วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทวีแห่งเซ็กซ์

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




เรื่องกามารมณ์ เป็นธรรมชาติ และความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกรูปนามครับ

และใครก็ตาม ที่ได้ศึกษาเทววิทยาในระดับที่จริงจังพอสมควรแล้ว จะพบว่า คติดั้งเดิมของเทพ-เทวียุคโบราณนั้น ส่วนมากมิได้ปฏิเสธวิถีของปุถุชนในเรื่องของกามารมณ์แต่อย่างใด ทั้งยังมีหลายๆ องค์ที่ได้รับการบูชาเพื่อผลดังกล่าวโดยตรงด้วย  

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากองค์เทพต่างๆ ของอินเดียแล้ว เรายังสามารถบูชาเทพเจ้าในลัทธิศาสนาอื่น ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย (Mesopotemia) และโลกตะวันตก ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันได้อีกต่างหากครับ

เพราะโลกของเราในปัจจุบันนี้ เป็นโลกไร้พรมแดน เรามีโอกาสที่จะศึกษาเทววิทยาของภูมิภาคอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อย่างเต็มที่ ยิ่งกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรา

และเทพ-เทวีที่มาจากลัทธิศาสนาอื่น วัฒนธรรมอื่น ต่างก็มีความโดดเด่นในแง่มุมที่แตกต่างกันไป

โดยถ้าหากว่า เรามีความรู้ที่ถูกต้องในการบูชาเทพเหล่านั้นนะครับ เทพเหล่านั้นก็สามารถตอบรับการบูชาของเราได้ ไม่น้อยไปกว่าเทพเจ้าที่มาจากวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับเรา อย่างเทพอินเดีย หรือเทพจีน ไม่มีข้อจำกัดทางวัฒนธรรม หรือกาลเวลาทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า พวกเราสามารถเลือกบูชาองค์เทพที่ตรงกับจริตนิสัย และความชอบส่วนตัวของเราได้อย่างหลากหลาย และแทบไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้กระทั่งการจะสั่งซื้อเทวรูป และเครื่องบูชาต่างๆ ที่มีจำหน่ายอยู่คนละซีกโลกกับเรา

ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อแนะนำเทพนารีจากลัทธิศาสนาโบราณต่างๆ ทั่วโลก ที่ประทานพรในด้านกามารมณ์ และยังมีลัทธิ หรือศาสตร์ในการบูชาดั้งเดิมสืบทอดกันมาจนถึงยุคของเรา ถือว่าเป็นการตอบคำถามส่วนหนึ่งที่ผมได้รับอยู่เรื่อยๆ ตลอดการทำงานด้านเทววิทยาที่ผ่านมาด้วย

ส่วนใครจะศรัทธาเทวีองค์ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวดังกล่าวแล้ว หรือบางท่านจะแค่ศึกษาไว้เป็นความรู้ก็ได้นะครับ

และการที่บทความนี้ว่าด้วยเรื่องของเทพนารีล้วนๆ ไม่มีเทพเจ้าฝ่ายชาย นั่นก็เพราะในทางเทววิทยาสากลนั้น เทพเจ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ และพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้นผูกพันกับเรื่องของกามารมณ์โดยตรง ไม่อาจแยกออกจากกันได้ เทพฝ่ายหญิงจึงประทานความสำเร็จในเรื่องเช่นนี้ได้มากกว่าเทพฝ่ายชาย

อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเข้าใจร่วมกันเสียก่อนนะครับ ว่า นอกจากเทวีบางองค์ เช่น นางพญาลิลิธ ซึ่งเป็นเทวีแห่งตัณหาราคะโดยตรงแล้ว

เทพนารีทุกองค์ที่ผมจะกล่าวถึงต่อจากนี้ไป ล้วนทรงมีทิพยภาวะหลักๆ เป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น โดยที่เรื่องของกามารมณ์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทรงอุปถัมภ์ เพราะเกี่ยวเนื่องผูกพันกันดังกล่าวแล้วเท่านั้น ไม่ใช่คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของแต่ละองค์

แต่เนื่องด้วยบทความนี้เป็นเรื่องของเทวีแห่งกามารมณ์ ผมก็จะพูดถึงในส่วนนี้เป็นหลัก ทิพยภาวะด้านอื่นๆ แม้จะสำคัญกว่า ก็ขอยกไว้ก่อนนะครับ บางองค์ก็สามารถหาอ่านได้จากหนังสือชุดเทวปกรณ์ที่ผมเขียนไว้แล้ว


เทวีฮาเธอร์ ผลงานของ Sharon George

๑) มหาเทวีฮาเธอร์ (Hathor)

ศาสนาอียิปต์โบราณนั้นมี ๒ นิกายใหญ่ๆ ครับ มหาเทวีฮาเธอร์ทรงเป็นใหญ่ในนิกายที่นับถือ สุริยเทพรา (Ra) เป็นเทพสูงสุด เช่นเดียวกับ พระเทวีไอซิส (Isis) ซึ่งเป็นมหาเทวีแห่งนิกายโอสิเรียน (Osirion : นับถือ จอมเทพโอสิริส Osiris เป็นเทพสูงสุด)

ในฐานะของเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ มหาเทวีฮาเธอร์ คือผู้ดลบันดาลให้สรรพชีวิตก่อเกิด เจริญเติบโต และผันแปรไปตามวัฏจักรแห่งการดำรงอยู่และสืบทอดเผ่าพันธุ์

เทพนารีองค์นี้แสดงถึงพลังที่มาจากท้องฟ้า สัญลักษณ์ของพระนางคือ แม่วัวศักดิ์สิทธิ์ และดวงสุริยะ พระนางทรงรวมไว้ซึ่งคุณสมบัติแห่งสตรีเพศทุกอย่าง

ในด้านของความรักและความใคร่ มหาเทวีฮาเธอร์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์แห่งบรรดาคู่รักทั้งหลาย พระนางประทานความมีเสน่ห์เย้ายวนน่าลุ่มหลงแก่สตรีเพศ และดลบันดาลให้เกิดอารมณ์ปรารถนา

อีกทั้งทรงพอพระทัย ที่จะควบคุมให้เพศสัมพันธ์ระหว่างคู่รักนั้น เป็นไปตามครรลองที่ดีที่สุด แม้แต่การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศก็อาจเยียวยาได้ด้วยทิพยานุภาพแห่งพระนาง

โดยนัยนี้ พระนางจึงทรงเป็นเทวีแห่งกามารมณ์ และกิจกรรมทางเพศ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในอันดับต้นๆ ของพระนาง ซึ่งในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย หรือควรปิดบังแต่อย่างใดครับ


เทวรูปเทวีฮาเธอร์ เนื้อเรซินผสมผงหินอ่อน

เทวสถานของพระนางนั้น เปิดกว้างเสมอสำหรับคู่รักทุกคู่โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ นั่นก็เพราะว่าพระนางโปรดการแต่งงานมาก การที่ได้ประทานพรให้คู่รักสมหวังและได้แต่งงานกัน ทำให้พระนางมีความสุข

ถ้ามีพิธีการแต่งงานที่ใด แม้จะเป็นพิธีในคติโอสิเรียน ก็ต้องอัญเชิญมหาเทวีฮาเธอร์เป็นประธาน และขอพลังจากพระนางคุ้มครองชีวิตสมรสให้ยั่งยืนตลอดไป

เทวสถานบางแห่ง ยังอนุญาตให้คู่สมรสประกอบพิธีกามบูชา คือเสพสังวาสกันถวายพระเทวรูป หากต้องการขอพรเป็นพิเศษด้วย

ปัจจุบัน ศาสตร์ในการบูชามหาเทวีฮาเธอร์ ยังคงได้รับการสืบทอดในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับสมัยอียิปต์โบราณ ไม่ว่าจะในการของการเทวาภิเษกพระเทวรูป และมนต์คาถา ตลอดจนพิธีกรรมแบบอียิปต์โบราณ ดังที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ สุริยเทวีปกรณ์ นั่นละครับ


มหาเทวีอินันนา ตามจินตนาการของศิลปินยุคปัจจุบัน

๒) มหาเทวีอินันนา (Inanna)

ทรงเป็นที่สักการะกันใน อารยธรรมสุเมเรียน (Sumerian) อันเป็นอารยธรรมยุคแรกๆ ที่เจริญขึ้นในดินแดนลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส (Tigris-Euphraetes) ซึ่งทางโบราณคดีนิยมเรียกว่า เมโสโปเตเมีย

จากเพลงสวดภาษาสุเมเรียนที่เรียกกันว่า The Exaltation of Inanna ซึ่งเป็นบทพระนิพนธ์ของ เจ้าหญิงเอนเฮดูอันนา (Enheduanna) พระธิดาใน พระเจ้าซาร์กอนแห่งอักกาด (Sargon of Agade in Akkad) เมื่อ ๒,๓๕๐ ปีก่อนคริสตกาล อธิบายถึงเทวลักษณะของมหาเทวีอินันนาไว้ว่า ทรงรุ่งโรจน์ไปด้วยความน่าลุ่มหลง น่ายำเกรง และทรงพลังอำนาจ ทรงเป็นที่รักของมนุษยโลกและเทวโลก ทรงควบคุมสัมพันธภาพระหว่างชายหญิง และองค์ประกอบทุกอย่างในเรื่องเพศ 

แต่...ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงเป็นเทวีที่น่ากลัว พระนางทรงบันดาลให้พืชผลต่างๆ เกิดโรคร้ายแรงขึ้นได้

เพราะด้วยเทวฐานะที่ทรงเป็นพระแม่ธรณีนั้น ย่อมทรงอำนาจสูงสุดที่จะกำหนดว่า ยามใดควรมีความอุดมสมบูรณ์ และยามใดควรจะแห้งแล้ง ซึ่งมนุษย์ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้เลยครับ

เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้ในยามปกติจะทรงเป็นเทวีแห่งความรัก แต่ในการศึกพระนางก็ยังทรงเป็นเทวีแห่งการสงครามอีกด้วย และอาจทรงนำความหวาดหวั่นมาสู่มนุษย์ในลักษณาการต่างๆ หากว่าทรงมีพระประสงค์ ชะตากรรมแห่งมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความพอพระทัยแห่งพระนางทั้งสิ้น

มหาเทวีอินันนา จึงอาจเทียบได้กับพระเป็นเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือทุกๆ ชีวิต ผู้อุปถัมภ์ทุกสิ่งในอารยธรรมสุเมเรีย เชื่อกันว่าผู้ใดที่บูชาพระนาง เมื่อตายไปแล้วจะได้รับความเป็นอมตะทางวิญญาณ ไม่มีการดับสูญ

พิธีกรรมที่เกี่ยวกับมหาเทวีอินันนา เป็นรัฐพิธีที่สำคัญที่สุด เรียกกันว่า The Ritual Marriage of the God โดยกษัตริย์จะต้องทรงพระบรรทมร่วมกับอธิการีของนักบวชหญิงในเทวสถานปีละครั้ง เพื่อเป็นพันธสัญญาแห่งความอุดมสมบูรณ์ในผลผลิตของอาณาจักร

จากภาพสลักบนแผ่นอิฐที่ได้ค้นพบเป็นจำนวนมาก แสดงเทวลักษณะที่สำคัญที่สุดของเทพนารีองค์นี้ คือพระวรกายเปลือยเปล่า ทรงมีปีกเหมือนนก ปลายพระบาทก็เป็นกรงเล็บแบบนก ประทับยืนเหนือสิงโต

จากเทวลักษณะเช่นนี้ ได้มีการพรรณนาไว้อย่างเป็นปริศนาธรรมว่า ทรงสวมหน้ากากของสตรีที่เย้ายวนน่าลุ่มหลง โดยปิดบังความน่าสะพรึงกลัวภายในไว้


แผ่นอิฐแกะสลักภาพของมหาเทวีอินันนา ที่เรียกกันว่า The Burney Relief
อายุราวๆ ๑,๘๐๐-๑,๗๕๐ ปีก่อนคริสตกาล
ปัจจุบันจัดแสดงใน British Museum

ในสมัยของอารยธรรม อัสสิเรีย (Assyria) คุณสมบัติทุกอย่างของพระนางได้พัฒนาขึ้นอีก โดยทรงมีพระนามว่า อิชตาร์ (Ishtar) และทรงเป็นพระมเหสีของพระเป็นเจ้าสูงสุด คือ จอมเทพอัสซูรา (Assura or Ashura : คือคำว่า อสูร ในศาสนาพราหมณ์นั่นแหละครับ)

และในความเชื่อของชาวอัสสิเรียน เทพนารีองค์นี้ก็ทรงเกี่ยวข้องกับกามารมณ์มากยิ่งขึ้นไปอีกครับ 

พระนางทรงอุปถัมภ์ความสัมพันธ์ทางเพศในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งโสเภณี ซึ่งถือว่าเป็น พรตอันศักดิ์สิทธิ์ ของสตรีที่บูชาพระนางเลยทีเดียว

ลัทธิดังกล่าว  ได้รับความนิยมนับถือในนคร อัสซูร์ (
Assur) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของอัสสิเรีย และบาบิโลน รวมทั้งได้แพร่ขยายไปยังดินแดนอื่นที่ห่างไกลออกไปด้วย

ดังปรากฏว่า ในวัฒนธรรม ฟีนิเชีย (Phoenicia) ได้นับถือพระเทวีองค์นี้ภายใต้พระนามภาษาฟีนิเชียนว่า อัสตาร์เต (Astarte) ในขณะที่ชาวฮีบรูว์ยุคแรกๆ หลายพวกก็พากันนับถือ และถวายพระนามว่า อัชทารอธ (Ashtaroth)

พิธีกรรมบูชาพระเทวีในสองชนชาตินี้ ล้วนแสดงออกในเรื่องกามารมณ์อย่างชัดเจนครับ เป็นต้นว่าการร่วมเพศของสาวกชายหญิง ประกอบการเริงระบำอย่างเร่าร้อนในเทวสถาน เพื่อให้พระเทวีทรงพอพระทัย

ปัจจุบัน มหาเทวีองค์นี้ยังคงได้รับการบูชาทั้งในภาคของ มหาเทวีอินันนา และ พระเทวีอิชตาร์ โดยเทวรูปและเครื่องรางของพระนางในภาคของมหาเทวีอินันนา ยังคงยึดถือรูปแบบดั้งเดิมจากภาพสลักบนแผ่นอิฐของสุเมเรียน

ส่วนในภาคของพระเทวีอิชตาร์นั้น มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปมากมาย แต่ในการบูชาก็ไม่ประสบผลเท่าในภาคของมหาเทวีอินันนา



เทวีทลาโซลเตโอทล์ ฉลองพระองค์แบบเทพนารีอัซเท็ค
ภาพโดยศิลปินร่วมสมัย

๓) เทวีทลาโซลเตโอทล์ (Tlazolteotl)

เป็นเทวีในลัทธิศาสนาของ จักรวรรดิอัซเท็ค (Aztec) ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพื้นที่ที่บัดนี้คือประเทศเม็กซิโก

คณะเทพอัซเท็คนั้น แม้แต่เทพแห่งความดีงามก็มีบุคลิกภาพที่ดุร้าย น่าสะพรึงกลัว เทวีทลาโซลเตโอทล์ก็เช่นกันครับ พระนางทรงเป็นเหมือนพระแม่กาลีแห่งอเมริกากลางก็ว่าได้

เพราะขณะที่ทรงอุปถัมภ์ความรัก, ความปรารถนา กามารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนพิธีชำระให้บริสุทธิ์ (Purification) รวมทั้งทรงเป็นคุรุเทพของพวกหมอตำแยนั้น

พระนางก็ทรงเกี่ยวข้องกับบาปเคราะห์, กามโรค และทรงมีความเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ด้วย

กล่าวคือ เชื่อกันว่า กามโรค หรือโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากเพศสัมพันธ์ต่างๆ นั้น เกิดจากการดลบันดาลของพระนาง โดยเฉพาะจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณี 

แต่ถ้าเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดในสามีภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณี ก็สามารถขอให้พระนาทรงบำบัดได้ครับ


เทวรูปเทวีทลาโซลเตโอทล์ พบในเวราครูซ (Veracruz)
อายุราวๆ ค.ศ.๑๐๐-๙๐๐

และแม้การแพทย์ของอัซเท็ค จะไม่เจริญก้าวหน้าเท่าการแพทย์แผนปัจจุบันของพวกเรา แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปในยุคเดียวกัน คือเชื่อว่า โรคทางเพศสัมพันธ์ และโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายชนิด เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีพอ ซึ่งจะรักษาได้ด้วยการแช่น้ำอุ่น ในพิธีชำระให้บริสุทธิ์นั่นเอง

โดยนัยนี้ พระนางจึงทรงเกี่ยวข้องกับน้ำร้อน และยังทรงใช้พิธีกรรมดังกล่าวนี้ ทรงปลดเปลื้องผู้บูชาจากบาปเคราะห์ทั้งปวงด้วย

ในลัทธิศาสนาของอัซเท็คนั้น มีความเชื่อในเรื่องการสารภาพบาป คล้ายกับศาสนาคริสต์ โดยมีเทพอยู่ 2 องค์ที่มีบทบาทสำคัญในด้านนี้ คือ เทพอสูรเทซคัทลิโปคา (Tezcatlipoca) ซึ่งเป็นเทพแห่งการบูชายัญ และ เทวีทลาโซลเตโอทล์

เชื่อกันว่า ชาวอัซเท็คผู้ใดก็ตามได้ทำพิธีสารภาพบาป (โดยเฉพาะในด้านตัณหาราคะ) เบื้องหน้าเทวรูปของเทวีทลาโซลเตโอทล์ เขาก็มั่นใจได้ว่า บาปเคราะห์ของเขาจะถูกขจัดให้สูญสิ้นไป

ในทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า เดิมพระนางทรงเป็นเทวีของชนเผ่าที่ตั้งหลักแหล่งอยู่แถวอ่าวเม็กซิโกมาก่อน เมื่อชนชาติอัซเท็คเข้าครองพื้นที่ดังกล่าว พระนางก็ทรงกลายเป็นเทพนารีที่ใกล้ชิดกับวิถีวัฒนธรรมของชนชาตินี้ ตลอดยุครุ่งเรืองของอัซเท็ค

ช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา มีการฟื้นฟูการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของอัซเท็ค โดยนักเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมในเม็กซิโก และชาวตะวันตกที่ชื่นชอบเทพเจ้าเหล่านี้ก็ตอบรับเป็นอย่างดี เทวีทลาโซลเตโอทล์ก็ทรงเป็นหนึ่งในบรรดาเทพที่ได้รับความนิยมบูชาอีกครั้ง

และกล่าวกันว่า ทรงประทานพรในเรื่องเซ็กซ์อย่างไม่ยิ่งหย่อน กว่าพระแม่แห่งกามาองค์อื่นๆ ในบทความนี้
ด้วยครับ


นางพญาลิลิธ ผลงานของ Luis Royo

๔) นางพญาลิลิธ (Lilith)

ในความเชื่อของอารยธรรมสุเมเรีย และ บาบิโลเนีย (Babylonia) ราว ๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เธอปรากฎในตำนานของนางปีศาจ ลามัซตู (Lamashtu) ซึ่งเป็นผู้คุกคามสตรีมีครรภ์ และเด็กอ่อนครับ

นางปีศาจผู้นี้ ยังมีอีกหลายชื่อ เช่น อาร์ดัท ลิลี (Ardat Lili) หรือ ลีลีตู (Lilitu) ผู้เป็นคู่ครองของจอมปิศาจ ลีลู (Lilu)

เธอมักได้รับการบรรยายว่า เป็นหญิงสาวสวยยั่วยวนใจ เร้าความรู้สึกทางเพศ เต็มไปด้วยตัณหาราคะ แต่ปราศจากศีลธรรม เธอจะใช้มารยาล่อลวงชายขณะหลับไหล ทั้งยังชอบสังหารเด็กๆ

ชนชาติทั้งหลายในเมโสโปเตเมีย ต่างพากันหวาดกลัวนางพญาแห่งรัตติกาลผู้นี้กันทั่วไป พวกยิวซึ่งกลัวมากที่สุด ได้นำเรื่องราวของเธอไปปรุงแต่งในชื่อใหม่ว่า ลิลิธ และผูกนิยายว่า พระยะโฮวาห์ทรงทร้างอดัมและลิลิธขึ้นจากฝุ่นดิน เพื่อให้เป็นสามีภรรยากัน

แต่ต่อมา ได้เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างมนุษย์คู่แรก พระเจ้าจึงขับไล่ลิลิธออกจากสวนสวรรค์แห่งอีเดน แล้วมอบให้เป็นของขวัญแก่ซาตาน เธอคือภรรยาคนแรกในจำนวนทั้งหมด ๔ คนของของจอมปิศาจ จากนั้นก็สร้าง อีฟ ขึ้นมาให้เป็นภรรยาของอดัมแทน

ชื่อและเรื่องราวของลิลิธ อันตรธานไปจากพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิม แต่ยังสามารถค้นได้ในบันทึกความเชื่อโบราณของชาวยิว ซึ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อคริสตศตวรรษที่ ๑๓ ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในทางสาธารณะอีกครั้งหนึ่ง และกลายเป็นที่หวาดกลัวของคริสตศาสนิกชนทั่วยุโรปมาตั้งแต่นั้น

ลิลิธตามความคิดของชาวคริสต์ ได้ชื่อว่าเป็นราชินี และมารดาแห่งปีศาจทั้งปวง เธอยังนับว่าเป็นต้นกำเนิดของ แวมไพร์ (Vampire) เพราะว่ากันว่า ลิลิธนั้นจะชอบฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอของมนุษย์ เพื่อดูดกินเลือดเป็นภักษาหารนั่นเองครับ

ปัจจุบัน ลัทธิบูชานางพญาลิลิธ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับลัทธิบูชาซาตาน ซึ่งได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น จากกระแสการต่อต้านศาสนาคริสต์ และศาสนายิวในโลกตะวันตก พระนางได้รับการบรรยายว่าเป็นสตรีสาวสวยน่าลุ่มหลง เปลือย หรือแต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น เบื้องหลังของพระนางมีปีกค้างคาว หรือปีกค้างคาวที่มีขนแบบนก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ และเวลากลางคืน


ประติมากรรมนางพญาลิลิธ ออกแบบโดย Milosh Meehan

แต่จะว่าไปแล้ว พิธีกรรมของลัทธิบูชาซาตานในสำนักต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการนั้น มิได้มีลักษณะรุนแรงชั่วร้าย ดังที่คริสตจักรพยายามล้างสมองคนทั่วไปหรอกครับ

พิธีกรรมที่จัดกันส่วนใหญ่เน้นไปในเรื่องเพศ ถ้าจะเกี่ยวข้องกับเลือดและความตาย ก็เฉพาะการฆ่าสัตว์บูชายัญ จะมีก็แต่พวกวิกลจริตบางคน ที่อ้างว่านับถือซาตานแล้วไปก่ออาชญากรรมกับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นละครับ ส่วนคนที่นับถือนางพญาลิลิธนั้น ยิ่งไม่ปรากฏว่ามีข่าวอาชญากรรมหรือทำผิดกฎหมายใดๆ

ที่สำคัญก็คือ นางพญาลิลิธแม้จะน่าสะพรึงกลัว แต่ผู้บูชาพระนางก็ยืนยันว่า พระนางก็เหมือนพระแม่กาลีที่พวกเรารู้จักละครับ คือแม้จะดุร้าย แต่ก็ใจนักเลง และปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนประทานพรให้ผู้บูชาพระนางสมปรารถนาในเรื่องเซ็กซ์ได้ดีมาก

ที่ผ่านมา เทวรูปและเครื่องรางของนางพญาลิลิธ พบเห็นได้ไม่มากนัก เพราะเป็นของที่บูชากันภายในลัทธิซาตาน จึงทำให้ศิลปินชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงบางคน ได้นำรูปลักษณ์ของ มหาเทวีอินันนา แห่งเมโสโปเตเมีย มาสร้างเป็นเทวรูปของนางพญาลิลิธออกจำหน่าย ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันทั่วไป

แต่ปัจจุบัน ได้มีศิลปินร่วมสมัยในยุโรปและอเมริกา ได้รังสรรค์ประติมากรรมแห่งนางพญาลิลิธออกมาหลายรูปแบบ ซึ่งตรงกับที่มีการบรรยายไว้ในคัมภีร์ทางศาสนา ดังภาพประกอบในบทความนี้ละครับ 



มหาเทวีเฟรยา ต้นธารของศาสตร์แม่มดในยุโรป

๕) มหาเทวีเฟรยา (Freya)

เทพนารีองค์นี้ ทรงมีคุณสมบัติที่หลากหลายอย่างยิ่ง ทรงได้รับการสรรเสริญว่างดงามเหนือกว่าเทพนารีทุกองค์ ทรงมีพระเกศาสีทองเป็นประกาย พระพักตร์งามสดใส เรือนร่างบอบบางเปี่ยมด้วยความเย้ายวนน่าลุ่มหลงภายใต้พัสตราภรณ์น้อยชิ้น สะกดทุกคนที่เห็นให้ตกเป็นทาสของพระนางได้ในชั่วไม่กี่วินาที

พระนางทรงเป็นเทวีแห่งความรักและกามารมณ์ พระนางมอบเสน่หาและพลังแห่งความน่าหลงใหลแก่สาวรุ่น พระนางดลบันดาลให้ชายหญิงปรารถนาในกันและกัน และทรงถนอมความรักของทั้งสองให้เอิบอาบไปด้วยความพึงพอใจซึ่งกันและกันเรื่อยไป ภายใต้กฎแห่งเสรีภาพและความเสมอภาค

และตามเทวปกรณ์แห่ง ลัทธิศาสนาอาซาทรู (Asatru : ศาสนาของชาวไวกิ้ง) พระนางก็ทรงเกี่ยวข้องด้วยความรักอย่างมากมายจริงๆ ครับ

แม้ว่าจะทรงมีพระสวามี แต่พระสวามีนั้นก็แทบจะไร้ตัวตน และพระนางก็ปรากฏพระองค์อย่างอิสระเสมอ ไม่ผูกพันกับใคร และไม่มีใครที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยของพระนางยิ่งไปกว่าพระนางเอง

พระนางทรงสวมสร้อยพระศอ บรีซซิงกาเมน (Brisingamen) ที่กล่าวกันว่างดงามที่สุดในจักรวาล และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่มีวันถ่ายถอน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจากสร้อยพระศอนี้ พระนางต้องทรงมีสัมพันธ์สวาทกับคนแคระ ๔ คนเพราะมัน

ในขณะเดียวกับที่ทรงผูกพันอยู่กับเรื่องของความสวยงาม ความรัก เซ็กซ์ และความอุดมสมบูรณ์ เทพนารีองค์นี้ก็ทรงมีอีกด้านหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ด้วยครับ

เพราะพระนางทรงเป็นนางพญา ผู้ควบคุมกองทัพนางฟ้าแห่งสงคราม หรือ วัลคีรีส์ (Valkyrie) ผู้คัดเลือกดวงวิญญาณเหล่านักรบในสงครามต่างๆ กล่าวอย่างง่ายที่สุดก็คือ ทรงมีอำนาจเต็มในการพิพากษาว่าใครควรจะอยู่หรือควรจะตายนั่นเอง

มหาเทวีเฟรยา ยังทรงเป็นคุรุเทพแห่งศิลปะการใช้เวทมนต์ ที่เรียกว่า ซีเธอร์ (Seidhr) ซึ่งเป็นไสยเวทอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในมายาศาสตร์สแกนดิเนเวีย นอกเหนือไปจาก Runes Magic ซึ่งเป็นของ จอมเทพโอดิน (Odin) ซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด 


เทวรูปมหาเทวีเฟรยา เนื้อเรซินผสมผงหินอ่อนระบายสี
ขณะเขียนบทความนี้ คงเหลือแต่เนื้อชุบสีเลียนแบบสำริด

ซีเธอร์ เป็นมายาศาสตร์ที่ถ่ายทอดกันในหมู่ผู้ใช้เวทมนต์ที่เป็นสตรี โดยมากเป็นเรื่องของการใช้คาถา และวัตถุธรรมชาติ เช่นสมุนไพร ตลอดจนน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ เพื่อผลในทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม การปลุกเร้าอารมณ์เพศ รวมไปถึงการบำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพ และโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ นับเป็นต้นธารของศาสตร์แห่งแม่มด หรือ Witchcraft ทั้งปวงในยุโรป

ปัจจุบัน มหาเทวีเฟรยาได้รับความนิยมในการบูชาในระดับที่แพร่หลายมากครับ ไม่ว่าจะเป็นการบูชาเคียงคู่กับ จอมเทพโอดิน หรือบูชาโดยลำพัง

เทวรูปของพระนางที่หล่อด้วยเรซินผสมผงหินอ่อน มีให้สั่งซื้อได้ง่ายในอินเตอร์เน็ต และยังคงมีศาสตร์ในการบูชา เวทมนต์ และพิธีกรรมที่สืบทอดจากยุคของชาวไวกิ้ง ตามที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ อติเทวปกรณ์ ครับ


พระแม่ระตี ผลงานของศิลปินตะวันตกยุคปัจจุบัน

๖) พระแม่ระตี (Rati)

ในเทวปกรณ์ฮินดู พระแม่ระตีทรงมีบทบาทไม่มากนัก คนทั่วไปรู้เพียงว่า พระนางทรงเป็นชายาของพระกามเทพ เมื่อเหล่าเทพยดาทั้งปวงต้องการให้พระศิวะทรงมีพระชายา เพื่อให้เกิดโอรสไปปราบตารกาสูร พระนางกับพระสวามีได้เริงระบำอันเร่าร้อนด้วยกัน เพื่อปลุกพระศิวะจากฌาน

ผลก็คือพระศิวะทรงเผาพระกามเทพมอดไหม้ไป และพระกามเทพได้ไปเกิดใหม่เป็น พระปรัทยุมน์ (Pradyumna) โอรสของพระกฤษณะ พระแม่ระตีจึงได้ตามไปเกิดใหม่เช่นกันโดยมีชื่อว่า มายาวดี (Mayavati) จนทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขอีกครั้ง

แต่ในความเป็นจริง พระกามเทพมิได้ถูกเพลิงกรดของพระศิวะเผาเป็นจุล และไม่มีการไปเกิดใหม่อะไรหรอกครับ ทั้งหมดเป็นเพียงเทพนิยายที่ปราชญ์ในไศวะนิกายแต่งขึ้นเพื่อผลในทางปรัชญา และเป็นการข่มลัทธิการบูชาพระกามเทพกับพระนางระตีด้วย เนื่องจากลัทธิดังกล่าวขัดแย้งกับการถือพรตของเหล่าโยคี ซึ่งเป็นอุดมคติของไศวะนิกายเท่านั้นแหละครับ

ดังนั้น ทุกวันนี้จึงยังคงมีลัทธิบูชาพระกามเทพ และพระแม่ระตีอยู่ ในลัทธินี้พระนางนับว่าทรงเป็นเทวีแห่งความรัก ความปรารถนา ตัณหา กามารมณ์ และความสุขทางเพศอย่างแท้จริงที่สุดในศาสนาฮินดูครับ

พระนามของพระแม่เจ้าองค์นี้ มาจากถ้อยคำในภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง ความสุขและความเพลิดเพลินในทางกายภาพ โดยเฉพาะความสุขของกิจกรรมทางเพศ ซึ่งไม่เน้นในเรื่องของครอบครัว

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ที่จะมีลูกหลานสืบสกุล หรือความเป็นมารดาแต่อย่างใดครับ

พระแม่ระตีนั้น โปรดพิธีการบูชาที่มีกิจกรรมทางเพศเป็นส่วนประกอบ พระนางมีอำนาจที่จะร่ายมนต์แห่งความรักและตัณหาให้บังเกิดแก่ใครก็ได้ กล่าวกันว่าพระนางมักจะทรงเกี่ยวข้องกับความตื่นตัว อารมณ์ และความสุขของกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคน

ในรูปภาพของ พระแม่ชินนมัสตา (Chinnamasta) เราจะเห็นพระแม่องค์นี้เปลือยกาย ตัดศีรษะของพระนางเอง และยืนอยู่เหนือชายหญิงที่กำลังเสพสังวาสกัน ซึ่งก็คือ พระกามเทพกับพระนางระตีนั่นเอง

รูปภาพเช่นนี้ ถูกตีความในทางเทวปรัชญาว่า เป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมตนเองในเรื่องของความต้องการทางเพศ แต่ก็มีการตีความไปในทางอื่น ว่าหมายถึงเทวสตรีที่เป็นศูนย์รวมของพลังงานทางเพศเช่นกัน


เทวรูปพระแม่ระตีทรงหงส์ ศิลปะอินเดียใต้

เนื่องจากฮินดูกระแสหลักในปัจจุบัน พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเพศ รูปบูชาของพระแม่ระตีจึงมีน้อยมาก โดยเฉพาะที่เป็นรูปภาพเดี่ยวๆ นั้นแทบไม่ปรากฏ

แต่ก็มีเทวรูปที่งามมากๆ ในลักษณะประทับบนหงส์ ตามที่เห็นในบทความนี้ละครับ และก็ยังมีมนต์คาถาสำหรับบูชาโดยเฉพาะ ที่รู้กันในหมู่สาวๆ อินเดียยุคใหม่ที่บูชาพระแม่เจ้าองค์นี้กันอยู่ด้วย


หนึ่งในรูปภาพที่ได้รับความนิยมที่สุดของพระแม่กาลี

๗) พระแม่กาลี (Kali)

พระแม่กาลี ก็เหมือนพระแม่ระตี คือแม้ว่าคุณสมบัติที่โดดเด่นอย่างหนึ่งในลัทธิเดิมของพระนางจะเป็นเรื่องเซ็กซ์ แต่เมื่อเข้ามาในศาสนาฮินดูแล้ว ก็ไม่มีการพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระนางในแง่ดังกล่าว แต่ก็ยังคงมีภาพวาดของพระนาง รวมทั้งประติมากรรมที่แสดงถึงเนื้อหาดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

ผมได้เขียนบทความใน blog เดียวกันนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องของพระแม่กาลีล้วนๆ ไปแล้วนะครับ

เพราะฉะนั้น ในบทนี้ก็จะไม่อธิบายอะไรอีก ขอพูดเฉพาะความเกี่ยวข้องระหว่างพระนางกับเรื่องเพศ โดยเฉพาะกามบูชา หรือการร่วมเพศเพื่อเป็นการบูชาพระแม่เจ้าองค์นี้ ตาม concept ของบทความนี้เพียงอย่างเดียว

โดยนอกจากพิธีกรรมของพวกวามจารี ซึ่งประกอบด้วยการดื่มน้ำเมา (มัตยะ) - บริโภคเนื้อสัตว์สดๆ (มางสะ) - สาธยายมนตร์ปลุกกำหนัด (มนตร์) - ร่ายรำด้วยลีลายั่วยวนเร่งเร้าความรู้สึกทางเพศ (มุทรา) และร่วมเพศ (ไมถุน) ตามที่ผมเคยเขียนไปแล้วนะครับ

การบูชาพระแม่กาลี ยังมีพิธีกรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จัดขึ้นในเทวาลัยของพระนางเช่นกัน โดยจะต้องรวบรวมผู้ร่วมประกอบกามกิจ ในจำนวนที่เป็นเลขคี่ คือ ๓-๕-๗-๙ หรือบางครั้งจำนวนอาจมากกว่านั้นในพิธีใหญ่ๆ แต่โดยมารตรฐานคือ ๙ เท่าจำนวนดาวนพเคราะห์ตามหลักโหราศาสตร์

ในพิธีบูชาพระแม่กาลีนั้น ตั้งแต่เริ่มจนจบ ความสำคัญอยู่ที่สตรี บุรุษเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น การเสพสังวาสก็จะเป็นไปในหลายแบบ อาทิเช่น หญิงกับหญิง ชายกับชาย หญิงคนเดียวชายหลายคน เพราะจำนวนเป็นเลขคี่ จึงไม่มีการจับคู่กันไงครับ

ตรงศูนย์กลางของมณฑลพิธี จะมีเด็กสาวเปลือยกายเป็นตัวแทนของพระแม่กาลี เด็กสาวผู้นี้มิได้ร่วมในกามกิจ แต่ทำหน้าที่คอยรับเครื่องบูชาเช่นรวงข้าว ดอกไม้ ผลไม้ ของหวาน ผ้าแพรไหมตลอดจนเพชรนิลจินดา ที่ผู้บูชาพระแม่กาลีมอบให้


เทวรูปพระแม่กาลีแบบนี้ เหมาะสำหรับการบูชาเพื่อผลในเรื่องเซ็กซ์
และยังไม่กระทบกับการบูชาพระศิวะด้วย

เครื่องบูชาเหล่านี้ จะถูกแจกจ่ายให้กับเหล่าหญิงที่อยู่ในมณฑลพิธี และร่วมประกอบกามกิจบูชาพระแม่เมื่อพิธีสิ้นสุดลง เด็กสาวผู้เป็นตัวแทนพระแม่มิได้รับไปใช้ส่วนตัวหรอกครับ เธอทำหน้าที่รับแทนองค์พระแม่ และแจกจ่ายกลับไปที่ผู้ประกอบกามบูชาเป็นของรางวัลจากองค์พระแม่มากกว่า

พิธีกรรมที่บรรยายมานี้ เป็นเรื่องเร้นลับภายในลัทธิเดิมของพระแม่กาลีเท่านั้น บุคคลทั่วไปไม่มีโอกาสได้รู้เห็น การบูชาพระแม่กาลีของชาวอินเดียโดยทั่วไป ถ้าไม่เป็นแบบฮินดูก็เน้นการบูชายัญด้วยสัตว์เช่นแพะมากกว่า กามบูชาเป็นเรื่องที่ทำกันส่วนบุคคลเฉพาะสามีภรรยา หรือคู่รักที่ไม่เคร่งศาสนาฮินดู จึงเป็นการยากที่จะรู้ได้อย่างแน่ชัดว่า มีความนิยมแพร่หลายมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้บูชาพระนางแพร่หลายขึ้นในเมืองไทยทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องของการประทานพรในด้านกามารมณ์นี่แหละครับ


พระแม่หนี่วา ผลงานของศิลปินจีนยุคปัจุบัน

๘) พระแม่หนี่วา (Nu Wa)

เทพนารีองค์นี้ ทรงได้รับการนับถือว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ โดยทรงปั้นขึ้นจากดินที่ริมฝั่งแม่น้ำเหลือง และสิ่งนี้ทำให้พระนางทรงกลายเป็นเทพแห่งความรัก และกามารมณ์ไปด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

นั่นก็เพราะภายหลังจากความเหนื่อยล้า ในการสร้างมนุษย์ทั้งชายและหญิงเป็นจำนวนมาก พระนางทรงได้คิดว่า ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่เทพ พวกเขาไม่อาจอยู่ค้ำฟ้าเช่นพระนาง และถ้าพวกเขาสิ้นอายุลง พระนางก็ไม่อาจจะทรงรับภาระในการให้กำเนิดมนุษย์ทั้งโลกได้ตลอดไป 

พระแม่หนี่วาจึงประทานพลังอำนาจ ให้มนุษย์ที่ต่างเพศกันนั้นสามารถที่จะสมสู่กัน เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ด้วยตนเอง จากนั้นพระนางก็ทรงสั่งสอนสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวแก่การครองเรือนแก่คู่สามีภรรยาเหล่านั้น ซึ่งเรื่องเซ็กซ์ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นละครับ

ใน Wikipedia นั้นถึงกับกล่าวว่า พระนาง represents heaven and the never ending sexual desire between married couples เลยทีเดียว

แต่เทววิทยา และวรรณคดีจีนไม่พูดออกมาตรงๆ ในส่วนนี้ นั่นก็เพราะวัฒนธรรมจีนมีปัญหาในการพูดถึงเรื่องเพศเช่นเดียวกับวัฒนธรรมอินเดีย แม้จะมีความต้องการผลผลิตของประชากรประเภท ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองพอๆ กันก็ตาม
         
พระแม่หนี่วา ตามที่ปรากฏในปฐมกาลนั้นเป็นเทพนารีผู้ทรงพระสิริโฉม แต่ก็ดูน่าสะพรึงกลัวมาก เพราะทรงมีพระวรกายท่อนล่างเป็นมังกรหรืองู ในเวลาต่อมาจึงปรากฏพระองค์ด้วยเทวลักษณะอันงามสมบูรณ์แบบ

พระนางทรงมีสัญลักษณ์คือก้อนหินห้าสี  ซึ่งเตือนให้เราระลึกถึงการที่ทรงช่วยเหลือบรรพชนของเรา ให้พ้นมหาวิบัติภัยจากวันโลกาวินาศในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ทำให้พระนางทรงได้รับความนิยมนับถือสูงสุด

แต่แม้จะทรงมีน้ำพระทัยเมตตาต่อมวลมนุษย์ อย่างหาที่เปรียบมิได้ ในอีกแง่หนึ่ง พระนางก็ทรงมีความเด็ดขาดเพียงพอที่จะลงโทษคนชั่วให้ถึงแก่ความวิบัติได้เช่นกัน ดังเช่นการส่ง นางพญาจิ้งจอกเก้าหาง ไปมอมเมาจอมทรราชย์แห่งราชวงศ์ซาง จนพินาศสูญบ้านสิ้นเมือง


เทวรูปพระแม่หนี่วายุคปัจจุบัน ทำด้วยไม้แกะสลักระบายสี

เรื่องของนางพญาจิ้งจอกเก้าหาง แปลงร่างเป็น พระสนมต๋าจี มอมเมา โจ้วหวาง จอมทรราชย์นี้ เป็นตำนานโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งของจีน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ วรรณกรรมจีนมีวิธีเล่าตำนานนี้โดยทำให้ผู้คนแทบจะลืมไปสนิทว่า นางจิ้งจอกเก้าหางในคราบต๋าจีนั้น ใช้ความยั่วยวนและตัณหาราคะมอมเมาจอมทรราชย์

ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเย้ายวนทางเพศ จนทำให้เกจิอาจารย์ชาวไทยนำมาสร้างเป็นเครื่องรางด้านเสน่ห์และราคะกันเป็นอันมาก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นับว่าเป็นอีกพฤติการณ์หนึ่ง ที่ทำให้พระแม่หนี่วามีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรื่องของความใคร่และกามารมณ์ แม้ว่าจะมิได้เกิดจากเจตนาของพระนางเองก็ตาม

ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ พระแม่หนี่วากำลังได้รับความนับถือมากในจีนแผ่นดินใหญ่ และเทวรูปของพระนางก็หาได้ง่ายในอินเตอร์เน็ต รวมทั้งมีเทวรูปของพระนางให้กราบไหว้ในเมืองไทยของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ที่ จ.ชลบุรี และใน อุทยานมังกรสวรรค์ ที่ จ.สุพรรณบุรี

อย่างไรก็ตาม การบูชาพระแม่หนี่วานั้น สามารถนำมาซึ่งความสำเร็จในเรื่องความรักและกามารมณ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องบูชาให้แตกต่างจากเทพนารีจีนองค์อื่น เพราะพระนางจะทรงจัดสรรให้ ตามที่เหมาะที่ควรกับผู้บูชาอยู่แล้วครับ




ครับ...ก็เป็นอันว่าครบถ้วน สำหรับเทพนารีองค์สำคัญ ที่ประทานพรในเรื่องกามารมณ์ และยังมีคติการนับถือกันอยู่ในทุกวันนี้

และขอย้ำว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เป็นการตอบคำถามที่ได้รับมาตลอด รวมทั้งเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจ ไม่ใช่การเชิญชวนให้ใครไปกราบไหว้บูชาพระแม่เหล่านี้นะครับ

เพราะแม้การบูชาพระแม่ทั้ง ๘ องค์นี้ ถึงจะดีกว่า-ปลอดภัยกว่าการเล่นคุณไสยมนต์ดำ แต่ก็ยังมีอาถรรพณ์อยู่ดี ด้วยว่านอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้ว แทบทุกองค์ก็ทรงเป็นเทวีแห่งชีวิตและความตายด้วย

และคนบูชาเทพในเมืองไทยเรา โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก ก็มักจะบูชาเทพอย่างเป็นของเล่น นึกจะบูชาก็แสวงหามาบูชา พอเบื่อก็เลิก หรือไม่ก็บูชาอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม

ซึ่งถ้ามาทำอย่างนี้กับพระแม่ ๘ องค์นี้ ในที่สุดก็จะพบกับความวิบัติหายนะ ไม่แตกต่างกับการเล่นคุณไสยมนต์ดำหรอกครับ

การบูชาเทพนารี ๘ องค์นี้ จึงเหมาะกับผู้บูชาที่มีวุฒิภาวะ รู้จักตนเอง และมีวินัยในการควบคุมตนเอง ตลอดจนมีศีลธรรม คุณธรรม จึงจะบูชาได้ผลดีที่สุดครับ


.........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

20 ความคิดเห็น:

  1. คำตอบ
    1. อยากได้ทุกองค์เลยซิคะ ^ ^

      ลบ
    2. ใช่คะชอบพระเทวีอินันนาแล้วก็พระแม่กาลี

      ลบ
  2. อาจารย์ผมเห็นบางสำนักนำรูปลักษณ์ของเทวีอินันนามาเสกโดยบอกว่าเป็นนางพญาลิลิธ อย่างนี้ถ้าเรานำมาบูชาจะเป็นอย่างไรครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ของฝรั่งใช่มั้ยคะ ที่เห็นส่วนมากจะเป็นของ Paul Borda ส่วนใหญ่เค้าเอาไปตั้งโชว์กันนะคะ ไม่เคยได้ยินว่ามีการเสก...ถ้ายังไงรออาจารย์กิตติมาตอบอีกทีนะคะ แจ้งอาจารย์ไปแล้วค่ะ ^ ^

      ลบ
    2. ขึ้นอยู่กับวิธีเสกครับ ว่าเขาเสกแบบไหน

      ถ้าเขาเสกตามแบบของลัทธิซาตาน โดยใช้มนต์อัญเชิญนางพญาลิลิธจริงๆ แต่ใช้เทวรูปหรือเหรียญตราเป็นรูปของพระเทวีอินันนา นางพญาลิลิธก็จะโกรธมาก ถือว่าเป็นการจาบจ้วงที่นำรูปลักษณ์ของคนอื่นมาสมมุติเป็นพระนาง พระนางก็จะสาปแช่งให้คนที่นำเทวรูปหรือเหรียญตรานั้นไปบูชา ให้พบกับโชคร้ายและโรคภัยไข้เจ็บตลอดไป คนคนนั้นก็อาจจะประสบอุบัติเหตุถึงพิการ หรือตายด้วยอาการที่ผิดธรรมชาติครับ

      ลบ
    3. แต่ถ้าเขาเสกตามแบบวิคคา คือใช้มนต์ภาษาอังกฤษ และพิธีกรรมก็แล้วแต่จะคิดเองเออเอง ก็จะไม่มีอาถรรพณ์อะไร เพราะนางพญาลิลิธไม่รู้ไม่เห็นไงครับ

      ส่วนพระเทวีอินันนาท่านก็ไม่รู้เห็นอะไรอยู่แล้ว เพราะไปเอารูปลักษณ์ของท่านมาใช้ ไม่้ได้อัญเชิญท่าน

      สิ่งที่จะได้รับจากการบูชาแบบนี้ คือคนบูชาก็จะลุ่มหลงงมงาย กับการบูชาในสิ่งที่ผิด แล้วก็จะมีเหตุปัจจัยนำไปสู่การบูชาในสิ่งที่ผิดต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อเราทำผิดอะไรสักอย่าง มันจะมีเหตุปัจจัยมาชักนำเราไปสู่การทำผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนชีวิตของเราตกลงไปในหนทางแห่งความเสื่อม

      ในทางกลับกัน ถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะมีเหตุปัจจัยมาชักนำเราให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนชีวิตเรามีความสุขความเจริญละครับ

      ลบ
    4. ทีนี้ถ้ารูปลักษณ์ของพระเทวีอินันนาที่เขาเอามาเสกเป็นนางพญาลิลิธนั้น ถูกต้องตรงตามแบบในภาพข้างบน ซึ่งเป็น ประติมานวิทยา (Iconography) ของท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้รู้เห็น แต่อาถรรพณ์ก็อาจจะเกิดจากส่วนนี้ได้ครับ

      เพราะรูปภาพ และประติมากรรมของเทพรุ่นโบราณมากๆ ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ หรือเมโสโปเตเมีย หากทำขึ้นอย่างมีองค์ประกอบถูกต้องตามประติมานวิทยาของท่านเกินกว่า ๗๐% ไม่ว่าจะทำด้วยวัสดุอะไร ก็มีอาถรรพณ์แล้วครับ ต้องเอาเข้าพิธีเทวาภิเษกตามสายวิชาที่เกี่ยวข้องเท่านั้น จึงจะล้างอาถรรพณ์ได้

      ฝรั่งไม่รู้ เอาประติมากรรมที่เลียนแบบโบราณวัตถุอียิปต์ หรือเมโสโปเตเมีย ไปตั้งโชว์หรือแต่งบ้าน โดนอาถรรพณ์ไปเยอะแล้วครับ ชีวิตนับแต่นั้นมีแต่ปัญหาไม่หยุดหย่อน หาความสงบสุขไม่ได้

      แต่ไม่ค่อยเฉลียวใจกัน ไม่นึกว่าเป็นผลมาจากการแต่งบ้านด้วยของเลียนแบบรูปเคารพโบราณ ซึ่งแค่เลียนแบบก็เท่ากับถ่ายทอดอาถรรพณ์มาแล้วส่วนหนึ่ง

      ลบ
  3. แต่ถ้าลองไป search ภาพลิลิธใน Google จะเป็น The Burney Relief ที่อาจารย์บอกว่าเป็นเทพีอินันนาทั้งนั้นเลยนะคะ แล้วใน Wiki ก็บอกว่าเป็นได้ทั้งลิลิธ อินันนา และ Ereshkigal ด้วย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รออาจารย์มาตอบนะคะ

      ลบ
    2. คือมันเป็นอย่างนี้ครับ

      ในสมัยที่ค้นพบ The Burney Relief นั้น เทววิทยาเมโสโปเตเมียยังไม่แพร่หลาย เรื่องราวของพระเทวีอินันนา ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

      เมื่อนักวิชาการยุคนั้นเห็นแผ่นอิฐที่ว่านี้ เป็นรูปผู้หญิงเปลือย มีปีก และขามีขนนก เท้าเป็นกรงเล็บแบบนก และมีนกเค้าแมวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวลากลางคืนด้วย จึงตั้งชื่อแผ่นอิฐนี้ว่า Quee of The Night ซึ่งสื่อความหมายถึงนางพญาลิลิธนั่นเอง

      พวกเขาลืมไปสนิทไงครับ ว่า นางพญาลิลิธ เดิมเป็นนางปีศาจ ไม่เคยได้รับการนับถือบูชา จากชาวสุเมเรียน บาบิโลเนียน หรือชนชาติใดในเมโสโปเตเมีย และยังคงไม่ได้รับการบูชามาตลอด จนกระทั่งถึงยุคกลางของยุโรป

      แล้วพวกสุเมเรียน หรือบาบิโลเนียนจะทำรูปของพระนางขึ้นมาบูชาทำไม?

      แต่ความเชื่อนี้ก็แพร่หลายออกไป จนกว่านักโบราณคดีในยุคปัจจุบันจะยืนยันว่า The Burney Relief นี้ เป็นรูปลักษณ์ของพระเทวีอินันนา ก็สายไปเสียแล้ว

      คนส่วนใหญ่เชื่อไปหมดใจแล้ว ว่านี่เป็นรูปของนางพญาลิลิธ แม้แต่ศิลปินที่วงการ Pagan ให้ความเชื่อถือกันมาก อย่าง Paul Borda ก็ยังเอารูปลักษณ์ที่เห็นนี้ ไปทำเป็นรูปบูชาของนางพญาลิลิธ ใน google จึงได้แสดงผลอย่างนั้นไงครับ

      ลบ
    3. ส่วนกรณีของการสร้างเครื่องรางลิลิธ ในบางสำนัก โดยนำประติมานวิทยาของพระเทวีอินันนามาใช้ แล้วอธิบายว่า เป็นเพราะชาวยิวเกลียดชังพระเทวีอิชตาร์ของบาบิโลเนีย จึงนำเรื่องราวไปปรุงแต่งเป็นนางพญาลิลิธ ซึ่งเป็นชายาของซาตาน ด้วยเหตุดังกล่าว จึงสามารถที่จะนำรูปแบบของอินันนา-อิชตาร์ มาใช้เป็นเครื่องรางลิลิธได้นั้น

      คำอธิบายดังกล่าว ก็เป็นเพียงการพยายามหาความชอบธรรม ให้กับการหลงเป็นเหยื่อของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ The Burney Relief ที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ เท่านั้นแหละครับ

      เพราะถึงชาวยิวจะเกลียดชังพระเทวีอิชตาร์ จนนำมาปรุงแต่งเป็นเรื่องราวของนางพญาลิลิธจริง (ยังไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่จะเชื่อมโยงเช่นนี้ได้)

      แต่ศาสนายิวนั้นไม่มีการทำรูปเคารพครับ

      เรื่องราวของนางพญาลิลิธ จึงมีอยู่แต่ในลายลักษณ์อักษร จนเพิ่งมาเปิดเผยอีกครั้งในศตวรรษที่ ๑๓ ดังกล่าวแล้ว และเป็นเหตุให้เพิ่งจะมีภาพวาดของพระนาง ในศิลปะยุโรปนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งก็ไม่มีความคล้ายคลึงใดๆ กับ The Burney Relief

      ในขณะเดียวกัน ประติมานวิทยาของนางพญาลิลิธที่แท้จริง ก็มีอยู่แล้ว คือเป็นรูปสาวเปลือย หรือแต่งตัวเซ็กซี่ก็ได้ ด้านหลังจะมีปีกเป็นค้างคาว หรือรูปทรงปีกเป็นค้างคาวแต่มีขนแบบนกสีดำ

      ศิลปินชั้นนำของโลกในปัจจุบัน ได้เขียนภาพนางพญาลิลิธที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น Boris Vallejo และ Luis Royo ตามที่ผมนำภาพมาประกอบในบทความนี้แล้ว

      ซึ่งถ้าผู้สร้างเครื่องรางลิลิธนั้น รู้จักค้นหาแบบอย่างที่แท้จริง ก็จะพบได้ไม่ยากเลยครับ

      ลบ
    4. ขออภัยครับ คำว่า Queen of The Night พิมพ์ตกไปครับ

      ลบ
  4. แล้ววิชาที่เสกพระเทวีอินันนาได้ยังมีอยู่มั้ยคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รออาจารย์มาตอบนะคะ ^ ^

      ลบ
    2. มีครับ เป็นสายการบูชาที่สืบทอดผ่านลัทธิของพระเทวีอิชตาร์อย่างเป็นความลับ โดยนักบวชกลุ่มเล็กๆ ที่รอดจากการทำลายล้างศาสนาบาบิโลเนียโดยคริสต์และอิสลามมาได้จนถึงปัจจุบัน

      ตอนนี้ก็ยังอยู่ในสถานะที่ปิดลับเหมือนเดิม คนทั่วไปไม่รู้เลยครับว่ามีอยู่ ที่เอาเทวรูปมาเสกและบูชากันทั่วไป ส่วนมากใช้มนต์ภาษาอังกฤษที่แปลจาก The Exaltation of Inanna ของเจ้าหญิงเอนเฮดูอันนาครับ

      ลบ

  5. เราจะบูชาเทวีอาเทอร์ได้ยังไงค้ะเอาอะไรมาบุชาได้บ้างชอบท่านค้ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ๑) เสิร์ชหาภาพเทวรูปของท่าน ใน google ใช้คำค้นว่า Hathor Goddess Statue ชอบองค์ไหนก็เข้าไปดูว่า shipping มาไทยได้มั้ย ถ้าได้ก็สั่งเลยค่ะ

      ถ้าเว็บ goddessgift.net ยังมีอยู่ เว็บนี้ราคาไม่แพงและส่งถึงเมืองไทยค่ะ

      ลบ
    2. ๒) งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์สิริกิติ์ พ.ย.นี้ ไปที่บูธ สนพ.สร้างสรรค์บุ๊คส์ โซน C ชั้นใต้ดิน หาหนังสือ "สุริยเทวีปกรณ์ : พระเทวีไอซิส เทวีฮาเธอร์ เทวีบาสต์" ของ อ.กิตติ

      ถ้าหาไม่ได้ หรือไม่สะดวกไป ลองเอาชื่อหนังสือเล่มนี้ไปสั่งจองที่เคาน์เตอร์ร้านซี้เอ็ดใกล้บ้านค่ะ ถ้าเค้ารับสั่งจอง ก็น่าจะได้หนังสือภายในไม่กี่วัน

      ลบ
    3. ๓) ในหนังสือ ตอนท้ายๆ มีวิธีเสกเทวรูปด้วยตัวเอง แล้วก็วิธีจัดแท่น จัดเครื่องบูชา วิธีบูชา มีแม้กระทั่งมนต์ภาษาอียิปต์โบราณค่ะ

      แต่ถ้าไม่ชัวร์เรื่องการเสก ส่งเทวรูปไปให้อาจารย์ทำพิธีเสกให้ได้ค่ะ ติดต่อที่ Line ID : Mystica4u บอกว่า มาจากบล็อกศรีคุรุเทพค่ะ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น