วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2563

ตรีเอกานุภาพนานาชาติ


บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์


*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
         



คำว่า  ตรีเอกานุภาพ  หมายถึงการจัดชุดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มี ๓ องค์ หรือ ๓ สิ่ง สำหรับการบูชารวมกัน 

ซึ่งจะทำให้ได้รับผลจากคุณสมบัติเด่นๆ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนั้น ยิ่งกว่าที่พึงได้รับจากองค์ใดองค์หนึ่งครับ

โดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบเข้าเป็นตรีเอกานุภาพ ต้องมีทิพยฐานะใกล้เคียงกัน อาจจะมีองค์ใดองค์หนึ่งที่สูงสุด แต่อีก ๒ องค์ที่อยู่ในชั้นรองลงมาก็ต้องไม่เป็นรองมากนัก และศักดิ์ของอีก ๒ องค์ที่อยู่ในชั้นรองลงมานั้น ก็ต้องเสมอกัน  

การจัดกลุ่มเทพแบบ Triad หรือ ตรีเอกานุภาพ เป็นแบบแผนอันได้รับความนิยมทั่วโลก มีอยู่ในแทบทุกลัทธิศาสนา 




เช่นในอียิปต์  ซึ่งในหลายสมัยจัดกลุ่มเทพสูงสุดสำหรับบูชาคือ จอมเทพโอสิริส (Osiris)  พระเทวีไอซิส (Isis) และ มหาเทพโฮรุส (Horus)  บางสมัยและบางเมืองก็จัดต่างไปจากนี้




หรือตรีเอกานุภาพอีกแบบหนึ่ง ที่ผมนำเสนอในหนังสือ สุริยเทวีปกรณ์ คือ พระเทวีไอซิส มหาเทวีฮาเธอร์ (Hathor) และ เทวีบาสเต็ต (Bastet) ก็เป็น Triad ของเทพนารีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันเช่นกันครับ

ในลัทธิศาสนาฝ่ายเมโสโปเตเมีย นับตั้งแต่ยุคบาบิโลนเก่า (๒,๐๑๗-๑,๕๙๔ ปีก่อนคริสตกาล) ก็มีตรีเอกานุภาพของ สุริยเทพชามาช (Shamash) จันทรเทพซิน (Sin) และ พระเทวีอิชตาร์ (Ishtar) ซึ่งทรงเกี่ยวข้องกับดาวศุกร์

ดังนั้น Triad ของบาบิโลนแบบดั้งเดิมก็คือ การบูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ และพระศุกร์




ปัจจุบัน แม้จะมีการฟื้นฟูเทวศาสตร์บาบิโลเนียขึ้นมาใหม่ แต่สายการบูชาจันทรเทพซินได้เสื่อมสูญไปแล้ว ตรีเอกานุภาพของบาบิโลนในยุคนี้จึงเปลี่ยนเป็นการบูชา จอมเทพมาร์ดุค (Marduk) ซึ่งเป็นเทพสูงสุดของอาณาจักรบาบิโลนใหม่ (Neo Babylonia ๖๑๒-๕๓๙ ปีก่อนคริสตกาล) พระเทวีอิชตาร์ และ สุริยเทพชามาช

ในส่วนของกรีก-โรมัน แม้จะมี Triad ที่รู้จักกันทั่วไปอย่าง จอมเทพซีอุส (Ζεύς หรือ Jupiter ของโรมัน) สมุทรเทพโพไซดอน (Ποσειδώνας หรือ Neptune ของโรมัน) และ ยมเทพเฮดีส (Ήάδης หรือ Pluto ของโรมัน)

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีการบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์นี้ร่วมกันในเทวศาสตร์กรีก-โรมันเลยครับ




ตรีเอกานุภาพกรีก-โรมันเท่าที่มีหลักฐานอยู่ คือ จอมเทพซีอุส พระเทวีเฮรา (Ήρα หรือ Juno ของโรมัน) และ มหาเทวีอธีนา (Αθήνα หรือ Minerva ของโรมัน)

ซึ่งถ้าไม่เก็บเอาเทพนิยายมาคิด การบูชาจอมเทพซีอุสกับพระเทวีเฮรานั้นจะอำนวยผลที่ดีมาก ในด้านวาสนาบารมีของชาย-หญิง และยังคงมีศาสตร์ที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในขณะที่มหาเทวีอธีนา ซึ่งทรงเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณนั้น ทรงได้รับความนิยมจากโลกตะวันตกอยู่แล้ว

ส่วนในวัฒนธรรมของชาวยุโรปเหนือ หรือ นอร์ส (Norse) ตรีเอกานุภาพในชั้นแรกสุดคือ จอมเทพโอดิน (Óðinn) มหาเทพธอร์ (Þór) และ มหาเทพเฟรย์ (Frey) นั่นคือการนับถือพระเป็นเจ้าสูงสุด เทพแห่งท้องฟ้า และเทพแห่งปศุสัตว์-กสิกรรมเป็นคณะเดียวกัน 

ต่อมา คติการบูชามหาเทพเฟรย์ลดความสำคัญลง เพราะชาวนอร์สต้องออกเดินทางไปแสวงหาที่ทำกินใหม่ๆ หรือแสวงหาความร่ำรวย จนเป็นที่รู้จักกันในนามของพวก ไวกิ้ง (Vikings) ซึ่งคนเหล่านี้จะนับถือจอมเทพโอดินกับมหาเทพธอร์เป็นหลัก




ส่วนผู้หญิงที่ยังคงอยู่ในภูมิลำเนาเดิม นิยมบูชา มหาเทวีเฟรยา (Freyja) เพราะต้องการการปกป้องคุ้มครอง และมีความสนใจในเรื่องเวทมนต์มากขึ้น พระนางจึงถูกรวมเข้าในตรีเอกานุภาพแทนที่มหาเทพเฟรย์มาจนทุกวันนี้

กล่าวสำหรับลัทธิศาสนาเม็กซิกัน โดยเฉพาะอัซเต็ค (Aztec) เดิมไม่มีการจัดชุดเทพสำหรับบูชาเป็นตรีเอกานุภาพ เพราะไม่มีการยกย่องมหาเทพองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นอย่างแท้จริง

มีแต่การบูชาคณะเทพ ๕ องค์ อันประกอบด้วย สุริยเทพฮวิตซิโลปอชทลิ (Huitzilopochtli) วรุณเทพทลาลอค (Tlaloc) จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ (Quetzalcoatl) เทพแห่งรุ่งอรุณ ซิเป-โตเต็ค (Xipe-Tótec) และ เทพอสูรเตซคาทลิโปคา (Tezcatlipoca)

ล่วงมาถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งมีการฟื้นฟูการบูชาเทพอัซเต็คขึ้นใหม่ เทพซิเป-โตเต็คไม่เป็นที่นิยม และเทพอสูรเตซคาทลิโปคาก็เป็นด้านมืดของลัทธิศาสนาเม็กซิกัน ที่ทำให้ถูกโลกภายนอกมองในแง่ลบมาตลอด




จึงมีการแนะนำกันให้จัดชุดบูชาของ จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ สุริยเทพฮวิตซิโลปอชทลิ และ วรุณเทพทลาลอค เป็น Triad โดยปรับเปลี่ยนการบูชาองค์สุริยเทพ และวรุณเทพ ด้วยอาหารและผลไม้ ไม่เกี่ยวข้องกับการบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์หรือสัตว์อีกต่อไป

ในกรณีของเทพอินเดีย เนปาล-ทิเบต จีน ญี่ปุ่น และไทย ผมจะแนะนำตรีเอกานุภาพ ที่กลั่นกรองด้วยประสบการณ์การทำงานด้านนี้กว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ว่าได้ผลจริงในการบูชา และไม่ยากเกินไปในการจัดหาเทวรูป ดังต่อไปนี้นะครับ




อินเดีย ดีที่สุด และได้รับความนิยมต่อเนื่องยาวนานที่สุดคือ พระคเณศ (गणेश) พระลักษมี (लक्ष्मी) พระสรัสวดี (सरस्वती) เป็นการบูชาคุณสมบัติที่เด่นๆ ของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ ในด้านของความสำเร็จ  การปลอดพ้นจากอุปสรรค  การมีโชคดี  ลาภยศสรรเสริญ  สติปัญญา ความรู้ และความสามารถในทางศิลปวิทยาทั้งปวง




ส่วน พระวิษณุ (विष्णु) พระศิวะ (शिव) และ พระพรหม (ब्रह्मा) หรือที่เรียกกันว่า พระตรีมูรติ (त्रिमूर्ति) นั้น ทรงคุณวิเศษในทางวาสนาบารมี การปกป้องคุ้มครอง พลังจิต อำนาจลี้ลับ การบำเพ็ญเพียรและศาสนา นับเป็นตรีเอกานุภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องยาวนานเช่นกัน เพียงแต่ยุคนี้ไม่ค่อยมีการ promote เพราะบูชาแบบฮินดูสมัยใหม่ ไม่ใช่ศาสตร์เดิมของแต่ละองค์จึงไม่มีผลอะไร




การบูชาตรีเอกานุภาพ เพื่อให้ได้รับพรวิเศษเฉพาะด้านพลังจิต เวทมนต์ และฤทธิ์ ที่ผมได้โพสต์ใน blog นี้ไปแล้ว คือ พระศิวะ พระสรัสวดี พระตรีปุระสุนทรี (त्रिपुरा सुंदरी) ก็มีเงื่อนไขจำเพาะเจาะจงอยู่ว่า เทวรูปพระสรัสวดีที่จะบูชาเพื่อการนี้ ควรเป็นแบบที่ไม่ถือวีณา

และผู้บูชาต้องยึดมั่นในศีลธรรม คุณธรรม พรหมวิหาร ๔ และมีความละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) อย่างเคร่งครัด ต้องประสบผลสำเร็จในการบูชาเทพมาก่อนหน้านั้นแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปี และต้องไม่เป็นคนรักเพศเดียวกัน




การบูชา พระตรีปุระสุนทรี พระลักษมี และ พระสรัสวดี ก็เป็น Triad ที่เหมาะกับผู้บูชาที่เป็นผู้หญิง เพราะในระดับทั่วไปนั้น พระตรีปุระสุนทรีอำนวยพรด้านวาสนาบารมีได้เหมือนกับ พระอุมา (उमा) ขณะเดียวกันกับที่ทรงฤทธิ์ในการปกป้องคุ้มครองได้เหมือน พระทุรคา (दुर्गा)

ส่วนใครที่ศรัทธาวัชรยานแบบเนปาล-ทิเบต ก็สามารถจัดชุดบูชา พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (अवलोकितेश्वर) พระโพธิสัตว์ตารา (तारा) และ พระโพธิสัตว์ชัมภล (जम्बाला)




พระโพธิสัตว์ตารา ทรงเป็นพระโพธิสัตว์หญิงที่ชาวทิเบต และชาวตะวันตกนิยมนับถือกันมากที่สุด มี ๒ ปางที่สำคัญ คือ วรรณะขาว หรือ พระสิตตาราโพธิสัตว์ ซึ่งประทานพรครอบคลุมทุกด้าน คล้ายพระลักษมี กับ วรรณะเขียว หรือ พระศยามตาราโพธิสัตว์ ซึ่งเด่นในการประทานโชคลาภ และความมั่งมีศรีสุข




ซึ่งถ้าบูชาพระศยามตาราโพธิสัตว์ ร่วมกับพระโพธิสัตว์ชัมภล โดยมีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเป็นองค์ประธาน ก็จะเกิดผลในทางโชคลาภเป็นอันมาก แต่ถ้าต้องการผลที่ครอบคลุมก็ต้องเป็นพระสิตตาราโพธิสัตว์ดังกล่าว 

ตรีเอกานุภาพจีน มีตำราแนะนำกันอยู่หลายชุดครับ แต่ผมไม่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องมากพอ จึงยกตัวอย่างได้เท่าที่ประจักษ์ถึงประสิทธิผลมาแล้ว




คือ พระเทวีซีหวังหมู่ (西王母) พระม่หนี่วา () และ พระแม่เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่ (天后圣母)

พระเทวีซีหวังหมู่ทรงเป็นราชินีสวรรค์ มีเทวฐานะสูงสุดในบรรดาเทพนารีทั้งปวงของศาสนาเต๋า ประทานพรเป็นพิเศษแก่ผู้ยูชาที่เป็นสตรี ขณะที่พระแม่หนี่วาทรงดูแลทั้งในด้านครอบครัวและสลายภัยพิบัติ ส่วนพระแม่เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่ ก็ทรงคุ้มครองทั้งในการเดินทาง และโรคภัยไข้เจ็บ

ผมไม่เรียกพระแม่เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่ว่า “เจ้าแม่ทับทิม” เพราะเป็นคำที่เหมาะใช้กับ พระแม่สุยเหว่ยเซิ่งเหนียง (水尾圣娘) ที่คนไทยเรารู้จักกันในพระนามว่า จุ้ยบ้วย-ตุ้ยบ๊วย แบบในศาลที่เชิงสะพานซังฮี้มากกว่า

ซึ่งเจ้าแม่องค์นี้ ตวรบูชาโดยเอกเทศ ไม่ควรจัดบูชาแบบ Triad กับเทพ-เทวีองค์ใดทั้งสิ้นครับ

ส่วนพระแม่เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่ คนจีนทั่วไปเรียกกันว่า หม่าโจ้ว (妈祖) สามารถบูชาร่วมกับพระเทวีซีหวังหมู่ และพระม่หนี่วาได้ เพราะทรงเป็นเจ้าแม่สวรรค์เหมือนกัน

อีก Triad  หนึ่ง จะมีความเกี่ยวข้องกับ คณะเทพ ๘ เซียน (八仙) แต่ใครไม่ศรัทธาพอที่จะบูชาครบทั้ง ๘ องค์ ก็บูชาตามนี้เลยครับ

เทพบดีไท่ซ่างเหล่าจวิน (太上老君) ซึ่งท่านเป็นเทพปรมาจารย์สูงสุดองค์หนึ่งของศาสนาเต๋า และเป็นอาจารย์ของคณะเทพ ๘ เซียนด้วย




บูชาท่านกับ เทพลวื่ต้งปิน (呂洞賓) ซึ่งเป็นเทพปราบมาร ที่คนจีนในเมืองไทยนิยมเรียกกันว่า หลื่อโจ้ว และ เทวีเหอเซียนกู (何仙姑) เจ้าแม่แห่งสติปัญญาและสุขภาพ ซึ่งทั้งสององค์ทรงเป็น วิสุทธิเทพ ลำดับที่ ๑ และ ๒ ของ ๘ เซียน และมีอิทธิฤทธิ์มากที่สุดด้วย

ส่วนญี่ปุ่นนั้นต่างจากจีน เพราะขณะที่จีนมีตรีเอกานุภาพมากมาย แต่ญี่ปุ่นไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ เขานิยมบูชาแต่เทพแห่งโชคลาภ ๗ องค์ หรือ ชีชิฟูกูจิน (七福神) ซึ่งเกิดจากการเลียนแบบคณะเทพ ๘ เซียนของจีนมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการบูชาชีชิฟูกูจิน ที่ผ่านมานั้น จริงๆ แล้วเกิดจากเทวานุภาพของเทพหลักๆ เพียง ๔ องค์ เท่านั้นแหละครับ

คือ ไดโกกุ (大黒) เทพแห่งโชคลาภและทรัพย์สมบัติ เอบิสุ (恵比寿) เทพแห่งความยุติธรรม บิชามง (毘沙門 หรือ ท้าวเวสสุวัณญึ่ปุ่น) เทพแห่งเกียรติยศ และ ไดเบนไซเท็น (大弁財天 หรือ พระสรัสวดีญึ่ปุ่น) เทวีแห่งความงามและดนตรี

ดังนั้น ถ้าจะแยก ๔ องค์นี้มาบูชา ก็จะได้ผลที่ไม่แตกต่างไปจากชีชิ ฟูกูจินทั้งคณะครับ




และถ้าจะจัดชุดเทพ ไดโกกุ บิชามง และ ไดเบนไซเท็น สำหรับบูชาเป็น Triad ก็จะได้ผลที่ครอบคลุมทั้งความมั่งมีศรีสุข การคุ้มครองป้องกัน และเมตตามหานิยม

ส่วนเทพเอบิสุนั้น ไม่เหมาะบูชารวมกับเทพองค์อื่นในลักษณะของ Triad ครับ บูชาเดี่ยวๆ ได้ผลดีกว่า

คณะเทพของไทย เดิมก็ไม่มีการจัดชุดเทพสำหรับบูชาเป็นตรีเอกานุภาพเช่นกัน แต่ก็มีผู้ที่ได้ผลดีเป็นอันมาก จากการประดิษฐาน พระพรหม (ไทย) พระอินทร์ และ จตุคามรามเทพ




โดยมีหลักอยู่ว่า องค์จตุคามรามเทพนั้นต้องเป็นแบบที่ ไม่มีนาคปรก และฐานต้องไม่สูงเกินกว่าฐานพระอินทร์ครับ

อีกคณะหนึ่ง ที่ผมแนะนำไว้ใน blog นี้แล้วเช่นกัน คือ มหาเทพทรงพาหนะ ซึ่งหากได้บูชาแล้ว จะช่วยนำแสงสว่างสู่ดวงชะตาที่มืดมน  และขจัดขับไล่คนชั่ว คนวิปริต ที่เบียดเบียนพวกเราด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ




แต่เทวรูปในกลุ่มนี้ที่จัดหามาบูชาให้เข้าชุดกันได้ง่ายที่สุด คือ พระพรหมทรงหงส์ พระนารายณ์ทรงครุฑ และ พระพิรุณทรงนาค

โดยปกติ ครุฑกับนาคนั้นเป็นศัตรูกัน โดยครุฑจะทำลายนาคเสมอ กรณีนี้แม้แต่ครุฑของพระนารายณ์ กับนาคของพระพิรุณก็ไม่มีข้อยกเว้น

แต่ในการที่จะบูชาด้วยกัน ก็มีหลักอยู่ว่า ถ้าตั้งพระพรหมทรงหงส์เป็นประธาน และพระนารายณ์ทรงครุฑแบบธรรมดา ไม่ใช่ ครุฑยุดนาค ครุฑของพระนารายณ์ก็จะไม่ทำร้ายนาคของพระพิรุณครับ

ส่วนตรีเอกานุภาพที่ส่งผลในด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งประสบความสำเร็จมามากแล้ว คือ พระศรีวสุนธรา (หรือพระแม่ธรณี) พระแม่โพสพ และ พระแม่นางกวัก




ได้รับความนิยมมาตลอดครับ เพราะใกล้ชิดกับวิถีวัฒนธรรมไทยเราโดยทั่วไป การบูชาก็ง่ายมาก ขอให้เป็นธุรกิจห้างร้าน หรือสินค้าและบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเคมี เครื่องจักรกล และสิ่งสกปรกแล้ว บูชาได้ผลดีทั้งนั้น

ที่กล่าวมาโดยลำดับนี้ จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นลัทธิศาสนาใดๆ ก็มีให้เลือกบูชาในรูปแบบของตรีเอกานุภาพได้ตามความศรัทธา

ซึ่งไม่ว่าจะบูชาชุดไหน ลัทธิไหน ก็จะส่งผลในการบูชาโดยพื้นฐาน คือ ความเจริญรุ่งเรือง  ความอุดมสมบูรณ์ การปกป้องคุ้มครอง การขจัดอาถรรพณ์ ภูตผีและมนต์ดำ ตลอดจนสุขภาพพลานามัยที่ดี เหมือนกันทุก Triad

และเป็นเทวศาสตร์ ที่เหมาะกับวิถีชีวิตของพวกเราส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มากครับ

เพราะเป็นวิธีการบูชา ซึ่งจะทำให้ได้รับผลที่ครอบคลุม ในเรื่องที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บูชาได้มากที่สุด ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป

ทั้งยังง่ายต่อการจัดแท่นบูชา และการตั้งสมาธิจิตในการบูชาอีกด้วย





แต่ต้องทำความเข้าใจนะครับ ว่าบูชาเทพ ๓ องค์ โดยมีเทวรูปเพียงพระนามละ ๑ องค์ หรืออย่างมากก็พระนามละ ๒ องค์ ในขนาดที่ไม่เท่ากัน และองค์เล็กจะต้องตั้งข้างหน้าองค์ใหญ่ได้ โดยไม่บังพระพักตร์ขององค์ใหญ่

เช่น บูชาพระคเณศ พระลักษมี พระสรัสวดี โดยแต่ละองค์เทพ มีเทวรูปขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ตั้งเรียงกัน แล้วก็มีขนาด ๑ หรือ ๒ นิ้ว ตั้งหน้าองต์ ๕ นิ้วเหล่านั้นให้เหมือนๆ กัน ก็จะเป็นตรีเอกานุภาพที่ยังพอใช้ได้อยู่

แต่อย่ามากกว่านี้นะครับ

เช่นบูชาเทพ ๓ องค์ แต่มีเทวรูปพระนามละเกินกว่า ๓ ก็ถือว่ามากเกินไป ไม่เป็นตรีเอกานุภาพที่สมควร

โดยเฉพาะ องค์เทพอียิปต์ บาบิโลน กรีก-โรมัน นอร์ส และอัซเต็ค นิยมจัดแท่นบูชาเทวรูปเพียงพระนามละ ๑ องค์เท่านั้น




แล้วอย่าลืมว่า ถ้าเป็นเทวรูปเพนท์สี ก็ควรเป็นแบบเพนท์สีเหมือนกันทั้งแท่น ถ้าเป็นแบบสีเดียว หรือปิดทอง ก็ควรเป็นแบบสีเดียว หรือปิดทองเหมือนกันทั้งแท่น

แต่อย่างหลังนี้ ถ้าองค์ประธานปิดทองทั้งองค์ อีก ๒ องค์จะเป็นแบบสีเดียวแล้วปิดทองบางส่วน เช่น ปิดทองเฉพาะเครื่องทรงก็ได้

ถ้าจะบูชาแบบตรีเอกานุภาพ จึงต้องวางแผนในการบูชาให้ดีครับ อย่าใจร้อนในการเช่าเทวรูปเข้าบ้าน อย่าทำตัวเป็นนักสะสม

เพราะตรีเอกานุภาพที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลัทธิศาสนาใด คือบูชาเทพ ๓ องค์ ด้วย ๓ เทวรูปเท่านั้น

จึงแล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคนนะครับ ว่าจะชอบตรีเอกานุภาพของอียิปต์ บาบิโลน กรีก-โรมัน นอร์ส อัซเต็ค อินเดีย เนปาล-ทิเบต จีน ญี่ปุ่น หรือไทย

และอย่าลืมว่า ไท่ว่าจะเป็นเทวรูปของลัทธิศาสนาใด ก็จะต้องผ่าน การเทวาภิเษก (Consecration) หรือมนต์พิธีที่ถูกต้อง ตามลัทธิศาสนา หรือคติแห่งการบูชาเทพนั้นๆ ด้วยนะครับ

จะใช้ศาสตร์อื่น หรือนำเทวรูปอียิปต์ บาบิโลน กรีก-โรมัน นอร์ส อัซเต็ค อินเดีย ทิเบต จีน ญี่ปุ่น ที่ซื้อจากร้านค้า ไปให้พระเกจิอาจารย์ไทยอธิษฐานจิต ไม่ได้หรอกครับ




เพราะเป็นคนละศาสตร์กัน ใช้แทนกันไม่ได้

ส่วนการบูชาเทวรูปที่ไม่ผ่านพิธีกรรมใดๆ มาตั้งบูชา ก็เป็นการบูชาที่ไร้ผลเช่นกัน

เนื่องจากเทวรูปเหล่านั้น จะยังคงเป็นเพียงประติมากรรม หรือ ศิลปวัตถุ เหมือนกับตุ๊กตาที่ผลิตออกมาจากโรงงานเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะเป็นสื่อระหว่างองค์เทพกับเราได้

ซึ่งถ้าเป็นบาบิโลน กรีก-โรมัน กับอัซเต็ค ก็คงจะหาเทวรูปที่ผ่านมนต์พิธีที่ถูกต้องได้ยากเอาการ คงต้องใช้ความพยายามในการแสวงหากันหน่อย

แต่ถ้ารักจริง ก็ไม่เกินความสามารถหรอกครับ

...................................

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

เรื่องน่ารู้ของปี่เซี่ยะ


บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





ปี่เซี่ยะ (貔貅) ที่เราเรียกกันอยู่นี้ เป็นสำเนียงแต้จิ๋วครับ

ถ้าจีนกลาง เขาเรียก ผีซิ้ว หรือกวางตุ้งเรียก เผยเย้า

นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น เทียนลู่ (天祿) ซึ่งแปลได้ว่า กวางสวรรค์

ปี่เซี่ยะตามตติเดิมนั้น ตัวเหมือนกวาง หางเหมือนแมว มีเขาและมีปีก ดูเผินๆ ก็เหมือนเสือที่มีเขาและติดปีกนกเข้าไป ที่ทำเป็นตัวอ้วนๆ ป้อมๆ นั้นเป็นการดัดแปลงให้ดูน่ารัก ซึ่งแบบหลังนี้ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเมืองไทยได้รับความนิยมมาก แต่ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว

เป็นสัตว์วิเศษที่เดิมเขาเอาไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย แล้วก็เป็นของที่นิยมกันในหมู่ชนชั้นสูง

เพราะฉะนั้น ในพระราชวังกรุงปักกิ่ง รวมทั้งตามศาสนสถานขนาดใหญ่ต่างๆ เราก็จะได้เห็นปี่เซี่ยะอยู่มากมายครับ

ต่อมา เพราะการที่เป็นของซึ่งใช้กันตามพระราชวัง และบ้านคหบดี ทางฮวงจุ้ยจึงถือว่า ปี่เซี่ยะสามารถเหนี่ยวนำกระแสของโชคลาภ ความร่ำรวย และความสมบูรณ์พูนสุข

เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ทางรัฐบาลจีนจึงเห็นช่องที่จะหาเงินจากความเชื่อเช่นนี้ ด้วยการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมแกะสลักหิน และอุตสาหกรรมเรซินในประเทศ ผลิตปี่เซี่ยะขายให้นักท่องเที่ยว สร้างกระแสให้เกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมา

ถึงขนาดทัวร์ไปจีนแทบทุกกรุ๊ปตอนนั้น ต้องพาลูกทัวร์ไปซื้อปี่เซี่ยะก่อนกลับไทยนะครับ

ในบทความนี้ จะกล่าวถึงเรื่องน่ารู้บางเรื่อง เกี่ยวกับปี่เซี่ยะ ในแง่มุมที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้กัน ซึ่งผมเคยเขียนกระจัดกระจายกันในที่ต่างๆ ในหนังสือ สัตว์มงคล : เครื่องราง ของขลัง บ้าง ใน Facebook บ้าง เอามารวมกันจะได้ง่ายต่อการค้นอ่านนะครับ

๑) ยังมีสัตว์วิเศษอีก ๓ ชนิด ที่ในทางมายาศาสตร์จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับปี่เซี่ยะ

สัตว์วิเศษเหล่านี้ มิได้มีอยู่เฉพาะในเอเชียเท่านั้นนะครับ ยังมีบางชนิดที่อยู่ไกลออกไปถึงทวีปยุโรป โดยที่ยังคงมีคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับวาสนาบารมี และการเป็นผู้พิทักษ์เหมือนกัน ดังต่อไปนี้ :




๑.๑ กริฟฟิน (Griffin)

เป็นสัตว์วิเศษของทางตะวันตก ที่มีอานุภาพทั้งในเรื่องของเมตตามหานิยม การขับไล่สิ่งชั่วร้าย การรักษาทรัพย์สินเงินทองมิให้รั่วไหล จนถึงการรักษาโรค

เอกสารรุ่นเก่ามักจะบรรยายว่า กริฟฟิน เป็นสัตว์ที่มีลักษณะผสมระหว่างนกอินทรีกับสิงโต คือมีหัว,หน้าอก,ขาหน้า และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนสะโพก ขาหลัง และหางเป็นสิงโต

อย่างไรก็ตาม บนหัวที่เหมือนนกอินทรีนั้น ก็ยังมีใบหูของสิงโตอยู่ และบางทีก็มีเขาที่เหมือนแกะด้วย 2 เขา

กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมากครับ สามารถต่อสู้กับมังกรฝรั่ง (Dragon) ได้ เมื่อมันขวิดแต่ละครั้ง มนุษย์ ม้า และวัวตัวใหญ่ๆ จะปลิวหายไปในอากาศ

ในเทพนิยายกรีกกล่าวว่า เทพเจ้าทรงใช้สัตว์ชนิดนี้ลากราชรถให้เคลื่อนไปในท้องฟ้า แต่ภาระหน้าที่หลักของมันจริงๆ ก็คือเฝ้าขุมทรัพย์ โดยเฉพาะทองคำ

กริฟฟินมีทั้งพละกำลัง ความดุร้าย ความแคล่วคล่องในการโจมตีทางอากาศ และสติปัญญา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกครับ ที่ใครจะเข้าไปถึงสิ่งที่มันดูแลอยู่




ตำรายุโรปโบราณยืนยันการมีอยู่จริงของกริฟฟิน แม้แต่โบสถ์คริสต์สมัยแรกๆ ก็ตกแต่งด้วยรูปสัตว์ชนิดนี้ เพื่อให้มันคุ้มครองโบสถ์ คติเช่นนี้ได้แพร่หลายทั่วไป จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ ๑๒ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมในการตกแต่งโบสถ์ กริฟฟินจึงค่อยๆ หายสาบสูญไปจากโบสถ์คริสต์ในเวลาต่อมา

แต่ชาวยุโรป ก็ยังคงนำกริฟฟินมาทำเป็นเครื่องรางอยู่เสมอ เพื่อออาศัยอานุภาพของมันในการปกปักรักษา ให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ นั่นเอง

ทุกวันนี้จึงมีกริฟฟินแบบใหม่ๆ ในอินเตอร์เน็ต เป็นประติมากรรมที่ทำอย่างดี ชนิดที่สามารถนำมาปลุกเสกเป็นเครื่องรางได้ ในระดับที่หาไม่ยากอีกต่อไปแล้วละครับ

แม้ว่าตำราที่ใช้ในการปลุกเสกให้ได้ผล จะยังคงเหลือสืบทอดกันอยู่ในเวลานี้เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นก็ตาม





๑.๒ งีเงาคำ (Ngi Ngao Kham) 

หรือ มังกรอัสสัม (Dragon of Assam) เป็นสัตว์วิเศษของคนไทอาหมในแคว้นอัสสัม ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย มีลักษณะที่ผสมผสานกันระหว่าง งู สิงโต เต่า ม้า และนก  

จึงเป็นพลังเหนือธรรมชาติ ที่ประกอบด้วยความกล้าหาญแข็งแรงน่าเกรงขามของสิงโต ทะยานไปได้อย่างรวดเร็วบนพื้นดินเหมือนม้า ปราดเปรียวในน้ำเหมือนงู อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบกเหมือนเต่า และบินไปได้ในอากาศเหมือนนก
         
ร่างกายของงีเงาคำมี ๕ สี สีขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์ สีแดงคือเครื่องหมายแห่งชีวิต  สีเหลืองหมายถึงปรีชาญาณ สีดำคือบั้นปลายของสรรพสิ่ง และสีเขียว (บางครั้งใช้สีน้ำเงิน) แสดงถึงความยั่งยืนของชีวิตและศานติสุข
                  
ว่ากันว่า งีเงาคำสามารถเดินทางได้เร็วมากครับ ระยะทางที่คนเราใช้เวลาเดินเท้า ๒๐ วัน งีเงาคำสามารถไปถึงได้ในเวลาเพียง ๑ ชั่วโมงเท่านั้น      
ชาวไทอาหมมีตำนานอธิบายกำเนิดของงีเงาคำว่า เป็นโอรสองค์สุดท้องของพระเป็นเจ้าสูงสุด (พูรา : Phura) เป็นทั้งตัวแทนของท้องฟ้า สันติภาพบนแผ่นดิน และสัญลักษณ์ของราชบัลลังก์ไทอาหม 

กษัตริย์ไทอาหมในอดีตหลายพระองค์ ทรงใช้งีเงาคำเป็นตราพระราชลัญจกร  พระราชวังของกษัตริย์ไทอาหมเช่นที่ รังคปุระ (Talatal Ghar) เมืองสิพพสาคร ก็ตกแต่งด้วยรูปงีเงาคำ

คนไทอาหมเคารพบูชางีเงาคำกันอย่างเคร่งครัดแม้จนทุกวันนี้ ภาพและประติมากรรมของงีเงาคำ จะถูกจัดไว้ในแท่นบูชาของแต่ละบ้าน ทั้งยังทำเป็นลายปูนปั้นระบายสี ตกแต่งผนังและหลังคาของ เรือนจุ้มแสง หรือ หอผีทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของชาวไทอาหมด้วย




รวมทั้งเทวสถานสำคัญ  ของศาสนาฮินดู เช่นที่ เทวาลัยกามขัย (Gamakhaya) ที่เมืองเคาหะตี ก็มีการตกแต่งด้วยงีเงาคำ
         
จนที่สุด แม้แต่สุสานของบุคคลสำคัญ ก็ยังมีการนำรูปสัตว์มงคลชนิดนี้ไปตกแต่งให้พบเห็นกันอยู่นะครับ เช่นสุสานของ Rajmantri Bhadari Borboruah ที่เมืองโกลาฆาต

นอกจากนี้ รูปของงีเงาคำยังเคยมีอยู่ในเหรียญกษาปณ์ ที่ใช้กันในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ด้วย

งีเงาคำ เป็นศาสตร์เฉพาะของไมอาหม ไม่แพร่หลายทั่วไป จึงหาซื้อได้แต่ในงานออกร้านประจำปี ของชาวไทอาหมในแคว้นอัสสัมเท่านั้นครับ




๑.๓ สิงคะอัมพร (Singa Ambara)

ออกเสียงตามภาษาพื้นเมืองบาหลีว่า ซิงกา อัมบารา หรือบางครั้งก็เรียกว่า ซิงกา เบอร์ซายัป (Singa Bersayap)

มันมีลักษณะที่ดุร้ายและน่ากลัว อันเป็นความตั้งใจในการออกแบบเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ วิญญาณชั่วร้าย และปัดเป่าอันตราย โดยบางครั้งเราจะเห็นมันยืนอยู่บนแท่นที่ทำเป็นชั้นๆ มีอุ้งเท้ากำลังจับเหยื่อ ซึ่งเป็นรูปเด็กอ้วน ที่สื่อความหมายถึงลูกหลานของปีศาจ

เดิมสิงคะอัมพรเป็นสัญลักษณ์โบราณ ซึ่งหมายถึงอธิปไตย และผู้พิทักษ์ มีถิ่นกำเนิดบนเกาะชวา และจากนั้นก็รวมเข้ากับการศาสนาฮินดูบนเกาะบาหลี

โดยปกติ มักจะใช้เป็นประติมากรรมตกแต่งภายนอกภายในของเทวสถาน (Puri) ซึ่งพบเห็นได้มากทางเหนือของเกาะบาหลี รวมทั้งมีการทำไว้ใช้สำหรับประดิษฐานเทวรูป ในช่วงการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเรียกกันในฐานะนี้ว่า อาสนะ (Palinggih) หรือ พาหนะ (Wahana)

และเมื่อไม่ใช้งาน ก็จะนำไปเก็บไว้บนที่สูงเหนือทางเข้า หรือในชายคาของศาสนสถาน





สิงคะอัมพรยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง และอำนาจราชศักดิ์ ดังที่มีการสร้างไว้ใจกลางเมือง Buleleng ทางเหนือของเกาะบาหลี เพื่อเป็นอนุสรณ์ของ สิงหราชา อดีตผู้นำซึ่งเคยปกครอง และสร้างสรรค์ความเจริญไว้อย่างมากมายที่นั่น

ปัจจุบันมีการทำเป็นวัตถุมงคลขายทั่วไปในเกาะบาหลีครับ ส่วนมากเป็นงานไม้แกะสลัก ซึ่งถ้าเป็นขนาดใหญ่ ก็จะแกะลำตัว ปีก และหางแยกกัน เพื่อให้ง่ายต่อการขนส่ง และสามารถนำมาประกอบกันได้อย่างแนบเนียนมาก





๒) ปี่เซี่ยะ ไม่ใช่สัตว์มงคลชนิดเรียกทรัพย์ หรือนำพาโชคลาภเข้ามาสู่เจ้าของโดยตรง

แท้ที่จริง มันมีผลในด้านโชคลาภ และทรัพย์สินเงินทอง ในลักษณะของการเป็น “ผู้พิทักษ์” (Guardian) ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นรั่วไหลออกไปได้โดยง่ายต่างหาก

นั่นหมายถึง เราต้องมีฐานะ มีทรัพย์สินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนะครับ ปี่เซี่ยะจึงสามารถเฝ้าทรัพย์สมบัติของเรา ให้มั่นคงยั่งยืนได้

แล้วพอเราหาทรัพย์เหล่านั้นเข้ามาเพิ่ม ความมั่งมีศรีสุขของเรา ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เพราะไม่มีการรั่วไหลนั่นเอง

อีกอย่าง การที่ปี่เซี่ยะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ ก็เท่ากับทำให้สิ่งดีๆ สามารถหลั่งไหลเข้ามาสู่ภายในบ้านง่ายขึ้น

ก็คือ...โชคลาภสามารถหลั่งไหลเข้าบ้านได้ เพราะปี่เซี่ยะกำจัดสิ่งชั่วร้าย และอาถรรพณ์ต่างๆ ที่ขัดขวางโชคลาภได้ ไม่ใช่เป็นเพราะมันมีอานุภาพชักนำโชคลาภเข้าบ้านโดยตรง

กิจการจำพวกบ่อนการพนัน และธนาคาร จึงนิยมตั้งปี่เซี่ยะไว้กำกับประตูทางเข้า ไม่ใช่เพื่อดูดเงินลูกค้า ตามข้อมูลที่เผยแพร่กันอยู่ทั่วไปหรอกครับ แต่เพื่อควบคุมไม่ให้เงินไหลออกมากกว่า

ด้วยเหตุดังกล่าว การที่เราเอาปี่เซี่ยะมาบูชากันด้วยความคิดที่ว่า มันจะนำโชคลาภมาให้ หรือจะเอามาช่วยให้ทำมาค้าขึ้น จึงไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควรไงครับ





๓) ปัจจุบันมีปี่เซี่ยะแบบใหม่ ที่มีเกล็ดทั้งตัว และหัวกับหางเหมือนกิเลน แต่ก็ยังคงมีปีก ซึ่งเป็นสิ่งที่กิเลน (ตามแบบฉบับ) ไม่มี

ซึ่งคนที่รับมาขาย เขาก็เรียกว่า กิเลน แบบไม่อ้อมค้อมเลยครับ

เพราะปรากฏว่า ตอนนี้มี “กิเลนพันธุ์ใหม่  รูปลักษณโดยพื้นฐานก็คือกิเลนแบบทั่วไปแหละครับ คือ หัวเหมือนมังกร ผิวหนังเป็นเกล็ด หางเหมือนมังกร เท้าเป็นกีบแบบม้าหรือกวาง โดยเพิ่มปีกขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง

แต่ความแตกต่างระหว่างกิเลนพันธุ์ใหม่ กับปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ก็คือ ปุ่มแหลมๆ บนตัวปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่นั้นคิอ ปอยขน ครับ ไม่ใช่เกล็ด

เท้าของปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ก็ยังคงเป็น เท้าสิงห์ แบบของปี่เซี่ยะเดิมๆ ครับ ไม่ใช่เท้ากีบ

อีกทั้งปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่นั้น ลำตัวกลมๆ ป้อมๆ แลดูน่ารัก ไม่เหมือนกิเลนพันธุ์ใหม่ ที่รูปร่างยังคงสะโอดสะอง

การที่กิเลนพันธุ์ใหม่มีปีกเพิ่มขึ้นมา จะถือว่า มันกลายเป็นญาติอีกสายพันธุ์หนึ่งของปี่เซี่ยะ (เหมือนกริฟฟิน งีเงาคำ และสิงคะอัมพร) ได้หรือไม่?

ก็คงต้องตอบว่า ไม่ได้นะครับ

เพราะกิเลนต้นฉบับเป็นสัตว์วิเศษที่เหาะเหินเดินอากาศได้ โดยไม่ต้องใช้ปีกอยู่แล้ว

ที่มีปีกเพิ่มขึ้นมา เป็นเพราะตลาดวัตถุมงคลจีนเบื่อกิเลนแบบเดิมๆ แล้วปี่เซี่ยะก็ได้รับความนิยมมากกว่า เท่านั้นเอง





๔) การปลุกเสก หรือไคกวงปี่เซี่ยะ

เดิมไม่นิยมในมายาศาสตร์จีน ใช้กันแต่ศาสตร์ฮวงจุ้ย อาศัยพลังจากธาตุและวรรณะ คือวัสดุและสี โดยจะต้องมีการจัดวางในทิศทางที่เหมาะสม

ใครที่เลี้ยงปี่เซี่ยะ จึงจำเป็นต้องมีตำราฮวงจุ้ยอยู่ในมือ หรือหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ จึงจะเกิดผลครับ

แต่ปัจจุบัน ก็มีซินแสฮวงจุ้ยหลายสำนัก ที่มีวิชาไคกวงปี่เซี่ยะ เพื่อให้บังเกิดอานุภาพมากขึ้น

ผมเองก็ได้วิชาไคกวงปี่เซี่ยะ โดยอัญเชิญบารมี พระแม่หนี่วา (女媧 Nüwa) เป็นองค์ประสิทธิ์ ให้ปี่เซี่ยะเกิดพลังและอิทธิฤทธิ์  ซึ่งเป็นสายวิชาของ ศรีคุรุเทพมนตรา เพียงแห่งเดียว ไม่มีที่อื่น

ใครที่ติดตาม facebook ของผม ก็จะเห็นว่า ผมเสกปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ไปหลายตัว และปี่เซี่ยะแบบโบราณไปหลายคู่แล้วครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้จัดส่งมาให้ทำพิธีอยู่เสมอ

ศรีคุรุเทพมนตรา ยังรับเสกกริฟฟิน ตามศาสตร์ของยุโรปโบราณ และสิงคะอัมพร ตามศาสตร์ของชวาโบราณด้วยนะครับ





๔) การเลี้ยงปี่เซี่ยะ ที่ปลุกเสก หรือไคกวงไปจาก ศรีคุรุเทพมนตรา

การเลี้ยงปี่เซี่ยะ ที่เสกด้วยพระบารมีของพระแม่หนี่วานั้น ไม่ต้องให้น้ำให้ของกินอะไร แต่เจ้าพวกนี้ มันชอบเครื่องหอมครับ

เพราะในขั้นตอนสำคัญของพิธีเสก ผมใช้กำยาน แก้มนวล http://shreegurudevamantra.blogspot.com/2016/06/mystica.html

ดังนั้น ถ้าจุดกำยานแล้วเอาไปไว้ใกล้ๆ มันเพียงวันละครั้ง ก็พอถมเถ

แต่ก็ต้องเป็นกำยาน แก้มนวล เท่านั้นนะครับ ถ้าใช้ของยี่ห้ออื่น ปี่เซี่ยะอาจไม่คุ้นกับกลิ่น แล้วเลี้ยงๆ ไปก็จะ “เงียบ

ใครจะว่าผมขายของ ก็ตามใจ สัตว์วิเศษนี่ ไม่ว่าไทยหรือจึน ทุกวัดทุกสำนักแหละครับ ตอนที่ตั้งครั้งแรกใช้ธูป-กำยานยี่ห้อไหน ก็ควรจะใช้ยี่ห้อนั้นตลอดไป เพราะเจ้าพวกนี้มันให้ความสำคัญกับกลิ่นมาก

แต่ถ้าเอาไปตั้งนอกบ้าน หรือที่ทำงาน ในหลายๆ สถานที่เขาก็ไม่ให้จุดกำยานน่ะสิครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ดอกไม้สดแทน ฃึ่งสามารถไปเด็ดมาจากที่ปลูกไว้เอง หรือข้างทางก็ได้

ดอกไม้เล็กๆ นะครับ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ใส่ถ้วยประมาณถ้วยน้ำจิ้มเล็กๆ (ไม่ต้องใส่พาน หรูไป) ปี่เซี่ยะชอบมาก

ถ้าหาไม่ได้ ก็พวงมาลัยนี่แหละครับ ฃื้อมาตัดดอกรักออก เอาเฉพาะดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ดอกจำปี หรือแม้แต่ดอกกระดังงาก็ได้

ดอกไม้แต่ละวันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ขอแค่เป็นดอกไม้หอมเท่านั้น ปี่เซี่ยะชอบหมด

แต่ไม่ใช่เอาพวงมาลัยทั้งพวงไปคล้องคอมันนะครับ มันไม่ชอบ ถ้าขืนทำ อาจจะถึงขั้นเสื่อม

แล้วการให้ดอกไม้รายวัน ก็เสี่ยงกับการที่มดจะขึ้น ถ้ามดขึ้นก็เป็นอัปมงคล ก็ถือว่ายังมีข้อจำกัดในการดูแลอยู่

ดังนั้น วิธีที่สะดวกที่สุด ก็คือ น้ำกุหลาบ (Rose Water หรือ Rose Hydrosol) ครับ

สเปรย์ลงไปบนตัวมัน ๒-๓ ที แค่วันละครั้ง เจ้าปี่เซี่ยะที่คุณเลี้ยงก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใช้ได้ทุกสถานที่ มดก็ไม่ขึ้น




๕) หมั่นพูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์กับปี่เซี่ยะ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตจริงๆ

เมื่อให้เครื่องหอมทุกครั้ง ต้องลูบหัว หรือเอามือวางบนตัวมันทุกครั้ง เหมือนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวน่ะครับ มันชอบให้จับเนื้อต้องตัวบ่อยๆ

และที่ห้ามลืม คือคุยกับมันด้วย โดยใช้คำแทนตัวเราว่า พ่อ-แม่ แล้วเรียกมันว่า ลูก ควรพูดคุยกับมันเรื่องโชคลาภ และเรื่องอื่นๆ เช่นมีธุระต้องทิ้งร้านไปชั่วคราว หรือจะปิดร้านกลับบ้าน ก็บอกให้มันเฝ้าร้านให้ก็ได้

หรือจะไปไหนไกลๆ ก็บอกให้มันไปด้วย ไม่ว่าไปธระหรือไปเที่ยวปี่เซี่ยะที่คุณเลี้ยงก็จะเป็น bodyguard คุ้มกันคุณได้ตลอดไปครับ



-----------------------

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด