บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
คุรุเทพฮินดู คือ พระพรหม พระสรัสวดี และพระศิวะ
ที่จริงล้วนแต่เป็นที่รู้จักกันดีทั้ง ๓ องค์
แต่ข้อมูลทางเทววิทยาของแต่ละองค์จริงๆ ไม่ค่อยมีการเผยแพร่กันเท่าใดนัก
เอาเป็นว่าเรามาดูเรื่องของแต่ละองค์ในแบบที่ไม่ผูกพันกับเทพนิยายนะครับ
พระพรหม (Brahma)
เป็นคุรุเทพที่เก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในอินเดีย ปรากฏในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ
ซึ่งมีอายุประมาณ ๒,๖๐๐-๒,๘๐๐ ปีมาแล้ว
ในลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่มีเพศ แต่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งต่างๆ
คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งนั่นเอง
ลัทธิการนับถือพระพรหมเช่นนี้ ยังคงสืบทอดต่อมาในคัมภีร์อุปนิษัท
ซึ่งเจริญอยู่ในช่วงต้นพุทธกาล ตามคัมภีร์ดังกล่าวระบุว่า พระพรหมทรงเป็นสารัตถะ (Essence)
ของสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากพระองค์
พระองค์จึงทรงเป็น ปรมาตมัน หรือ จิตจักรวาล
และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนมี อาตมัน ที่แยกออกมาจากพระองค์
เป็นจิตแท้ภายในกายของสิ่งมีชีวิต
ซึ่งพระพุทธเจ้าของเราก็คงจะได้ศึกษาคัมภีร์ดังกล่าวนี้เช่นกัน
จึงได้ทรงคัดค้านหลักการนี้ในภายหลัง
แต่ก่อนที่จะเกิดคัมภีร์อุปนิษัทขึ้นนั้น
เมื่อศาสนาพราหมณ์ที่นับถือคัมภีร์พระเวทเริ่มเสื่อมลง พระพรหมก็กลายเป็นมหาเทพ
คือเป็นเทวะที่มีตัวตน เป็นเพศชาย และมีถึง ๕ พระพักตร์
ในช่วงนี้แหละที่มีการนับถือว่าพระองค์เป็นเทพผู้สร้างโลก
โดยทรงมีความสัมพันธ์กับ พระนางศตรูปา (Shatarupa) ซึ่งเป็นธิดาของพระองค์เอง ทำให้เกิดพระมนูซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์
และต่อมาฝ่ายไศวะนิกายก็แต่งเทพนิยายข่มว่าพระศิวะทรงตัดพระพักตร์หนึ่งของพระพรหมออกไป
เพราะทรงเอาแต่เฝ้าดูพระชายาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทรงเหลือเพียง ๔ พระพักตร์
แต่ในอีกตำราหนึ่งก็บอกว่าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายส่วนต่างๆ
ทำให้ได้เป็น ๔ วรรณะที่แตกต่างกัน และพระองค์ก็เป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ด้วยครับ
ในช่วงต้นสมัยพุทธกาลจนกระทั่งพ.ศ.๒๕๐
คติการนับถือบูชาพระพรหมมีอยู่ทั่วไป
แต่หลังพ.ศ.๒๕๐
ศาสนาพราหมณ์ได้กลายรูปเป็นศาสนาฮินดู เกิดสองนิกายใหญ่คือ นิกายไวษณพ
ที่นับถือพระนารายณ์ หรือพระวิษณุเป็นเทพสูงสุด กับ นิกายไศวะ
ที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด
พระพรหมก็เลยได้รับการนับถืออยู่ในท่ามกลางสองนิกายนี้
จนในที่สุดสองนิกายนี้เจริญขึ้น
ฐานะความเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งของพระองค์ รวมทั้งการเป็นองค์ปรมาตมัน
ก็ถูกนำไปยกให้เป็นของพระนารายณ์ กับพระศิวะ จนพระพรหมลดความสำคัญลง
ในที่สุดแม้แต่ชายาของพระองค์ คือ พระสรัสวดี ก็ได้รับการนับถือแพร่หลายยิ่งกว่า
พระพรหมจึงด้อยความสำคัญลงจนปัจจุบันนี้
กลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่สำคัญนักในอินเดีย มีเทวาลัยขนาดใหญ่อยู่เพียงแห่งเดียวที่ริมทะเลสาบบุษกร
อยู่ในรัฐราชสถาน
คติที่นับถือพระพรหมเป็นคุรุเทพนั้น
คือลัทธิที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาพราหมณ์ คือ
นับถือว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานคัมภีร์พระเวทแก่พราหมณ์
และพราหมณ์ก็ใช้เทวศาสตร์ของพระพรหมในการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะด้วย
และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คติการบูชาพระองค์เสื่อมลงไปพร้อมกับศาสนาพราหมณ์
เพราะเมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดูแล้ว ก็ไม่มีการให้ความสำคัญกับคัมภีร์พระเวทอีกต่อไป
คงมีเพียงการอ้างถึงเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่ลัทธิที่บูชาพระองค์
ที่เมืองบุษกรทุกวันนี้ ก็ยังคงบูชาในฐานะคุรุเทพ ผู้ประทานความรู้ในทุกศาสตร์
ทุกสาขาแก่มนุษย์ ดังที่เทวรูปของพระองค์ยังคงถือคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงพระเวท
สร้อยประคำ ซึ่งหมายถึงการบำเพ็ญภาวนา หม้อน้ำ ซึ่งหมายถึงความรู้ของพราหมณ์ และ
ช้อนตักเนยหยอดหม้อไฟ ซึ่งหมายถึงความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อยู่
ส่วนพระพรหมที่เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับพุทธประวัตินั้น
เป็นคนละองค์กับพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ คือเป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไปเท่านั้น
และศาสนาพุทธก็ยืมคำว่า "พรหม"
จากศาสนาพราหมณ์ไปใช้บัญญัติเรียกเทวดาในชั้นดังกล่าว
พรหมในศาสนาพุทธจึงมีจำนวนมากมาย ขณะที่พระพรหมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีเพียงองค์เดียว
คติความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหม
เข้ามาสู่เมืองไทยพร้อมกับศาสนาฮินดู ตั้งแต่สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖)
มีหลักฐานอยู่ที่ ถ้ำพระงาม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
และเข้ามาอีกระลอกหนึ่งจากอาณาจักรขอม ในฐานะของมหาเทพองค์หนึ่งในชุดตรีมูรติ
ทั้งสองคตินี้ปัจจุบันไม่มีผู้นับถือแล้วครับ
ส่วนพระพรหมที่ปรากฏในคัมภีร์ไสยศาสตร์ไทย
หรือแม้แต่คัมภีร์โหราศาสตร์ เช่น พรหมชาติ
รวมทั้งที่ปรากฏอยู่ตามภาพพุทธประวัติต่างๆ นั้น เป็นพระพรหมในศาสนาพุทธทั้งสิ้น
คนละองค์กับคุรุเทพที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้
ท้าวมหาพรหมเอราวัณ
และศาลพระพรหมทั่วเมืองไทยนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับพระพรหมอินเดีย
เป็นพระพรหมของไทยและเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเช่นกัน ศาลพระพรหมอินเดียแท้ๆ
มีอยู่ในเมืองไทยเพียงแห่งเดียว คือที่วัดแขกสีลม
พระสรัสวดี (Saraswati)
ทรงเป็นมหาเทวีอีกองค์หนึ่งที่ได้รับการบูชาอย่างกว้างขวางในศาสนาฮินดูทุกวันนี้
โดยไม่จำกัดลัทธินิกาย
พระนางทรงได้รับการนับถือในฐานะคุรุเทพสูงสุด
เหนือกว่าคุรุเทพอีกหลายองค์ในศาสนาฮินดูทุกวันนี้ จนพูดได้ว่า
ถ้าจะกล่าวถึงเทพแห่งสติปัญญาและความรู้ คนอินเดียจะนึกถึงพระแม่สรัสวดีก่อนเทพทุกองค์
แม้ว่าในศาสนาฮินดูจะมีคุรุเทพที่บูชากันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม
พระแม่สรัสวดีทรงเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณ
และศิลปวิทยาการ พระนางทรงอุปถัมภ์การศึกษาในศาสตร์ต่างๆ
ทุกแขนงที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ ดังนั้นพระนางจึงเป็นเทวีของครูบาอาจารย์
นักเรียนนักศึกษา และการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัยทุกชนิด
นอกจากนี้ยังเป็นเทวีแห่งนาฏดุริยางค์
การละครและศิลปะการแสดง ทรงเป็นแม้กระทั่งเทวีแห่งการเจรจา ขนบธรรมเนียม
วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งยังทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท
ซึ่งในส่วนนี้ก็ทรงได้รับการบูชามากกว่าพระพรหมเสียด้วย
เทวลักษณะของพระนางจึงเป็นสาวงามที่ฉลองพระองค์สีขาว
แสดงถึงความเป็นนักบวช มักจะทรงถือเครื่องดนตรี เช่น วีณา (Vina)
ซึ่งเป็นจะเข้ชนิดหนึ่งของอินเดีย
(แต่ในภาพวาดมักถือตั้งขึ้นมาแบบถือกีตาร์
เพราะคนวาดส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวีณาจริงๆ ต้องวางส่วนที่เป็นกล่องเสียงหลักลงกับพื้น
เอากล่องเสียงใต้คันทวนวางไว้บนหัวเข่าแล้วดีด)
และพระหัตถ์ที่เหลือก็มักถือคัมภีร์
และสร้อยประคำ ที่มีความหมายเช่นเดียวกับพระพรหม
อันที่จริง
พระแม่องค์นี้ทรงได้รับการบูชามาแต่เดิมในฐานะเทวีแห่งแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันหายไปแล้วในทะเลทรายพรหมวรรต
พระนางเป็นเทพพื้นเมืองซึ่งชาวอารยันนำมารวมไว้ในคัมภีร์พระเวท
และทรงมีบทบาทสำคัญในการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ มาตั้งแต่ก่อนที่จะนับถือแม่น้ำคงคากันด้วยครับ
ต่อมาพระนางก็ถูกนำเข้ามารวมกับลัทธิบูชาพระพรหม
โดยกล่าวกันว่าเป็นเทพนารีองค์เดียวกับพระนางศตรูปา
ที่พระพรหมทรงสร้างขึ้นก่อนสร้างโลกนั่นเอง
ดังนั้นในพรหมนิกาย พระนางก็เป็นทั้งชายา (ศักติ)
และธิดาของพระพรหม และร่วมกับพระพรหมในการสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งปวง
ทีนี้เมื่อศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง
คติการนับถือพระแม่สรัสวดีก็ยังสืบทอดต่อมาในลัทธิที่บูชาพระพรหม และในช่วงต้นๆ
พุทธกาล ลัทธิที่บูชาพระนางก็เริ่มแยกเป็นเอกเทศจากลัทธิของพระพรหม
เมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู
พระนางก็กลายเป็นคุรุเทพที่ได้รับการบูชามากในระดับหนึ่ง
มีการแต่งนิยายให้พระนางเป็นชายาพระนารายณ์
แล้วทะเลาะกับพระแม่ลักษมีจนพระนารายณ์ต้องยกให้พระพรหม
(เป็นเรื่องที่คนไทยชอบเอามาเล่าสนุกสนานกันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแต่งที่คนอินเดียปัจจุบันก็ไม่เชื่อกันอย่างนั้นแล้ว)
แล้วก็เป็นตัวประกอบในเทพนิยายของทางไศวะนิกาย
แต่โดยสรุปก็คือ พระนางไม่ถูกจัดเข้านิกายใดเป็นพิเศษ
ต่อมา
ในขณะที่ลัทธิที่บูชาพระนางเป็นเทพสูงสุดยังคงสืบทอดกันอยู่ในภาคเหนือของอินเดีย
การบูชาพระนางในศาสนาฮินดูก็แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน พระนางก็กลายเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน
และจะยิ่งทรงมีบทบาทมาขึ้นในศาสนาพุทธวัชรยาน กล่าวคือเป็นพระโพธิสัตว์เพศหญิงที่สำคัญในลำดับต้นๆ
รองจาก พระโพธิสัตว์ตารา (Tara)
เลยทีเดียว
และในทางมหายาน-วัชรยานนั้น นับถือกันว่าพระนางเป็นศักติของ
พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสติปัญญา
คติการบูชาพระนางในทางมหายานนี่ละครับ
ที่แพร่ไปถึงญี่ปุ่น จนพระนางกลายเป็นหนึ่งในเทพแห่งโชคลาภ ๗ องค์ของศาสนาชินโต
มีพระนามในภาษาญี่ปุ่นว่า เบนเทน (Benten) เป็นเทวีผู้อุปถัมภ์พวกเกอิชา
ซึ่งเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยวิชานาฏศิลป์การดนตรี การร้องรำทำเพลงเป็นหลัก
นอกจากนั้น การนับถือพระนางก็ปรากฏอยู่ในชวา
ซึ่งก็เป็นการนับถือตามหลักมหายานเช่นกัน
ในขณะที่อาณาจักรขอมซึ่งเจริญต่อมา ก็นับถือพระสรัสวดีทั้งในยุคสมัยที่นับถือฮินดู
และสมัยที่นับถือมหายาน
ส่วนในเมืองไทย
มีหลักฐานสมัยอยุธยาซึ่งนับถือพระนางเป็นคุรุเทพในด้านอักษรศาสตร์ โดยในหนังสือ จินดามณี
ซึ่งเป็นตำราอักษรศาสตร์ของไทยนั้น ตั้งตามพระนามในภาษาทมิฬของพระนางคือ จินดา
(Chinta)
แสดงให้เห็นว่า คติการนับถือพระนางในแง่นี้
ไทยเราน่าจะได้รับมาจากอินเดียใต้
นอกจากนี้
พระสรัสวดีในสมัยอยุธยายังคงเป็นคุรุเทพในด้านดนตรี นาฏศิลป และการละคร
โดยยังคงเหลือร่องรอยอยู่ในบทไหว้ครูละครชาตรี ซึ่งสืบทอดมาจากละครสมัยอยุธยา
ส่วนในอารยธรรมมอญและพม่า
พระสรัสวดีเป็นหนึ่งในคณะเทพนารีผู้รักษาพระไตรปิฎกทั้ง ๔ องค์
และเป็นภาพรวมของเทวีทั้ง ๔ องค์นั้น เรียกว่า Thuyathadi ถือกันว่าเป็นเทวีผู้อุปถัมภ์การศึกษาพระไตรปิฎกในพม่า
และปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับการบูชาอย่างแพร่หลายในพม่า
เทวรูปพระนางในศิลปะพม่าจะเป็นรูปเทพนารีประทับบนหงส์
ถือคัมภีร์ พระนางยังเป็นคุรุเทพในศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ของทางไทยใหญ่อีกด้วย
ส่วนในอินเดียทุกวันนี้
พระแม่สรัสวดีเป็นหนึ่งในเทวีที่ได้รับความนิยมสูงสุด ต่อจากพระแม่ลักษมี
และพระแม่อุมา ภาพของท่านที่อยู่ร่วมกับพระคเณศ และพระลักษมีนั้นมีให้เห็นทั่วไป
ซึ่งคนอินเดียบูชากันเพื่อความสำเร็จ โชคลาภ และสติปัญญา เทวรูปของพระนางก็หาได้ไม่ยากครับ
ในขณะที่ในเนปาลและทิเบตนั้น
ก็นิยมบูชาพระนางกันมาก จนฝรั่งที่สนใจศิลปะเนปาลนิยมสะสมเทวรูปของท่านกันทั่วไป
แต่ในเมืองไทย
คติการบูชาพระแม่สรัสวดีเริ่มลดลงภายหลังเสียกรุงครั้งที่ ๒ แต่ยังมีการบูชาพระนางเป็นการภายในอยู่ในราชสำนัก
ดังที่มีเทวรูปท่านประดิษฐานอยู่ที่หอพระสยามเทวาธิราชจนทุกวันนี้
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระวันรัตน
(แดง) เกิดนิมิตจากการภาวนาคาถาสุนทรีวาณี เป็นเทพธิดาผู้รักษาพระไตรปิฎก
หรือพระแม่องค์ธรรม นิยมเรียกกันทั่วไปว่า พระสุนทรีวาณี
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้นอธิบายว่าเป็นเทวีองค์เดียวกับพระสรัสวดี
ก็นับว่า อีกภาคหนึ่งของท่านได้มาเป็นเทพผู้รักษาพระไตรปิฎกในคติเถรวาทของไทยเราด้วยนะครับ
เช่นเดียวกับของมอญ พม่า ทั้งที่นิมิตของสมเด็จพระวันรัตนหรือแม้แต่ตัวคาถาสุนทรีวาณีนั้น
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมอญหรือพม่าแต่อย่างใด
แต่หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกย่อง
พระคเณศ หรือ พระพิฆเนศวร์ ขึ้นเป็นเทพแห่งศิลปะแทน
ทำให้คติการบูชาพระสรัสวดีในฐานะคุรุเทพฝ่ายอักษรศาสตร์และศิลปะดนตรีนาฏศิลปต่างๆ
เหลือร่องรอยอยู่เพียงเป็นเทพที่ชาวอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นับถือกันอยู่บ้าง เป็นเทพประจำโรงเรียนสตรีในต่างจังหวัดบางโรงเรียน
และก็เป็นรางวัลพระสรัสวดีหรือตุ๊กตาทอง ที่มอบให้คนในวงการบันเทิงเท่านั้นครับ
พระศิวะ (Shiva) ทรงเป็นมหาเทพสูงสุดใน ไศวะนิกาย (Shaivism)
อันเป็นหนึ่งใน ๓ นิกายใหญ่ของศาสนาฮินดู ทรงมีประวัติความเป็นมาที่สับสน เชื่อกันว่าแต่เดิมพระองค์คงเป็นมหาโยคีองค์หนึ่งที่บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาหิมาลัย
แต่ต่อมาในยุคปลายของศาสนาพราหมณ์ก็เข้ามาปะปนกับ พระรุทระ (Rudra) ในคัมภีร์พระเวทที่เริ่มมีการนับถือมากกันมากขึ้น
ครั้นเมื่อมาเป็นใหญ่ในศาสนาฮินดู
ลัทธิที่นับถือพระองค์ก็รวมลัทธิอื่นๆ เข้ามาเพิ่มบารมีของพระองค์มากขึ้น
จนทำให้พระองค์ได้รับการนับถือแพร่หลายไปทั่วอินเดียครับ
ลัทธิต่างๆ ที่ถูกรวมเข้ามาในไศวะนิกาย
ที่สำคัญได้แก่
-ลัทธินับถืออวัยวะเพศชาย
ในฐานะของสัญลักษณ์และพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์
อันเป็นลัทธิของชนพื้นเมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ในอินเดีย
และเป็นลัทธิใหญ่ลัทธิหนึ่งในช่วงหลังพุทธกาล
ได้ถูกนำมาปรุงแต่งใหม่ให้เป็นภาคปรากฏของพระศิวะ
จนในที่สุดเป็นที่บูชากันในเทวสถานต่างๆ
โดยถือว่ามีความสำคัญกว่าเทวรูปของพระศิวะที่เป็นรูปมนุษย์เสียอีก เรียกว่า
ศิวลิงค์ (Shivalingam)
-ลัทธินับถือเทวีแห่งภูเขา หรือ พระปารวตี (Parvati) ซึ่งต่อมากลายเป็น พระแม่อุมา และ ลัทธินับถือพระแม่กาลี
ทั้งสองลัทธินี้เป็นลัทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ได้ถูกนำมาปรุงแต่งให้เป็นชายาของพระศิวะ
และด้วยวิธีเดียวกันนี้
ก็มีการแผ่ลงไปครอบงำบรรดาเทวีพื้นเมืองต่างๆ ในอินเดียใต้ เช่น พระแม่มารีอัมมัน
(Mariamman) พระมีนากษี (Meenakshi)
ให้กลายเป็นภาคหนึ่งของพระอุมาเทวี และกลายเป็นชายาของพระศิวะไปทั้งหมด
เช่นเดียวกับพระแม่กาลี
-ลัทธินับถือเทพที่มีเศียรเป็นช้าง คือ
พระคเณศ ซึ่งอาจจะมีกำเนิดดั้งเดิมมาจากผู้วิเศษที่สวมหน้ากากรูปช้าง
หรือเป็นเทพประจำชนเผ่าที่นับถือช้างเป็นเทพประจำเผ่า (Totem) ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นโอรสของพระศิวะกับพระอุมา
-ลัทธินับถือพระสุริยเทพของอินเดียใต้ คือ
พระสกันท์ (Skanda) หรือ พระกรรติเกยะ (Kartikeya) ซึ่งเป็นเทพที่ได้รับความนิยมนับถือสูงสุดในหมู่ชาวทมิฬมาก่อน
ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นโอรสของพระศิวะกับพระอุมาเช่นกันครับ
-ลัทธินับถือเทพอสูร ไภรวะ (Bhairava) ที่เป็นของชนเผ่าพื้นเมืองในเบงกอล นำมาปรุงแต่งให้เป็นภาคหนึ่งของพระศิวะ
-ลัทธินับถือวัวศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็น Totem ของชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าใหญ่ในอินเดียหลังพุทธกาล
ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นบริวารของพระศิวะ โดยมีนามว่า นนทิ (Nandi)
-ลัทธินับถือพระแม่คงคา (Ganga) ในฐานะแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นลัทธิยุคหลังพระเวท
และแพร่หลายอยู่ในกลุ่มฤาษีตลอดจนนักบวชที่บำเพ็ญเพียรอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้
ตลอดจนชุมชนเกษตรกรรมที่อาศัยแม่น้ำดังกล่าวนี้ยังชีพ
นับเป็นลัทธิที่มีความสำคัญอย่างเงียบๆ
ทางไศวะนิกายก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นชายาของพระศิวะ
และอ้างว่าแม่น้ำคงคาไหลจากสวรรค์ผ่านมวยพระเกศาของพระศิวะมายังโลกมนุษย์
-ลัทธินับถือเจ้าแม่แห่งงู หรือ พระมนัสเทวี (Manasa
Devi) เป็นเจ้าแม่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่บูชางู
และเป็นสาขาของลัทธิบูชางูที่แพร่หลายมากในชุมชนที่ทำการเกษตรอยู่ใกล้แม่น้ำในอินเดีย
ทางไศวนิกายก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นพระธิดาของพระศิวะ ที่เกิดกับพระชายาอื่นที่มิใช่พระอุมา
การรวมลัทธิต่างๆ เท่าที่ยกตัวอย่างมานี้
ทำให้พระศิวะกลายเป็นพระเจ้าสูงสุด และเป็น ปรมาตมัน แทนที่พระพรหมไปในที่สุดครับ
แต่ในอีกฐานะหนึ่ง พระองค์ก็ยังทรงเป็นคุรุเทพของเหล่าฤาษี
โยคี ซึ่งทรงประทานความรู้ในการบำเพ็ญเพียร การฝึกสมาธิ อิทธิฤทธิ์
และศาสตร์ลี้ลับต่างๆ
อีกทั้งในฐานะที่เป็น นาฏราช
ก็ถือกันว่าทรงเป็นปฐมคุรุผู้ประทานศาสตร์แห่งการฟ้อนรำด้วย
ดังมีภาพสลักท่ารำของพระองค์ทั้ง ๑๐๘ ท่า อยู่ที่มหาเทวาลัยจิทัมพรัม (Chidambaram) ในรัฐทมิฬนาฑู อินเดียใต้
คุรุเทพ ในบทความนี้หมายถึงเทวบรมครู หรือ
องค์เทพผู้ทรงเป็นครูถ่ายทอดศิลปวิทยาการต่างๆ ให้แก่มนุษย์ ดังกล่าวแล้ว
แต่ความหมายของคำนี้ตามที่นิยมใช้กันในสังคมอินเดียปัจจุบัน
มักจะหมายถึงคุรุที่เป็นมนุษย์ ซึ่งได้รับการยกย่องประดุจเทพเจ้าครับ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากเทววิทยาอินเดียยุคนี้ได้เสื่อมลง
จนมีการให้ความสำคัญกับบุคคลแทนที่เทพเจ้ามากขึ้นทุกที
ทำให้ความหมายเดิมของศัพท์คำนี้แปรเปลี่ยนไป
.....................................
.....................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
ได้ความรู้มากขึ้นจริงๆ ค่ะ เพิ่งรู้ว่าเนื้อหาที่มาที่ไปขององค์เทพจริงๆ ที่ไม่ใช่เทพนิยายนั้นเป็นยังไง ^_^
ตอบลบคอยติดตามนะคะ จะมีเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้กันอีกมาก ในบทความของอาจารย์ที่จะทยอยนำมาโพสต์เรื่อยๆ ค่ะ
ลบ