วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

พระแม่หนี่วา

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




พระแม่หนี่วา (Nű Wa) เป็นเทพมารดรที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของจีน 

ซึ่งผมได้เรียบเรียงเรื่องของพระแม่เจ้าองค์นี้ไว้โดยเฉพาะแล้วใน บูรพเทวีปกรณ์ : พระแม่หนี่วา พระแม่ฉางเอ๋อ พระแม่เหอเซียนกู ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ มีเนื้อหาที่ผ่านการจัดรูปเล่มแล้วมากกว่า ๖๐ หน้า

เพราะฉะนั้น อะไรที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนั้นแล้ว ผมก็จะไม่นำมากล่าวถึงในบทความนี้อีกนะครับ

แต่เรื่องที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ก็ยังมีอีกมาก พอจะนำมาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้ได้เหมือนกัน 

แม้ว่าตอนที่เรียบเรียงหนังสือดังกล่าว ผมจะพยายามให้ครอบคลุมทุกประเด็น ที่เกี่ยวกับพระแม่องค์นี้ที่สุดแล้วก็ตาม

เป็นความจริงที่ว่า คนไทยเราที่สนใจบูชากราบไหว้ทวยเทพต่างๆ ส่วนมากไม่รู้จักพระแม่หนี่วา

และที่จริงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนไทยที่รู้จักพระแม่หนี่วา ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน และไม่ใช่ลูกจีนที่ไหว้เจ้าจีน แต่เป็นลูกจีนที่อ่านการ์ตูนจีน ดูหนังจีนเป็นหลัก

นั่นก็เพราะพระแม่องค์นี้ ทรงเป็นตัวละครที่มีบทบาทหรือถูกกล่าวถึงในนิยายภาพจีน และภาพยนตร์จีนอยู่เสมอไงครับ

ส่วนคนจีนที่ไหว้เจ้าเป็นประจำ ก็มีอยู่ไม่มากนักที่จะรู้จักพระแม่หนี่วา หรือที่ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกกันว่า หนึ่งออ ไม่ว่าจะเป็นคนจีนในเมืองไทย ในฮ่องกง ไต้หวัน หรือแม้แต่แผ่นดินใหญ่

พูดตรงๆ ก็คือ ที่ผ่านมาคนส่วนมากมิได้สนใจที่จะกราบไหว้พระแม่องค์นี้ 

นั่นก็เพราะว่าพระนางเป็นเทพรุ่นโบราณมาก จนคติการบูชาพระนางเลือนหาย กลมกลืนไปกับเทพพื้นเมืองอื่นๆแทบจะหมดสิ้นแล้ว

แต่พระนางก็ยังมีคุณค่าในทางจิตวิญญาณ เรื่องเล่าเก่าแก่ที่ว่าพระนางปั้นมนุษย์ขึ้นจากดินริมฝั่งแม่น้ำเหลือง และการอุดรูรั่วบนท้องฟ้าด้วยก้อนหินห้าสีเมื่อวันมหาวิบัติโลก เป็นสิ่งที่ยังคงได้รับความนิยมนำมาเผยแพร่กันจนกระทั่งทุกวันนี้ครับ





ที่เมืองจีน ยังมีการปั้นประติมากรรมของพระนางไว้อย่างสวยงาม และใหญ่โตมากอยู่ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และอีกหลายเมืองด้วยกัน 

จิตรกรจีนที่มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับเทพนิยาย แทบทุกคนยังต้องเคยวาดรูปพระนางเอาไว้ด้วยกันทั้งนั้น

และในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง พระแม่องค์นี้ก็ค่อยๆ หวนกลับมาได้รับการบูชาอย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น 

โดยนอกจากในส่วนของชาวตะวันตก ที่นิยมบูชาแบบ Pagan แล้ว วงการผู้บูชาเทพจีนในเมืองไทยก็ให้การยอมรับเทพนารีเก่าแก่องค์นี้ 

ดังจะเห็นได้จาก การสร้างเทวรูปของพระนางไว้อย่างสวยงามที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี ดังรูปที่นำมาให้ชมกันนี้แหละครับ





การสร้างเทวรูปพระแม่หนี่วาที่ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ พูดกันตรงๆ ก็ต้องว่า เป็นเรื่องของการทรงเจ้า

เทวศาสตร์จีน กับการทรงเจ้าเป็นของคู่กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ครับ 

คนทรงก็มีทั้งจริงและปลอม และที่เป็นของจริงนั้น ก็ถ่ายทอดออกมาแตกต่างกันไป ไม่ค่อยลงรอยกันในแต่ละสำนัก

อย่างพระแม่หนี่วาที่ศาลเจ้าหน่าจาฯ แห่งนี้ก็ไม่เหมือนที่อื่น 

คือเป็นผลจากการ สื่อญาณบารมีของพระองค์ท่านผ่านเจ้าสำนัก คือ อ.สมชาย เฉยสิริ 

แล้วก็ปรากฏว่า ไปปะปนกับคติการบูชาพระแม่อีกองค์หนึ่ง คือ พระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ หรือที่คนแต้จิ๋วเรียกว่า กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง ที่ได้รับความนิยมบูชาในหมู่คนจีนโพ้นทะเล รวมทั้งในประเทศไทยมาก่อน

โดยส่วนที่มาปะปนนั้น เห็นได้จากการที่เทวรูปองค์นี้ประดับอัญมณีสีดำ และมีรูปนกนางแอ่นบนศิราภรณ์ รวมทั้งมีคัมภีร์วางอยู่ข้างพระวรกาย ซึ่งเป็นประติมานวิทยา (Iconography) ของพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ครับ

แต่เทวรูปองค์นี้ ก็แสดงสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของพระแม่หนี่วาด้วย คือทรงถือก้อนศิลาห้าสี 

และเป็นเทวรูปที่สร้างได้อย่างงดงามยิ่งนัก เพราะได้ช่างปั้นที่ฝีมือดีที่สุด ในหมู่ช่างปั้นเทวรูปจีนที่เมืองไทยเรามีอยู่ขณะนี้

จนผมเห็นว่า พระแม่หนี่วาองค์นี้ ดูจะงามกว่าเทพนารีทุกองค์ที่อยู่ในศาลเจ้าเดียวกันด้วยซ้ำไป 

ทั้งที่พระแม่องค์อื่น บางองค์ก็ฉลองพระองค์หรูหรากว่า บางองค์ก็มีการตกแต่งที่ดูน่าสนใจกว่า หรือบางองค์ ก็มีจำนวนเทวรูปมากกว่าและสร้างอย่างบรรจงทั้งนั้น เช่นพระแม่กวนอิม

บางคนอ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะถามว่า แล้วการที่เจ้าสำนักสื่อญาณบารมีของพระแม่องค์นี้ปะปนกับเทพองค์อื่น เทวรูปพระแม่หนี่วาองค์นี้จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?

แล้วศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า?

นอกจากเทวรูปที่สวยงาม กับประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่โบราณนับพันนับหมื่นปี ที่คนส่วนมากไม่รู้จัก นึกไม่ออก พระแม่องค์นี้ทรงมีคุณวิเศษอันใด ที่ควรค่าแก่การสักการบูชาบ้าง?

แล้วถ้าบูชาแล้วจะได้อะไร?  

ถ้าถามอย่างนี้ ผมก็คงจะต้องตอบเป็นลำดับไปว่า :

๑) แม้การสื่อญาณนั้นจะมีการปะปนกับเทพองค์อื่นอยู่บ้าง (หรือบางทีอาจเป็นเพียงผลที่เกิดจากการเข้าใจผิดของช่างผู้ออกแบบเทวรูป)

แต่เทวศาสตร์จีนมีวิธีเป็นของตนเอง ที่จะทำให้เทวรูปองค์หนึ่งๆ มีพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องผูกพันกับ
ความถูกต้อง อย่างชัดแจ้ง ในทางประติมานวิทยาตามคัมภีร์ต่างๆ เหมือนเทววิทยาในศาสนาอื่นครับ

๒) เพราะเทวศาสตร์จีนเน้นความสำคัญสูงสุดที่ระดับจิต ถ้าจิตเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งได้แล้ว แม้จะมีอุปาทานอันเกิดจาก ความรู้ ในระดับมนุษย์ หรือประสบการณ์ของผู้สื่อ หรือแม้แต่ความผิดพลาดของช่างปั้นแทรกเข้ามาปะปนบ้าง

เทวรูปที่เกิดจากการสื่อญาณบารมีนั้น ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ เป็นเทวะองค์นั้นๆ ได้เหมือนกัน

๓) หลายคนคงเคยได้ยินมากันบ้างแล้วว่า เทวรูปจีนนั้น ซินแสทั่วไปมักจะให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องนำไปเข้าพิธีเทวาภิเษกอะไรใหญ่โต อย่างมากก็เพียงนำไปเบิกเนตรที่ศาลเจ้าเท่านั้น

แต่ถ้าไม่มีการเบิกเนตรจริงๆ ก็หาเวลาประดิษฐาน ในช่วงวันเวลาที่เป็นมงคลตามปฏิทินจีน และกราบไหว้บูชาด้วยการตั้งใจมั่นระลึกถึงเทพองค์นั้น

เช่น สมมุติว่าเราได้เทวรูปที่เราเห็นว่าเป็นพระแม่กวนอิมมา แล้วก็ไหว้โดยตั้งใจมั่นว่าเราไหว้พระแม่กวนอิม ทำอย่างนี้ไป ๘ ครั้ง เทวรูปองค์นั้นก็เชื่อมโยงผู้บูชากับองค์พระแม่กวนอิมจริงๆ ได้

นี่คือ วิธีการ หนึ่งของเทวศาสตร์จีน ที่ไม่เหมือนเทวศาสตร์ของชนชาติอื่นครับ

ดังนั้น ต่อให้ อ.สมชาย สื่อญาณบารมีกับพระแม่หนี่วาผิดพลาดเพียงใด

ถ้าคิดดูว่า นับตั้งแต่วันที่ประดิษฐานเทวรูปจนถึงบัดนี้  มีผู้คนที่หลั่งใหลกันไปกราบไหว้ท่านในฐานะที่เป็นพระแม่หนี่วาเท่าไหร่แล้ว 


และในจำนวนคนเหล่านั้น มีกี่คนที่เข้าไปไหว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๘ ครั้งหรือเกินกว่า ๘ ครั้ง

แม้เทวรูปดังกล่าว จะมีอิทธิพลทางศิลปกรรมจากพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่เข้าไปปะปนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ เป็นได้แต่พระแม่หนี่วาเท่านั้น

และจากการที่ผมเอง ก็ได้แวะไปสักการบูชาพระแม่องค์นี้อยู่บ่อยๆ ผมสามารถยืนยันได้ว่า พระแม่องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์จริงครับ 

๔) ส่วนที่ถามว่า พระแม่องค์นี้ทรงมีคุณวิเศษอันใด หรือไหว้แล้วจะได้อะไร 

ก็ต้องตอบว่า พระนางทรงเป็นเทพนารีที่ทรงมีมหิทธานุภาพสูงสุด ในด้านการปกป้องคุ้มครองจากภัยพิบัติ 

ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงภัยพิบัติทั่วๆ ไปสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ในชีวิตประจำวันเท่านั้น 

แต่ยังรวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ร้ายแรงเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้อีกด้วย

ผมได้เล่าไว้ใน บูรพเทวีปกรณ์ แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ชาวตะวันตกหันมาให้ความสนใจบูชาพระนางกันมากขึ้น มิใช่เพียงเพราะคนเหล่านั้นแค่ต้องการสรณะที่แปลกไม่ซ้ำแบบใครเท่านั้น 

แต่เป็นเพราะชาวโลกที่มีสติปัญญา กำลังตระหนักร่วมกันว่า มหาภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอันไกลโพ้น กำลังจะหวนกลับมาเกิดขึ้นกับโลกของเรา

ผู้ศึกษาเทววิทยาทุกคนรู้ดีว่า หลายศาสนา และตำนานโบราณของหลายชนชาติพูดตรงกันเรื่องน้ำท่วมโลกเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว 

มันเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ที่กลืนอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองในยุคนั้นไปทั้งหมด พร้อมกับสิ่งมีชีวิตกว่าค่อนโลก 

แต่ก็ยังมีคนรอดมาได้ และเล่าขานกันต่อมา ถึงบรรดาเทพเจ้าที่เสด็จมาจากสวรรค์และช่วยเหลือผู้คนของพระองค์เท่าที่จะทำได้

ในเมโสโปเตเมีย จอมเทพองค์หนึ่งตรัสบอกให้ อุตนาปิชทิม ต่อเรือใหญ่เพื่อหนีน้ำท่วม 

ซึ่งชาวยิวนำมาดัดแปลง แล้วเล่าใหม่ว่า พระยาห์เวฮ์ (พระยะโฮวาในศาสนาคริสต์) บอกให้ โนอาห์ ต่อเรือใหญ่ พาครอบครัวและสัตว์อย่างละคู่ลงเรือนั้น เป็นพวกเดียวที่รอดชีวิตในคราวน้ำท่วมโลก

ในอินเดีย เทพองค์หนึ่งปรากฏพระองค์ในรูปปลาขนาดยักษ์ (ซึ่งต่อมาชาวฮินดูนับถือว่าเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุ) ลากเรือใหญ่ของ พระมนู ที่ขนสัตว์อย่างละคู่เช่นเดียวกับโนอาห์ และฤาษีทั้ง ๗ หนีมหาอุทกภัย ซึ่งท่วมทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง

ส่วนในเมืองจีน แผ่นดินแตกแยก เกิดมหาอัคคีภัยลุกลามไปทั่ว ท้องฟ้าเกิดเป็นโพรงลึกและถล่มลง พระแม่หนี่วาเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่มาจากสวรรค์ ทรงอุดโพรงในท้องฟ้าด้วยก้อนหินห้าสี โลกทั้งหมดรอดพ้นความพินาศบรรลัยอย่างฉิวเฉียด





แต่บางตำราบอกว่า พระนางทรงทุ่มเทกับภารกิจนี้ จนในที่สุดต้องทรงเสียสละพระชนม์ชีพ เพื่อแลกกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ ผู้เป็นลูกหลานของพระนาง 

เพราะเหตุนั้น พระนางจึงทรงมีคุณค่าในทางจิตวิญญาณสำหรับชาวจีนเสมอมาดังกล่าวแล้ว

ตอนนี้เรากำลังพูดกันถึงภาวะโลกร้อน เราเห็นกันชัดๆ แล้วว่า แหล่งน้ำแข็งในขั้วโลก และในทวีปต่างๆ เริ่มละลาย ฤดูกาลเริ่มแปรปรวนวิปริต มีภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ถี่ขึ้น หนักหนาสาหัสขึ้น

แม้แต่เมืองไทย ซึ่งอยู่รอดปลอดภัยมาตลอด ก็ยังเผชิญกับคลื่นยักษ์สึนามิ วันที่อากาศร้อน อุณหภูมิในบ้านเราวัดได้สูงกว่าแอฟริกาและตะวันออกกลาง 

แต่ในภูมิภาคอื่นของโลก กำลังเผชิญสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้อีก เมื่อฤดูกาลแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง มหาภัยพิบัติเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีที่แล้วก็เริ่มมีทีท่าว่าจะกลับมา

ดังนั้น วงการเทววิทยาในระดับโลก จึงหันไปใส่ใจกับเทพเจ้าที่เก่าแก่โบราณมากยิ่งขึ้น

เพราะกาลเวลาที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วไงครับ ว่าเทพเจ้ารุ่นโบราณเหล่านี้ ทรงมีมหิทธานุภาพคุ้มครองอารยธรรมมนุษย์ ให้อยู่รอดปลอดภัยสืบสายกันมาได้จนถึงยุคของเรา
 
และตอนนี้ เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสวดบูชาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

เพราะภาวะโลกร้อน ซึ่งกำลังจะนำเราไปสู่การสูญสิ้นอารยธรรมทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าพวกเราจะแก้ไขได้ครับ

สิ่งนี้เกิดจากน้ำมือของคนรุ่นเราเอง ที่เติบโตมากับระบบอุตสาหกรรมซึ่งกอบโกยและทำลายธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังอยู่ตลอดเวลา ด้วยความละโมบและเห็นแก่ได้

ถึงตอนนี้จะมารณรงค์ให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อถนอมโลก ก็มีผลแค่ช่วยชะลอเวลาแห่งความวิบัติออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ ยังไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง 

ตราบใดที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยังไม่หยุดสร้างความพินาศให้แก่โลกอย่างไร้ความรับผิดชอบ 

เราไม่มีทางหนีพ้นมหันตภัยอันน่าสะพรึงกลัวที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ได้หรอกครับ

เพราะตระหนักเช่นนี้ จึงนอกจากที่คนในวงการ Pagan ทางฝั่งตะวันตกจะร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยรณรงค์หยุดยั้งภาวะโลกร้อนอย่างเต็มความสามารถแล้ว สิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือ  promote เทพรุ่นโบราณที่เคยช่วยกู้โลกไว้ได้ในกาลก่อน ให้กลับมาได้รับการบูชากันอีกครั้ง

ด้วยความหวังว่า ถ้าดวงจิตของคนนับแสนนับล้าน หรือหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน หลอมรวมกันส่งไปถึงองค์เทพเหล่านี้ ท่านจะกลับมาช่วยเหลือเรา เช่นเดียวกับที่เคยช่วยบรรพบุรุษของเรา

ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยครับ ที่พระแม่หนี่วาจะกลายเป็นเทพที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกทีในขณะนี้ 

ถึงแม้พวกเราอยู่ในเมืองไทย อาจสัมผัสกระแสดังกล่าวได้ไม่ชัดเจน 

แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในวงการเทวศาสตร์ระดับนานาชาติ ที่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่เสมอ เราจะพบว่า ปริมาณคนที่บูชาพระแม่หนี่วากำลังเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ

ผมว่า กระแสดังกล่าวในที่สุด ก็คงส่งอิทธิพลกลับไปยังภูมิสถานขององค์พระแม่หนี่วา คือ จีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มากก็น้อยครับ

เพราะนอกจากจะมีการทยอยสร้างประติมากรรมพระแม่หนี่วาขึ้นตามเมืองต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว ก็มีกระแสการ promote ศาลที่เก่าแก่ที่สุดในจีนของพระแม่องค์นี้ คือ ศาลเจ้าวาฮว๋างกง บนไหล่เขาที่เมืองเหอเป่ย ให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวไปบูชา 

ศาลเจ้าแห่งนี้ ความจริงก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเหอเป่ยมานานแล้วครับ แต่ปัจจุบันนี้มีการเน้นในด้านการไปบูชาพระแม่หนี่วาที่นี่กันมากขึ้น





ตรงทางขึ้นไปยังศาลเจ้า ยังมีการสร้างเทวรูปพระแม่องค์ใหญ่ประดิษฐานไว้อย่างงดงามมาก เป็นพระแม่ที่อยู่ในวัยสาว มิใช่หญิงชราอ้วนลงพุงนั่งบัลลังก์ตามประเพณีนิยมด้วยครับ 

และถ้าขึ้นไปไหว้พระแม่ที่ศาลแล้ว ก็ยังจะได้มีโอกาสเช่าบูชาเทวรูปแบบเดียวกันนี้ด้วย

ขณะที่ในอดีต คนส่วนใหญ่จะได้บูชาเทวรูปพระแม่หนี่วาในแบบดั้งเดิมเท่านั้น

คติการบูชาพระแม่หนี่วาในเมืองไทยเรา ก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกัน

ดังจะเห็นได้ว่า ตอนนี้ผู้คนเริ่มรู้จัก และพากันไปไหว้พระแม่เจ้าองค์นี้ที่ศาลเจ้าหน่าจาฯ ชลบุรีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  


ซึ่งจะอ้างว่า เป็นเพราะหนังสือ บูรพเทวีปกรณ์ ของผมมีส่วนอยู่บ้าง ย่อมไม่ได้เป็นอันขาด เพราะหนังสือเล่มนี้ เป็นที่รู้จักกันน้อยมากครับ

ที่สำคัญก็คือ ใน อุทยานมังกรสวรรค์ ใกล้ศาลหลักเมือง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปะจีนที่สวยงามสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย ก็มีศาลาสำหรับประดิษฐานเทพเจ้าในศาสนาเต๋าของจีนหลายองค์ รวมทั้งพระแม่หนี่วาด้วยเช่นกัน





พระแม่หนี่วาของอุทยานมังกรสวรรค์ มีความงดงามแตกต่างไปจากของศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อครับ เพราะเป็นศิลปะคนละรูปแบบกัน 

แต่กลับเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือองค์พระแม่ยังคงเอวบางร่างน้อย เป็นพระแม่ในวัยสาว มิใช่หญิงชราอ้วนลงพุง 

แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากพระแม่องค์อื่น ที่สร้างมาจากแหล่งเดียวกัน และประดิษฐานในศาลาหลังเดียวกัน 

และทั้งพระพักตร์และทรวดทรงก็พูดได้ว่า ทำได้งามที่สุด เมื่อเทียบกับเทพนารีทุกองค์ในศาลานั้นด้วยครับ

พระแม่หนี่วาองค์นี้ น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการไปบูชา นอกจากที่ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ

ซึ่งที่ผ่านมา ชุลมุนวุ่นวายกับการเคลื่อนย้ายพระเทวรูปไปมา กว่าจะมาหยุดได้ในซุ้มพระด้านซ้ายสุดบนชั้นสาม ซึ่งเคยเป็นซุ้มที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม (และยังคงมีป้ายชื่อภาษาจีนของพระโพธิสัตว์กวนอิมติดอยู่)

แล้วก็ไปเพิ่มศิราภรณ์อันไร้รสนิยม เหมือนศิราภรณ์สำหรับเล่นงิ้ว เข้าไปให้รกรุงรังโดยใช่เหตุ

ที่ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ก็เพราะพระแม่องค์นี้ผ่านพิธีมาจากเมืองจีนแล้วครับ

เพียงแต่เมื่ผมไปครั้งล่าสุด ทางอุทยานฯ มิได้ตั้งเครื่องบูชาไว้เป็นกิจจะลักษณะ

จะว่าเป็นเพราะยังไม่มีนโยบายไปในทางนั้น หรือไม่อยากจะให้พวกคลั่งปิดทองเข้าไปทำลายความงามของเทวรูปก็แล้วแต่

เพราะบรรดาพระพุทธรูป และองค์เทพต่างๆ บนหอคอยที่อยู่ใกล้กัน เริ่มถูกพวกคลั่งปิดทองเข้าไปทำลายกันแล้ว

การเติบโตของคติการบูชาพระแม่หนี่วาในบ้านเรา ยังเห็นได้จากการสร้างศาลของพระนาง ขึ้นในกรุงเทพฯ ที่ วัดชนะสงคราม ย่านบางลำภู 

โดย อ.อรทัย นพเก้าเกศดุล คนทรงเจ้าจีนที่ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากในเมืองไทยเรียกกันง่ายๆ ว่า อาจารย์ดอกบัว ด้วยครับ





ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า หนึ่งออกวงอิมเนี้ย เป็นอาคารทรงจีน ประดับลายปูนปั้นทาสีสวยงาม ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดชนะสงครามฝั่งตรงข้ามย่านถนนข้าวสาร 

ภายในมีเทวรูปไม้หอมระบายสี ของเทพที่สำคัญในลัทธิเต๋าของจีนทุกองค์ โดยมีเทวรูปพระแม่หนี่วา ซึ่งแกะสลักตามแบบประเพณีจีนอนุรักษ์นิยมรวมอยู่ด้วย

กล่าวคือ เป็นเทวสตรีอาวุโสอ้วนลงพุง พระฉวีสีคล้ำกว่าเทพองค์อื่น ฉลองพระองค์สีฟ้า และถือสัญลักษณ์ทางประติมานวิทยาที่ใช้กับเทพองค์ไหนก็ได้ คือคฑายู่อี่และอ่วงป้อ (ก้อนเงินจีน) เท่านั้น

มิใช่สัญลักษณ์สำคัญของพระนาง คือก้อนศิลาห้าสี ตามแบบที่ศาลเจ้าหน่าซาไท้จื้อ และที่อุทยานมังกรสวรรค์





เทวรูปองค์นี้ มีขนาดสูงเกือบ ๑ เมตร ตอนที่ผมไปไหว้มาครั้งล่าสุด ประดิษฐานอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของเทวรูปอื่นๆ ในศาล 

แต่แม้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ก็ยังเป็นรองกว่าพระรัตนตรัยมหายานจีน คือ พระศรีศากยมุนี พระอมิตาภะ และ พระไภสัชยคุรุ ที่อยู่เบื้องบน และยังถูกบังจากพระแม่กวนอิมพันมือเนื้อเซรามิคที่อยู่เบื้องล่างด้วย

แต่พระแม่กวนอิมเนื้อเซรามิค ยังไม่สามารถบดบังพระแม่หนี่วาองค์ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ ได้มากไปกว่าพระแม่กวนอิม ๑๒ กรสีทองขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางโต๊ะวางเทวรูปอีกชุดหนึ่งหน้าแท่นบูชา 

จนเมื่อมองจากด้านหน้าของศาลเจ้าแล้ว จะเห็นเด่นชัดก็แต่พระแม่กวนอิม ๑๒ กรองค์นี้เท่านั้น ไม่สามารถเห็นองค์พระแม่หนี่วาได้เลย ถ้าไม่เดินอ้อมเข้าไปหลังโต๊ะนั้น

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระนามของทั้งพระแม่หนี่วา และพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ และก็มีเทวรูปของพระแม่หนี่วาประดิษฐานอยู่ด้วย แต่ก็ถูกพระแม่กวนอิมบังไว้หมดครับ

ความจริงแล้ว ทางศาลเจ้าได้สร้างเทวรูปที่เรียกกันว่า พระแม่เจ้าหนึ่งออกวงอิมเนี้ย ขึ้นโดยเฉพาะเช่นกัน เป็นเทวรูปโลหะปิดทององค์ใหญ่แลดูคล้ายเทวรูปพระแม่กวนอิม ๒๐ กรประทับยืนเหนือพญามังกร มีจารึกพระนามอยู่บนประภามณฑลเห็นเด่นชัด 

ปัจจุบันมี ๒ องค์ ตั้งขนาบพระแม่กวนอิม ๑๒ กรบนโต๊ะหน้าแท่นบูชานั่นเอง  

เมื่อพิจารณาจากเทวรูปองค์นี้ รวมทั้งการประดิษฐานพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ทั้งองค์ใหญ่องค์เล็กในศาล จนบดบังความสำคัญของพระแม่หนี่วา ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของแท่นบูชาด้านในดังกล่าวแล้ว ก็คงพอจะสรุปได้ว่า 

อาจารย์ดอกบัว ผู้สร้างศาลแห่งนี้ คงกำลังนำคติใหม่เข้ามาเผยแพร่ คือ คติการบูชาพระแม่หนี่วากับพระแม่กวนอิมรวมกันเป็นเทพองค์เดียวกัน หรืออาจจะเป็นคติที่นับถือพระแม่หนี่วา ในฐานะที่เป็นภาคหนึ่งของพระแม่กวนอิมก็เป็นได้

เพราะในเมื่อเป็นการสื่อญาณทิพย์โดยคนทรง ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีมาตรฐานทางเทววิทยาใดๆ รองรับอยู่แล้วละครับ

และในทรรศนะของผมเอง ถ้าจะอธิบายเรื่องการนำคติการบูชาพระแม่หนี่วา มารวมกับพระแม่กวนอิมนั้น ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ไม่ยาก 

คนจีนโพ้นทะเลส่วนใหญ่ แม้มิได้นับถือกราบไหว้พระแม่หนี่วา แต่ก็จดจำเรื่องราวของพระนางมาตลอดว่าเป็นเทพมารดรผู้สร้างมนุษย์  เป็นผู้กู้โลกเมื่อถึงคราววิบัติ แม้ว่ายุคของพระนางจะห่างหายไปนานแสนนานแต่พระนางก็ยังคงอยู่

จนถึงปัจจุบันนี้ ที่คนจีนมองไม่เห็นว่าจะมีเทพนารีองค์ใด ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระแม่กวนอิม ถ้าจะนำพระแม่หนี่วาผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในอดีต มารวมกับพระแม่กวนอิมผู้ทรงอำนาจบารมีสูงสุดในปัจจุบัน โดยต่างก็ทรงเป็นเทพนารีผู้ทรงความเมตตาสูงสุดเหมือนกัน พร้อมจะช่วยเหลือมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเหมือนกัน เอามาบูชาร่วมกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นข้อกีดขวาง

สังคมคนบูชาเทพของจีน คุ้นเคยกับเรื่องอย่างนี้ดีอยู่แล้วครับ 

ที่ผ่านมา คติการบูชาพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ของจีน ได้แผ่ขยายไปครอบงำลัทธิการบูชาพระแม่องค์อื่นๆ เช่น พระแม่เทียนโหว หรือเจ้าแม่ทับทิม ก็ถูกอธิบายใหม่ว่าเป็นภาคหนึ่งของพระแม่กวนอิม 

แม้แต่ประเพณีการไหว้พระจันทร์อันเก่าแก่ ที่เดิมเป็นการไหว้ จันทรเทวีฉางเอ๋อ ก็ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นการไหว้พระแม่กวนอิม มีการสร้างเทวรูปพระแม่กวนอิมประทับบนจันทร์เสี้ยว ทดแทนเทวรูปของจันทรเทวีฉางเอ๋อ เป็นต้น

ดังนั้น พระแม่หนี่วาซึ่งกำลังมีกระแสความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในแผ่นดินจีน ก็คงกลายเป็นเทพนารีองค์ล่าสุด ที่ถูกผนวกรวมเข้ากับการบูชาพระแม่กวนอิม โดยมีตัวอย่างอยู่ ณ ศาลเจ้าหนึ่งออกวงอิมเนี้ยแห่งนี้ละครับ

แต่ไม่ว่าศาลดังกล่าวนี้ จะตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร ก็ได้เป็นที่ประดิษฐานพระแม่หนี่วาด้วยแห่งหนึ่ง ซึ่งคนกรุงเทพฯ ไปไหว้ได้สะดวกทุกเมื่อ

บางที สิ่งนี้อาจเป็นความประสงค์ขององค์พระแม่หนี่วา ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในรูปใด ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระนาง พระนางก็ทรงประทานโอกาสที่คนจำนวนหนึ่ง...เพียงไม่กี่คนเท่านั้นนะครับ ที่จะได้เข้าถึงพระนาง 

เพื่อที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง โดยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด จากวิกฤติการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ในยุคสมัยของเราขณะนี้

ฟ้าดินเปิดโอกาสให้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะเลือก 

วาสนาของคนเราแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรรมเก่า แต่ที่มากกว่าเป็นเพราะกรรมในปัจจุบัน

กรรมในปัจจุบัน คือสิ่งที่เราตกลงใจที่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ที่จะพิพากษาว่า เราจะได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในท้ายที่สุดครับ


.....................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด



8 ความคิดเห็น:

  1. แบบนี้ต้องรีบไปสักการะท่านที่วัดชนะสงครามเสียแล้วล่ะ ^__^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แล้วอย่าลืมไปไหว้ที่ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ กับที่อุทยานมังกรสวรรค์ด้วยนะคะ ^ ^

      ลบ
  2. เพิ่งรู้ว่ามีที่อุทยานมังกรสวรรค์ด้วยคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยากให้ได้ไปเห็นองค์จริงค่ะ งามมากๆ

      ลบ
  3. อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นพระแม่ที่น่าบูชามากๆๆๆๆๆ ค่ะ ต้องรายงานอาม่าโดยด่วน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถ้ารายงานอาม่า ต้องใช้คำว่า หนึ่งออเนี่ยเนี้ย นะคะ ไม่ใช่พระแม่หนี่วา ^ ^

      ลบ
  4. เมื่อได้ไปไหว้สักการะบูชารู้สึก หลงใหล ในความงดงามมากๆค่ะ จนต้องมาค้นดูว่าท่านคือเทพองค์ใด รู้สึกงามจนติดตราตรึงใจ มากๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขออภัยมากๆๆๆ ที่ตอบช้าค่ะ เป็นความผิดพลาดของระบบ ที่เพิ่ง run คอมเมนต์ให้แอดมินเห็น หลังจากโพสต์ไปเป็นปี ...เฮ้อ

      ได้ไปไหว้ที่อุทยานมังกรสวรรค์ จ.สุพรรณบุรี หรือยังคะ? แอดมินว่าท่านงามมากๆ เลย ^ ^

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น