียงว่า พระนางทรงเป็นชายาของพระกามเทพ เมื่อเหล่าเทพยดาทั้งปวงต้องการให้พระศิวะทรงมีพระชายา เพื่อให้เกิดโอรสไปปราบตารกาสูร พระนางกับพระสวามีได้เริงระบำอันเร่าร้อนด้วยกัน เพื่อปลุกพระศิวะจากฌาน

ผลก็คือพระศิวะทรงเผาพระกามเทพมอดไหม้ไป และพระกามเทพได้ไปเกิดใหม่เป็น พระปรัทยุมน์ (Pradyumna) โอรสของพระกฤษณะ พระแม่ระตีจึงได้ตามไปเกิดใหม่เช่นกันโดยมีชื่อว่า มายาวดี (Mayavati) จนทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขอีกครั้ง

แต่ในความเป็นจริง พระกามเทพมิได้ถูกเพลิงกรดของพระศิวะเผาเป็นจุล และไม่มีการไปเกิดใหม่อะไรหรอกครับ ทั้งหมดเป็นเพียงเทพนิยายที่ปราชญ์ในไศวะนิกายแต่งขึ้นเพื่อผลในทางปรัชญา และเป็นการข่มลัทธิการบูชาพระกามเทพกับพระนางระตีด้วย เนื่องจากลัทธิดังกล่าวขัดแย้งกับการถือพรตของเหล่าโยคี ซึ่งเป็นอุดมคติของไศวะนิกายเท่านั้นแหละครับ

ดังนั้น ทุกวันนี้จึงยังคงมีลัทธิบูชาพระกามเทพ และพระแม่ระตีอยู่ ในลัทธินี้พระนางนับว่าทรงเป็นเทวีแห่งความรัก ความปรารถนา ตัณหา กามารมณ์ และความสุขทางเพศอย่างแท้จริงที่สุดในศาสนาฮินดูครับ

พระนามของพระแม่เจ้าองค์นี้ มาจากถ้อยคำในภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง ความสุขและความเพลิดเพลินในทางกายภาพ โดยเฉพาะความสุขของกิจกรรมทางเพศ ซึ่งไม่เน้นในเรื่องของครอบครัว

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ที่จะมีลูกหลานสืบสกุล หรือความเป็นมารดาแต่อย่างใดครับ

พระแม่ระตีนั้น โปรดพิธีการบูชาที่มีกิจกรรมทางเพศเป็นส่วนประกอบ พระนางมีอำนาจที่จะร่ายมนต์แห่งความรักและตัณหาให้บังเกิดแก่ใครก็ได้ กล่าวกันว่าพระนางมักจะทรงเกี่ยวข้องกับความตื่นตัว อารมณ์ และความสุขของกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคน

ในรูปภาพของ พระแม่ชินนมัสตา (Chinnamasta) เราจะเห็นพระแม่องค์นี้เปลือยกาย ตัดศีรษะของพระนางเอง และยืนอยู่เหนือชายหญิงที่กำลังเสพสังวาสกัน ซึ่งก็คือ พระกามเทพกับพระนางระตีนั่นเอง

รูปภาพเช่นนี้ ถูกตีความในทางเทวปรัชญาว่า เป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมตนเองในเรื่องของความต้องการทางเพศ แต่ก็มีการตีความไปในทางอื่น ว่าหมายถึงเทวสตรีที่เป็นศูนย์รวมของพลังงานทางเพศเช่นกัน


เทวรูปพระแม่ระตีทรงหงส์ ศิลปะอินเดียใต้

เนื่องจากฮินดูกระแสหลักในปัจจุบัน พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเพศ รูปบูชาของพระแม่ระตีจึงมีน้อยมาก โดยเฉพาะที่เป็นรูปภาพเดี่ยวๆ นั้นแทบไม่ปรากฏ

แต่ก็มีเทวรูปที่งามมากๆ ในลักษณะประทับบนหงส์ ตามที่เห็นในบทความนี้ละครับ และก็ยังมีมนต์คาถาสำหรับบูชาโดยเฉพาะ ที่รู้กันในหมู่สาวๆ อินเดียยุคใหม่ที่บูชาพระแม่เจ้าองค์นี้กันอยู่ด้วย


หนึ่งในรูปภาพที่ได้รับความนิยมที่สุดของพระแม่กาลี

๗) พระแม่กาลี (Kali)

พระแม่กาลี ก็เหมือนพระแม่ระตี คือแม้ว่าคุณสมบัติที่โดดเด่นอย่างหนึ่งในลัทธิเดิมของพระนางจะเป็นเรื่องเซ็กซ์ แต่เมื่อเข้ามาในศาสนาฮินดูแล้ว ก็ไม่มีการพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระนางในแง่ดังกล่าว แต่ก็ยังคงมีภาพวาดของพระนาง รวมทั้งประติมากรรมที่แสดงถึงเนื้อหาดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

ผมได้เขียนบทความใน blog เดียวกันนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องของพระแม่กาลีล้วนๆ ไปแล้วนะครับ

เพราะฉะนั้น ในบทนี้ก็จะไม่อธิบายอะไรอีก ขอพูดเฉพาะความเกี่ยวข้องระหว่างพระนางกับเรื่องเพศ โดยเฉพาะกามบูชา หรือการร่วมเพศเพื่อเป็นการบูชาพระแม่เจ้าองค์นี้ ตาม concept ของบทความนี้เพียงอย่างเดียว

โดยนอกจากพิธีกรรมของพวกวามจารี ซึ่งประกอบด้วยการดื่มน้ำเมา (มัตยะ) - บริโภคเนื้อสัตว์สดๆ (มางสะ) - สาธยายมนตร์ปลุกกำหนัด (มนตร์) - ร่ายรำด้วยลีลายั่วยวนเร่งเร้าความรู้สึกทางเพศ (มุทรา) และร่วมเพศ (ไมถุน) ตามที่ผมเคยเขียนไปแล้วนะครับ

การบูชาพระแม่กาลี ยังมีพิธีกรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จัดขึ้นในเทวาลัยของพระนางเช่นกัน โดยจะต้องรวบรวมผู้ร่วมประกอบกามกิจ ในจำนวนที่เป็นเลขคี่ คือ ๓-๕-๗-๙ หรือบางครั้งจำนวนอาจมากกว่านั้นในพิธีใหญ่ๆ แต่โดยมารตรฐานคือ ๙ เท่าจำนวนดาวนพเคราะห์ตามหลักโหราศาสตร์

ในพิธีบูชาพระแม่กาลีนั้น ตั้งแต่เริ่มจนจบ ความสำคัญอยู่ที่สตรี บุรุษเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น การเสพสังวาสก็จะเป็นไปในหลายแบบ อาทิเช่น หญิงกับหญิง ชายกับชาย หญิงคนเดียวชายหลายคน เพราะจำนวนเป็นเลขคี่ จึงไม่มีการจับคู่กันไงครับ

ตรงศูนย์กลางของมณฑลพิธี จะมีเด็กสาวเปลือยกายเป็นตัวแทนของพระแม่กาลี เด็กสาวผู้นี้มิได้ร่วมในกามกิจ แต่ทำหน้าที่คอยรับเครื่องบูชาเช่นรวงข้าว ดอกไม้ ผลไม้ ของหวาน ผ้าแพรไหมตลอดจนเพชรนิลจินดา ที่ผู้บูชาพระแม่กาลีมอบให้


เทวรูปพระแม่กาลีแบบนี้ เหมาะสำหรับการบูชาเพื่อผลในเรื่องเซ็กซ์
และยังไม่กระทบกับการบูชาพระศิวะด้วย

เครื่องบูชาเหล่านี้ จะถูกแจกจ่ายให้กับเหล่าหญิงที่อยู่ในมณฑลพิธี และร่วมประกอบกามกิจบูชาพระแม่เมื่อพิธีสิ้นสุดลง เด็กสาวผู้เป็นตัวแทนพระแม่มิได้รับไปใช้ส่วนตัวหรอกครับ เธอทำหน้าที่รับแทนองค์พระแม่ และแจกจ่ายกลับไปที่ผู้ประกอบกามบูชาเป็นของรางวัลจากองค์พระแม่มากกว่า

พิธีกรรมที่บรรยายมานี้ เป็นเรื่องเร้นลับภายในลัทธิเดิมของพระแม่กาลีเท่านั้น บุคคลทั่วไปไม่มีโอกาสได้รู้เห็น การบูชาพระแม่กาลีของชาวอินเดียโดยทั่วไป ถ้าไม่เป็นแบบฮินดูก็เน้นการบูชายัญด้วยสัตว์เช่นแพะมากกว่า กามบูชาเป็นเรื่องที่ทำกันส่วนบุคคลเฉพาะสามีภรรยา หรือคู่รักที่ไม่เคร่งศาสนาฮินดู จึงเป็นการยากที่จะรู้ได้อย่างแน่ชัดว่า มีความนิยมแพร่หลายมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้บูชาพระนางแพร่หลายขึ้นในเมืองไทยทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องของการประทานพรในด้านกามารมณ์นี่แหละครับ


พระแม่หนี่วา ผลงานของศิลปินจีนยุคปัจุบัน

๘) พระแม่หนี่วา (Nu Wa)

เทพนารีองค์นี้ ทรงได้รับการนับถือว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ โดยทรงปั้นขึ้นจากดินที่ริมฝั่งแม่น้ำเหลือง และสิ่งนี้ทำให้พระนางทรงกลายเป็นเทพแห่งความรัก และกามารมณ์ไปด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

นั่นก็เพราะภายหลังจากความเหนื่อยล้า ในการสร้างมนุษย์ทั้งชายและหญิงเป็นจำนวนมาก พระนางทรงได้คิดว่า ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่เทพ พวกเขาไม่อาจอยู่ค้ำฟ้าเช่นพระนาง และถ้าพวกเขาสิ้นอายุลง พระนางก็ไม่อาจจะทรงรับภาระในการให้กำเนิดมนุษย์ทั้งโลกได้ตลอดไป 

พระแม่หนี่วาจึงประทานพลังอำนาจ ให้มนุษย์ที่ต่างเพศกันนั้นสามารถที่จะสมสู่กัน เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ด้วยตนเอง จากนั้นพระนางก็ทรงสั่งสอนสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวแก่การครองเรือนแก่คู่สามีภรรยาเหล่านั้น ซึ่งเรื่องเซ็กซ์ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นละครับ

ใน Wikipedia นั้นถึงกับกล่าวว่า พระนาง represents heaven and the never ending sexual desire between married couples เลยทีเดียว

แต่เทววิทยา และวรรณคดีจีนไม่พูดออกมาตรงๆ ในส่วนนี้ นั่นก็เพราะวัฒนธรรมจีนมีปัญหาในการพูดถึงเรื่องเพศเช่นเดียวกับวัฒนธรรมอินเดีย แม้จะมีความต้องการผลผลิตของประชากรประเภท ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองพอๆ กันก็ตาม
         
พระแม่หนี่วา ตามที่ปรากฏในปฐมกาลนั้นเป็นเทพนารีผู้ทรงพระสิริโฉม แต่ก็ดูน่าสะพรึงกลัวมาก เพราะทรงมีพระวรกายท่อนล่างเป็นมังกรหรืองู ในเวลาต่อมาจึงปรากฏพระองค์ด้วยเทวลักษณะอันงามสมบูรณ์แบบ

พระนางทรงมีสัญลักษณ์คือก้อนหินห้าสี  ซึ่งเตือนให้เราระลึกถึงการที่ทรงช่วยเหลือบรรพชนของเรา ให้พ้นมหาวิบัติภัยจากวันโลกาวินาศในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ทำให้พระนางทรงได้รับความนิยมนับถือสูงสุด

แต่แม้จะทรงมีน้ำพระทัยเมตตาต่อมวลมนุษย์ อย่างหาที่เปรียบมิได้ ในอีกแง่หนึ่ง พระนางก็ทรงมีความเด็ดขาดเพียงพอที่จะลงโทษคนชั่วให้ถึงแก่ความวิบัติได้เช่นกัน ดังเช่นการส่ง นางพญาจิ้งจอกเก้าหาง ไปมอมเมาจอมทรราชย์แห่งราชวงศ์ซาง จนพินาศสูญบ้านสิ้นเมือง


เทวรูปพระแม่หนี่วายุคปัจจุบัน ทำด้วยไม้แกะสลักระบายสี

เรื่องของนางพญาจิ้งจอกเก้าหาง แปลงร่างเป็น พระสนมต๋าจี มอมเมา โจ้วหวาง จอมทรราชย์นี้ เป็นตำนานโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งของจีน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ วรรณกรรมจีนมีวิธีเล่าตำนานนี้โดยทำให้ผู้คนแทบจะลืมไปสนิทว่า นางจิ้งจอกเก้าหางในคราบต๋าจีนั้น ใช้ความยั่วยวนและตัณหาราคะมอมเมาจอมทรราชย์

ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเย้ายวนทางเพศ จนทำให้เกจิอาจารย์ชาวไทยนำมาสร้างเป็นเครื่องรางด้านเสน่ห์และราคะกันเป็นอันมาก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นับว่าเป็นอีกพฤติการณ์หนึ่ง ที่ทำให้พระแม่หนี่วามีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรื่องของความใคร่และกามารมณ์ แม้ว่าจะมิได้เกิดจากเจตนาของพระนางเองก็ตาม

ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ พระแม่หนี่วากำลังได้รับความนับถือมากในจีนแผ่นดินใหญ่ และเทวรูปของพระนางก็หาได้ง่ายในอินเตอร์เน็ต รวมทั้งมีเทวรูปของพระนางให้กราบไหว้ในเมืองไทยของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ที่ จ.ชลบุรี และใน อุทยานมังกรสวรรค์ ที่ จ.สุพรรณบุรี

อย่างไรก็ตาม การบูชาพระแม่หนี่วานั้น สามารถนำมาซึ่งความสำเร็จในเรื่องความรักและกามารมณ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องบูชาให้แตกต่างจากเทพนารีจีนองค์อื่น เพราะพระนางจะทรงจัดสรรให้ ตามที่เหมาะที่ควรกับผู้บูชาอยู่แล้วครับ




ครับ...ก็เป็นอันว่าครบถ้วน สำหรับเทพนารีองค์สำคัญ ที่ประทานพรในเรื่องกามารมณ์ และยังมีคติการนับถือกันอยู่ในทุกวันนี้

และขอย้ำว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เป็นการตอบคำถามที่ได้รับมาตลอด รวมทั้งเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจ ไม่ใช่การเชิญชวนให้ใครไปกราบไหว้บูชาพระแม่เหล่านี้นะครับ

เพราะแม้การบูชาพระแม่ทั้ง ๘ องค์นี้ ถึงจะดีกว่า-ปลอดภัยกว่าการเล่นคุณไสยมนต์ดำ แต่ก็ยังมีอาถรรพณ์อยู่ดี ด้วยว่านอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้ว แทบทุกองค์ก็ทรงเป็นเทวีแห่งชีวิตและความตายด้วย

และคนบูชาเทพในเมืองไทยเรา โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก ก็มักจะบูชาเทพอย่างเป็นของเล่น นึกจะบูชาก็แสวงหามาบูชา พอเบื่อก็เลิก หรือไม่ก็บูชาอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม

ซึ่งถ้ามาทำอย่างนี้กับพระแม่ ๘ องค์นี้ ในที่สุดก็จะพบกับความวิบัติหายนะ ไม่แตกต่างกับการเล่นคุณไสยมนต์ดำหรอกครับ

การบูชาเทพนารี ๘ องค์นี้ จึงเหมาะกับผู้บูชาที่มีวุฒิภาวะ รู้จักตนเอง และมีวินัยในการควบคุมตนเอง ตลอดจนมีศีลธรรม คุณธรรม จึงจะบูชาได้ผลดีที่สุดครับ


.........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

พระแม่หนี่วา

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




พระแม่หนี่วา (Nű Wa) เป็นเทพมารดรที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของจีน 

ซึ่งผมได้เรียบเรียงเรื่องของพระแม่เจ้าองค์นี้ไว้โดยเฉพาะแล้วใน บูรพเทวีปกรณ์ : พระแม่หนี่วา พระแม่ฉางเอ๋อ พระแม่เหอเซียนกู ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ มีเนื้อหาที่ผ่านการจัดรูปเล่มแล้วมากกว่า ๖๐ หน้า

เพราะฉะนั้น อะไรที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนั้นแล้ว ผมก็จะไม่นำมากล่าวถึงในบทความนี้อีกนะครับ

แต่เรื่องที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ก็ยังมีอีกมาก พอจะนำมาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้ได้เหมือนกัน 

แม้ว่าตอนที่เรียบเรียงหนังสือดังกล่าว ผมจะพยายามให้ครอบคลุมทุกประเด็น ที่เกี่ยวกับพระแม่องค์นี้ที่สุดแล้วก็ตาม

เป็นความจริงที่ว่า คนไทยเราที่สนใจบูชากราบไหว้ทวยเทพต่างๆ ส่วนมากไม่รู้จักพระแม่หนี่วา

และที่จริงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนไทยที่รู้จักพระแม่หนี่วา ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน และไม่ใช่ลูกจีนที่ไหว้เจ้าจีน แต่เป็นลูกจีนที่อ่านการ์ตูนจีน ดูหนังจีนเป็นหลัก

นั่นก็เพราะพระแม่องค์นี้ ทรงเป็นตัวละครที่มีบทบาทหรือถูกกล่าวถึงในนิยายภาพจีน และภาพยนตร์จีนอยู่เสมอไงครับ

ส่วนคนจีนที่ไหว้เจ้าเป็นประจำ ก็มีอยู่ไม่มากนักที่จะรู้จักพระแม่หนี่วา หรือที่ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกกันว่า หนึ่งออ ไม่ว่าจะเป็นคนจีนในเมืองไทย ในฮ่องกง ไต้หวัน หรือแม้แต่แผ่นดินใหญ่

พูดตรงๆ ก็คือ ที่ผ่านมาคนส่วนมากมิได้สนใจที่จะกราบไหว้พระแม่องค์นี้ 

นั่นก็เพราะว่าพระนางเป็นเทพรุ่นโบราณมาก จนคติการบูชาพระนางเลือนหาย กลมกลืนไปกับเทพพื้นเมืองอื่นๆแทบจะหมดสิ้นแล้ว

แต่พระนางก็ยังมีคุณค่าในทางจิตวิญญาณ เรื่องเล่าเก่าแก่ที่ว่าพระนางปั้นมนุษย์ขึ้นจากดินริมฝั่งแม่น้ำเหลือง และการอุดรูรั่วบนท้องฟ้าด้วยก้อนหินห้าสีเมื่อวันมหาวิบัติโลก เป็นสิ่งที่ยังคงได้รับความนิยมนำมาเผยแพร่กันจนกระทั่งทุกวันนี้ครับ





ที่เมืองจีน ยังมีการปั้นประติมากรรมของพระนางไว้อย่างสวยงาม และใหญ่โตมากอยู่ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และอีกหลายเมืองด้วยกัน 

จิตรกรจีนที่มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับเทพนิยาย แทบทุกคนยังต้องเคยวาดรูปพระนางเอาไว้ด้วยกันทั้งนั้น

และในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง พระแม่องค์นี้ก็ค่อยๆ หวนกลับมาได้รับการบูชาอย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น 

โดยนอกจากในส่วนของชาวตะวันตก ที่นิยมบูชาแบบ Pagan แล้ว วงการผู้บูชาเทพจีนในเมืองไทยก็ให้การยอมรับเทพนารีเก่าแก่องค์นี้ 

ดังจะเห็นได้จาก การสร้างเทวรูปของพระนางไว้อย่างสวยงามที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี ดังรูปที่นำมาให้ชมกันนี้แหละครับ





การสร้างเทวรูปพระแม่หนี่วาที่ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ พูดกันตรงๆ ก็ต้องว่า เป็นเรื่องของการทรงเจ้า

เทวศาสตร์จีน กับการทรงเจ้าเป็นของคู่กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ครับ 

คนทรงก็มีทั้งจริงและปลอม และที่เป็นของจริงนั้น ก็ถ่ายทอดออกมาแตกต่างกันไป ไม่ค่อยลงรอยกันในแต่ละสำนัก

อย่างพระแม่หนี่วาที่ศาลเจ้าหน่าจาฯ แห่งนี้ก็ไม่เหมือนที่อื่น 

คือเป็นผลจากการ สื่อญาณบารมีของพระองค์ท่านผ่านเจ้าสำนัก คือ อ.สมชาย เฉยสิริ 

แล้วก็ปรากฏว่า ไปปะปนกับคติการบูชาพระแม่อีกองค์หนึ่ง คือ พระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ หรือที่คนแต้จิ๋วเรียกว่า กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง ที่ได้รับความนิยมบูชาในหมู่คนจีนโพ้นทะเล รวมทั้งในประเทศไทยมาก่อน

โดยส่วนที่มาปะปนนั้น เห็นได้จากการที่เทวรูปองค์นี้ประดับอัญมณีสีดำ และมีรูปนกนางแอ่นบนศิราภรณ์ รวมทั้งมีคัมภีร์วางอยู่ข้างพระวรกาย ซึ่งเป็นประติมานวิทยา (Iconography) ของพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ครับ

แต่เทวรูปองค์นี้ ก็แสดงสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของพระแม่หนี่วาด้วย คือทรงถือก้อนศิลาห้าสี 

และเป็นเทวรูปที่สร้างได้อย่างงดงามยิ่งนัก เพราะได้ช่างปั้นที่ฝีมือดีที่สุด ในหมู่ช่างปั้นเทวรูปจีนที่เมืองไทยเรามีอยู่ขณะนี้

จนผมเห็นว่า พระแม่หนี่วาองค์นี้ ดูจะงามกว่าเทพนารีทุกองค์ที่อยู่ในศาลเจ้าเดียวกันด้วยซ้ำไป 

ทั้งที่พระแม่องค์อื่น บางองค์ก็ฉลองพระองค์หรูหรากว่า บางองค์ก็มีการตกแต่งที่ดูน่าสนใจกว่า หรือบางองค์ ก็มีจำนวนเทวรูปมากกว่าและสร้างอย่างบรรจงทั้งนั้น เช่นพระแม่กวนอิม

บางคนอ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะถามว่า แล้วการที่เจ้าสำนักสื่อญาณบารมีของพระแม่องค์นี้ปะปนกับเทพองค์อื่น เทวรูปพระแม่หนี่วาองค์นี้จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?

แล้วศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า?

นอกจากเทวรูปที่สวยงาม กับประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่โบราณนับพันนับหมื่นปี ที่คนส่วนมากไม่รู้จัก นึกไม่ออก พระแม่องค์นี้ทรงมีคุณวิเศษอันใด ที่ควรค่าแก่การสักการบูชาบ้าง?

แล้วถ้าบูชาแล้วจะได้อะไร?  

ถ้าถามอย่างนี้ ผมก็คงจะต้องตอบเป็นลำดับไปว่า :

๑) แม้การสื่อญาณนั้นจะมีการปะปนกับเทพองค์อื่นอยู่บ้าง (หรือบางทีอาจเป็นเพียงผลที่เกิดจากการเข้าใจผิดของช่างผู้ออกแบบเทวรูป)

แต่เทวศาสตร์จีนมีวิธีเป็นของตนเอง ที่จะทำให้เทวรูปองค์หนึ่งๆ มีพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องผูกพันกับ
ความถูกต้อง อย่างชัดแจ้ง ในทางประติมานวิทยาตามคัมภีร์ต่างๆ เหมือนเทววิทยาในศาสนาอื่นครับ

๒) เพราะเทวศาสตร์จีนเน้นความสำคัญสูงสุดที่ระดับจิต ถ้าจิตเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งได้แล้ว แม้จะมีอุปาทานอันเกิดจาก ความรู้ ในระดับมนุษย์ หรือประสบการณ์ของผู้สื่อ หรือแม้แต่ความผิดพลาดของช่างปั้นแทรกเข้ามาปะปนบ้าง

เทวรูปที่เกิดจากการสื่อญาณบารมีนั้น ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ เป็นเทวะองค์นั้นๆ ได้เหมือนกัน

๓) หลายคนคงเคยได้ยินมากันบ้างแล้วว่า เทวรูปจีนนั้น ซินแสทั่วไปมักจะให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องนำไปเข้าพิธีเทวาภิเษกอะไรใหญ่โต อย่างมากก็เพียงนำไปเบิกเนตรที่ศาลเจ้าเท่านั้น

แต่ถ้าไม่มีการเบิกเนตรจริงๆ ก็หาเวลาประดิษฐาน ในช่วงวันเวลาที่เป็นมงคลตามปฏิทินจีน และกราบไหว้บูชาด้วยการตั้งใจมั่นระลึกถึงเทพองค์นั้น

เช่น สมมุติว่าเราได้เทวรูปที่เราเห็นว่าเป็นพระแม่กวนอิมมา แล้วก็ไหว้โดยตั้งใจมั่นว่าเราไหว้พระแม่กวนอิม ทำอย่างนี้ไป ๘ ครั้ง เทวรูปองค์นั้นก็เชื่อมโยงผู้บูชากับองค์พระแม่กวนอิมจริงๆ ได้

นี่คือ วิธีการ หนึ่งของเทวศาสตร์จีน ที่ไม่เหมือนเทวศาสตร์ของชนชาติอื่นครับ

ดังนั้น ต่อให้ อ.สมชาย สื่อญาณบารมีกับพระแม่หนี่วาผิดพลาดเพียงใด

ถ้าคิดดูว่า นับตั้งแต่วันที่ประดิษฐานเทวรูปจนถึงบัดนี้  มีผู้คนที่หลั่งใหลกันไปกราบไหว้ท่านในฐานะที่เป็นพระแม่หนี่วาเท่าไหร่แล้ว 


และในจำนวนคนเหล่านั้น มีกี่คนที่เข้าไปไหว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๘ ครั้งหรือเกินกว่า ๘ ครั้ง

แม้เทวรูปดังกล่าว จะมีอิทธิพลทางศิลปกรรมจากพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่เข้าไปปะปนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ เป็นได้แต่พระแม่หนี่วาเท่านั้น

และจากการที่ผมเอง ก็ได้แวะไปสักการบูชาพระแม่องค์นี้อยู่บ่อยๆ ผมสามารถยืนยันได้ว่า พระแม่องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์จริงครับ 

๔) ส่วนที่ถามว่า พระแม่องค์นี้ทรงมีคุณวิเศษอันใด หรือไหว้แล้วจะได้อะไร 

ก็ต้องตอบว่า พระนางทรงเป็นเทพนารีที่ทรงมีมหิทธานุภาพสูงสุด ในด้านการปกป้องคุ้มครองจากภัยพิบัติ 

ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงภัยพิบัติทั่วๆ ไปสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ในชีวิตประจำวันเท่านั้น 

แต่ยังรวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ร้ายแรงเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้อีกด้วย

ผมได้เล่าไว้ใน บูรพเทวีปกรณ์ แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ชาวตะวันตกหันมาให้ความสนใจบูชาพระนางกันมากขึ้น มิใช่เพียงเพราะคนเหล่านั้นแค่ต้องการสรณะที่แปลกไม่ซ้ำแบบใครเท่านั้น 

แต่เป็นเพราะชาวโลกที่มีสติปัญญา กำลังตระหนักร่วมกันว่า มหาภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอันไกลโพ้น กำลังจะหวนกลับมาเกิดขึ้นกับโลกของเรา

ผู้ศึกษาเทววิทยาทุกคนรู้ดีว่า หลายศาสนา และตำนานโบราณของหลายชนชาติพูดตรงกันเรื่องน้ำท่วมโลกเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว 

มันเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ที่กลืนอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองในยุคนั้นไปทั้งหมด พร้อมกับสิ่งมีชีวิตกว่าค่อนโลก 

แต่ก็ยังมีคนรอดมาได้ และเล่าขานกันต่อมา ถึงบรรดาเทพเจ้าที่เสด็จมาจากสวรรค์และช่วยเหลือผู้คนของพระองค์เท่าที่จะทำได้

ในเมโสโปเตเมีย จอมเทพองค์หนึ่งตรัสบอกให้ อุตนาปิชทิม ต่อเรือใหญ่เพื่อหนีน้ำท่วม 

ซึ่งชาวยิวนำมาดัดแปลง แล้วเล่าใหม่ว่า พระยาห์เวฮ์ (พระยะโฮวาในศาสนาคริสต์) บอกให้ โนอาห์ ต่อเรือใหญ่ พาครอบครัวและสัตว์อย่างละคู่ลงเรือนั้น เป็นพวกเดียวที่รอดชีวิตในคราวน้ำท่วมโลก

ในอินเดีย เทพองค์หนึ่งปรากฏพระองค์ในรูปปลาขนาดยักษ์ (ซึ่งต่อมาชาวฮินดูนับถือว่าเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุ) ลากเรือใหญ่ของ พระมนู ที่ขนสัตว์อย่างละคู่เช่นเดียวกับโนอาห์ และฤาษีทั้ง ๗ หนีมหาอุทกภัย ซึ่งท่วมทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง

ส่วนในเมืองจีน แผ่นดินแตกแยก เกิดมหาอัคคีภัยลุกลามไปทั่ว ท้องฟ้าเกิดเป็นโพรงลึกและถล่มลง พระแม่หนี่วาเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่มาจากสวรรค์ ทรงอุดโพรงในท้องฟ้าด้วยก้อนหินห้าสี โลกทั้งหมดรอดพ้นความพินาศบรรลัยอย่างฉิวเฉียด





แต่บางตำราบอกว่า พระนางทรงทุ่มเทกับภารกิจนี้ จนในที่สุดต้องทรงเสียสละพระชนม์ชีพ เพื่อแลกกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ ผู้เป็นลูกหลานของพระนาง 

เพราะเหตุนั้น พระนางจึงทรงมีคุณค่าในทางจิตวิญญาณสำหรับชาวจีนเสมอมาดังกล่าวแล้ว

ตอนนี้เรากำลังพูดกันถึงภาวะโลกร้อน เราเห็นกันชัดๆ แล้วว่า แหล่งน้ำแข็งในขั้วโลก และในทวีปต่างๆ เริ่มละลาย ฤดูกาลเริ่มแปรปรวนวิปริต มีภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ถี่ขึ้น หนักหนาสาหัสขึ้น

แม้แต่เมืองไทย ซึ่งอยู่รอดปลอดภัยมาตลอด ก็ยังเผชิญกับคลื่นยักษ์สึนามิ วันที่อากาศร้อน อุณหภูมิในบ้านเราวัดได้สูงกว่าแอฟริกาและตะวันออกกลาง 

แต่ในภูมิภาคอื่นของโลก กำลังเผชิญสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้อีก เมื่อฤดูกาลแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง มหาภัยพิบัติเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีที่แล้วก็เริ่มมีทีท่าว่าจะกลับมา

ดังนั้น วงการเทววิทยาในระดับโลก จึงหันไปใส่ใจกับเทพเจ้าที่เก่าแก่โบราณมากยิ่งขึ้น

เพราะกาลเวลาที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วไงครับ ว่าเทพเจ้ารุ่นโบราณเหล่านี้ ทรงมีมหิทธานุภาพคุ้มครองอารยธรรมมนุษย์ ให้อยู่รอดปลอดภัยสืบสายกันมาได้จนถึงยุคของเรา
 
และตอนนี้ เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสวดบูชาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

เพราะภาวะโลกร้อน ซึ่งกำลังจะนำเราไปสู่การสูญสิ้นอารยธรรมทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าพวกเราจะแก้ไขได้ครับ

สิ่งนี้เกิดจากน้ำมือของคนรุ่นเราเอง ที่เติบโตมากับระบบอุตสาหกรรมซึ่งกอบโกยและทำลายธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังอยู่ตลอดเวลา ด้วยความละโมบและเห็นแก่ได้

ถึงตอนนี้จะมารณรงค์ให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อถนอมโลก ก็มีผลแค่ช่วยชะลอเวลาแห่งความวิบัติออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ ยังไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง 

ตราบใดที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยังไม่หยุดสร้างความพินาศให้แก่โลกอย่างไร้ความรับผิดชอบ 

เราไม่มีทางหนีพ้นมหันตภัยอันน่าสะพรึงกลัวที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ได้หรอกครับ

เพราะตระหนักเช่นนี้ จึงนอกจากที่คนในวงการ Pagan ทางฝั่งตะวันตกจะร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยรณรงค์หยุดยั้งภาวะโลกร้อนอย่างเต็มความสามารถแล้ว สิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือ  promote เทพรุ่นโบราณที่เคยช่วยกู้โลกไว้ได้ในกาลก่อน ให้กลับมาได้รับการบูชากันอีกครั้ง

ด้วยความหวังว่า ถ้าดวงจิตของคนนับแสนนับล้าน หรือหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน หลอมรวมกันส่งไปถึงองค์เทพเหล่านี้ ท่านจะกลับมาช่วยเหลือเรา เช่นเดียวกับที่เคยช่วยบรรพบุรุษของเรา

ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยครับ ที่พระแม่หนี่วาจะกลายเป็นเทพที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกทีในขณะนี้ 

ถึงแม้พวกเราอยู่ในเมืองไทย อาจสัมผัสกระแสดังกล่าวได้ไม่ชัดเจน 

แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในวงการเทวศาสตร์ระดับนานาชาติ ที่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่เสมอ เราจะพบว่า ปริมาณคนที่บูชาพระแม่หนี่วากำลังเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ

ผมว่า กระแสดังกล่าวในที่สุด ก็คงส่งอิทธิพลกลับไปยังภูมิสถานขององค์พระแม่หนี่วา คือ จีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มากก็น้อยครับ

เพราะนอกจากจะมีการทยอยสร้างประติมากรรมพระแม่หนี่วาขึ้นตามเมืองต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว ก็มีกระแสการ promote ศาลที่เก่าแก่ที่สุดในจีนของพระแม่องค์นี้ คือ ศาลเจ้าวาฮว๋างกง บนไหล่เขาที่เมืองเหอเป่ย ให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวไปบูชา 

ศาลเจ้าแห่งนี้ ความจริงก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเหอเป่ยมานานแล้วครับ แต่ปัจจุบันนี้มีการเน้นในด้านการไปบูชาพระแม่หนี่วาที่นี่กันมากขึ้น





ตรงทางขึ้นไปยังศาลเจ้า ยังมีการสร้างเทวรูปพระแม่องค์ใหญ่ประดิษฐานไว้อย่างงดงามมาก เป็นพระแม่ที่อยู่ในวัยสาว มิใช่หญิงชราอ้วนลงพุงนั่งบัลลังก์ตามประเพณีนิยมด้วยครับ 

และถ้าขึ้นไปไหว้พระแม่ที่ศาลแล้ว ก็ยังจะได้มีโอกาสเช่าบูชาเทวรูปแบบเดียวกันนี้ด้วย

ขณะที่ในอดีต คนส่วนใหญ่จะได้บูชาเทวรูปพระแม่หนี่วาในแบบดั้งเดิมเท่านั้น

คติการบูชาพระแม่หนี่วาในเมืองไทยเรา ก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกัน

ดังจะเห็นได้ว่า ตอนนี้ผู้คนเริ่มรู้จัก และพากันไปไหว้พระแม่เจ้าองค์นี้ที่ศาลเจ้าหน่าจาฯ ชลบุรีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  


ซึ่งจะอ้างว่า เป็นเพราะหนังสือ บูรพเทวีปกรณ์ ของผมมีส่วนอยู่บ้าง ย่อมไม่ได้เป็นอันขาด เพราะหนังสือเล่มนี้ เป็นที่รู้จักกันน้อยมากครับ

ที่สำคัญก็คือ ใน อุทยานมังกรสวรรค์ ใกล้ศาลหลักเมือง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปะจีนที่สวยงามสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย ก็มีศาลาสำหรับประดิษฐานเทพเจ้าในศาสนาเต๋าของจีนหลายองค์ รวมทั้งพระแม่หนี่วาด้วยเช่นกัน





พระแม่หนี่วาของอุทยานมังกรสวรรค์ มีความงดงามแตกต่างไปจากของศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อครับ เพราะเป็นศิลปะคนละรูปแบบกัน 

แต่กลับเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือองค์พระแม่ยังคงเอวบางร่างน้อย เป็นพระแม่ในวัยสาว มิใช่หญิงชราอ้วนลงพุง 

แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากพระแม่องค์อื่น ที่สร้างมาจากแหล่งเดียวกัน และประดิษฐานในศาลาหลังเดียวกัน 

และทั้งพระพักตร์และทรวดทรงก็พูดได้ว่า ทำได้งามที่สุด เมื่อเทียบกับเทพนารีทุกองค์ในศาลานั้นด้วยครับ

พระแม่หนี่วาองค์นี้ น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการไปบูชา นอกจากที่ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ

ซึ่งที่ผ่านมา ชุลมุนวุ่นวายกับการเคลื่อนย้ายพระเทวรูปไปมา กว่าจะมาหยุดได้ในซุ้มพระด้านซ้ายสุดบนชั้นสาม ซึ่งเคยเป็นซุ้มที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม (และยังคงมีป้ายชื่อภาษาจีนของพระโพธิสัตว์กวนอิมติดอยู่)

แล้วก็ไปเพิ่มศิราภรณ์อันไร้รสนิยม เหมือนศิราภรณ์สำหรับเล่นงิ้ว เข้าไปให้รกรุงรังโดยใช่เหตุ

ที่ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ก็เพราะพระแม่องค์นี้ผ่านพิธีมาจากเมืองจีนแล้วครับ

เพียงแต่เมื่ผมไปครั้งล่าสุด ทางอุทยานฯ มิได้ตั้งเครื่องบูชาไว้เป็นกิจจะลักษณะ

จะว่าเป็นเพราะยังไม่มีนโยบายไปในทางนั้น หรือไม่อยากจะให้พวกคลั่งปิดทองเข้าไปทำลายความงามของเทวรูปก็แล้วแต่

เพราะบรรดาพระพุทธรูป และองค์เทพต่างๆ บนหอคอยที่อยู่ใกล้กัน เริ่มถูกพวกคลั่งปิดทองเข้าไปทำลายกันแล้ว

การเติบโตของคติการบูชาพระแม่หนี่วาในบ้านเรา ยังเห็นได้จากการสร้างศาลของพระนาง ขึ้นในกรุงเทพฯ ที่ วัดชนะสงคราม ย่านบางลำภู 

โดย อ.อรทัย นพเก้าเกศดุล คนทรงเจ้าจีนที่ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากในเมืองไทยเรียกกันง่ายๆ ว่า อาจารย์ดอกบัว ด้วยครับ





ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า หนึ่งออกวงอิมเนี้ย เป็นอาคารทรงจีน ประดับลายปูนปั้นทาสีสวยงาม ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดชนะสงครามฝั่งตรงข้ามย่านถนนข้าวสาร 

ภายในมีเทวรูปไม้หอมระบายสี ของเทพที่สำคัญในลัทธิเต๋าของจีนทุกองค์ โดยมีเทวรูปพระแม่หนี่วา ซึ่งแกะสลักตามแบบประเพณีจีนอนุรักษ์นิยมรวมอยู่ด้วย

กล่าวคือ เป็นเทวสตรีอาวุโสอ้วนลงพุง พระฉวีสีคล้ำกว่าเทพองค์อื่น ฉลองพระองค์สีฟ้า และถือสัญลักษณ์ทางประติมานวิทยาที่ใช้กับเทพองค์ไหนก็ได้ คือคฑายู่อี่และอ่วงป้อ (ก้อนเงินจีน) เท่านั้น

มิใช่สัญลักษณ์สำคัญของพระนาง คือก้อนศิลาห้าสี ตามแบบที่ศาลเจ้าหน่าซาไท้จื้อ และที่อุทยานมังกรสวรรค์





เทวรูปองค์นี้ มีขนาดสูงเกือบ ๑ เมตร ตอนที่ผมไปไหว้มาครั้งล่าสุด ประดิษฐานอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของเทวรูปอื่นๆ ในศาล 

แต่แม้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ก็ยังเป็นรองกว่าพระรัตนตรัยมหายานจีน คือ พระศรีศากยมุนี พระอมิตาภะ และ พระไภสัชยคุรุ ที่อยู่เบื้องบน และยังถูกบังจากพระแม่กวนอิมพันมือเนื้อเซรามิคที่อยู่เบื้องล่างด้วย

แต่พระแม่กวนอิมเนื้อเซรามิค ยังไม่สามารถบดบังพระแม่หนี่วาองค์ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ ได้มากไปกว่าพระแม่กวนอิม ๑๒ กรสีทองขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางโต๊ะวางเทวรูปอีกชุดหนึ่งหน้าแท่นบูชา 

จนเมื่อมองจากด้านหน้าของศาลเจ้าแล้ว จะเห็นเด่นชัดก็แต่พระแม่กวนอิม ๑๒ กรองค์นี้เท่านั้น ไม่สามารถเห็นองค์พระแม่หนี่วาได้เลย ถ้าไม่เดินอ้อมเข้าไปหลังโต๊ะนั้น

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระนามของทั้งพระแม่หนี่วา และพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ และก็มีเทวรูปของพระแม่หนี่วาประดิษฐานอยู่ด้วย แต่ก็ถูกพระแม่กวนอิมบังไว้หมดครับ

ความจริงแล้ว ทางศาลเจ้าได้สร้างเทวรูปที่เรียกกันว่า พระแม่เจ้าหนึ่งออกวงอิมเนี้ย ขึ้นโดยเฉพาะเช่นกัน เป็นเทวรูปโลหะปิดทององค์ใหญ่แลดูคล้ายเทวรูปพระแม่กวนอิม ๒๐ กรประทับยืนเหนือพญามังกร มีจารึกพระนามอยู่บนประภามณฑลเห็นเด่นชัด 

ปัจจุบันมี ๒ องค์ ตั้งขนาบพระแม่กวนอิม ๑๒ กรบนโต๊ะหน้าแท่นบูชานั่นเอง  

เมื่อพิจารณาจากเทวรูปองค์นี้ รวมทั้งการประดิษฐานพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็กในศาล จนบดบังความสำคัญของพระแม่หนี่วา ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของแท่นบูชาด้านในดังกล่าวแล้ว ก็คงพอจะสรุปได้ว่า 

อาจารย์ดอกบัว ผู้สร้างศาลแห่งนี้ คงกำลังนำคติใหม่เข้ามาเผยแพร่ คือ คติการบูชาพระแม่หนี่วากับพระแม่กวนอิมรวมกันเป็นเทพองค์เดียวกัน หรืออาจจะเป็นคติที่นับถือพระแม่หนี่วา ในฐานะที่เป็นภาคหนึ่งของพระแม่กวนอิมก็เป็นได้

เพราะในเมื่อเป็นการสื่อญาณทิพย์โดยคนทรง ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีมาตรฐานทางเทววิทยาใดๆ รองรับอยู่แล้วละครับ

และในทรรศนะของผมเอง ถ้าจะอธิบายเรื่องการนำคติการบูชาพระแม่หนี่วา มารวมกับพระแม่กวนอิมนั้น ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ไม่ยาก 

คนจีนโพ้นทะเลส่วนใหญ่ แม้มิได้นับถือกราบไหว้พระแม่หนี่วา แต่ก็จดจำเรื่องราวของพระนางมาตลอดว่าเป็นเทพมารดรผู้สร้างมนุษย์  เป็นผู้กู้โลกเมื่อถึงคราววิบัติ แม้ว่ายุคของพระนางจะห่างหายไปนานแสนนานแต่พระนางก็ยังคงอยู่

จนถึงปัจจุบันนี้ ที่คนจีนมองไม่เห็นว่าจะมีเทพนารีองค์ใด ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระแม่กวนอิม ถ้าจะนำพระแม่หนี่วาผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในอดีต มารวมกับพระแม่กวนอิมผู้ทรงอำนาจบารมีสูงสุดในปัจจุบัน โดยต่างก็ทรงเป็นเทพนารีผู้ทรงความเมตตาสูงสุดเหมือนกัน พร้อมจะช่วยเหลือมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเหมือนกัน เอามาบูชาร่วมกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นข้อกีดขวาง

สังคมคนบูชาเทพของจีน คุ้นเคยกับเรื่องอย่างนี้ดีอยู่แล้วครับ 

ที่ผ่านมา คติการบูชาพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ของจีน ได้แผ่ขยายไปครอบงำลัทธิการบูชาพระแม่องค์อื่นๆ เช่น พระแม่เทียนโหว หรือเจ้าแม่ทับทิม ก็ถูกอธิบายใหม่ว่าเป็นภาคหนึ่งของพระแม่กวนอิม 

แม้แต่ประเพณีการไหว้พระจันทร์อันเก่าแก่ ที่เดิมเป็นการไหว้ จันทรเทวีฉางเอ๋อ ก็ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นการไหว้พระแม่กวนอิม มีการสร้างเทวรูปพระแม่กวนอิมประทับบนจันทร์เสี้ยว ทดแทนเทวรูปของจันทรเทวีฉางเอ๋อ เป็นต้น

ดังนั้น พระแม่หนี่วาซึ่งกำลังมีกระแสความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในแผ่นดินจีน ก็คงกลายเป็นเทพนารีองค์ล่าสุด ที่ถูกผนวกรวมเข้ากับการบูชาพระแม่กวนอิม โดยมีตัวอย่างอยู่ ณ ศาลเจ้าหนึ่งออกวงอิมเนี้ยแห่งนี้ละครับ

แต่ไม่ว่าศาลดังกล่าวนี้ จะตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร ก็ได้เป็นที่ประดิษฐานพระแม่หนี่วาด้วยแห่งหนึ่ง ซึ่งคนกรุงเทพฯ ไปไหว้ได้สะดวกทุกเมื่อ

บางที สิ่งนี้อาจเป็นความประสงค์ขององค์พระแม่หนี่วา ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในรูปใด ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระนาง พระนางก็ทรงประทานโอกาสที่คนจำนวนหนึ่ง...เพียงไม่กี่คนเท่านั้นนะครับ ที่จะได้เข้าถึงพระนาง 

เพื่อที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง โดยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด จากวิกฤติการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ในยุคสมัยของเราขณะนี้

ฟ้าดินเปิดโอกาสให้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะเลือก 

วาสนาของคนเราแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรรมเก่า แต่ที่มากกว่าเป็นเพราะกรรมในปัจจุบัน

กรรมในปัจจุบัน คือสิ่งที่เราตกลงใจที่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ที่จะพิพากษาว่า เราจะได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในท้ายที่สุดครับ


.....................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด