วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คุรุเทพฮินดู

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

คุรุเทพฮินดู คือ พระพรหม พระสรัสวดี และพระศิวะ ที่จริงล้วนแต่เป็นที่รู้จักกันดีทั้ง ๓ องค์ แต่ข้อมูลทางเทววิทยาของแต่ละองค์จริงๆ ไม่ค่อยมีการเผยแพร่กันเท่าใดนัก เอาเป็นว่าเรามาดูเรื่องของแต่ละองค์ในแบบที่ไม่ผูกพันกับเทพนิยายนะครับ




พระพรหม (Brahma) เป็นคุรุเทพที่เก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในอินเดีย ปรากฏในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ ซึ่งมีอายุประมาณ ๒,๖๐๐-๒,๘๐๐ ปีมาแล้ว ในลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่มีเพศ แต่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งต่างๆ คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งนั่นเอง

ลัทธิการนับถือพระพรหมเช่นนี้ ยังคงสืบทอดต่อมาในคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเจริญอยู่ในช่วงต้นพุทธกาล ตามคัมภีร์ดังกล่าวระบุว่า พระพรหมทรงเป็นสารัตถะ (Essence) ของสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากพระองค์

พระองค์จึงทรงเป็น ปรมาตมัน หรือ จิตจักรวาล และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนมี อาตมัน ที่แยกออกมาจากพระองค์ เป็นจิตแท้ภายในกายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าของเราก็คงจะได้ศึกษาคัมภีร์ดังกล่าวนี้เช่นกัน จึงได้ทรงคัดค้านหลักการนี้ในภายหลัง

แต่ก่อนที่จะเกิดคัมภีร์อุปนิษัทขึ้นนั้น เมื่อศาสนาพราหมณ์ที่นับถือคัมภีร์พระเวทเริ่มเสื่อมลง พระพรหมก็กลายเป็นมหาเทพ คือเป็นเทวะที่มีตัวตน เป็นเพศชาย และมีถึง ๕ พระพักตร์

ในช่วงนี้แหละที่มีการนับถือว่าพระองค์เป็นเทพผู้สร้างโลก โดยทรงมีความสัมพันธ์กับ พระนางศตรูปา (Shatarupa) ซึ่งเป็นธิดาของพระองค์เอง ทำให้เกิดพระมนูซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ และต่อมาฝ่ายไศวะนิกายก็แต่งเทพนิยายข่มว่าพระศิวะทรงตัดพระพักตร์หนึ่งของพระพรหมออกไป เพราะทรงเอาแต่เฝ้าดูพระชายาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทรงเหลือเพียง ๔ พระพักตร์

แต่ในอีกตำราหนึ่งก็บอกว่าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายส่วนต่างๆ ทำให้ได้เป็น ๔ วรรณะที่แตกต่างกัน และพระองค์ก็เป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ด้วยครับ

ในช่วงต้นสมัยพุทธกาลจนกระทั่งพ.ศ.๒๕๐ คติการนับถือบูชาพระพรหมมีอยู่ทั่วไป

แต่หลังพ.ศ.๒๕๐ ศาสนาพราหมณ์ได้กลายรูปเป็นศาสนาฮินดู เกิดสองนิกายใหญ่คือ นิกายไวษณพ ที่นับถือพระนารายณ์ หรือพระวิษณุเป็นเทพสูงสุด กับ นิกายไศวะ ที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด พระพรหมก็เลยได้รับการนับถืออยู่ในท่ามกลางสองนิกายนี้

จนในที่สุดสองนิกายนี้เจริญขึ้น ฐานะความเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งของพระองค์ รวมทั้งการเป็นองค์ปรมาตมัน ก็ถูกนำไปยกให้เป็นของพระนารายณ์ กับพระศิวะ จนพระพรหมลดความสำคัญลง ในที่สุดแม้แต่ชายาของพระองค์ คือ พระสรัสวดี ก็ได้รับการนับถือแพร่หลายยิ่งกว่า

พระพรหมจึงด้อยความสำคัญลงจนปัจจุบันนี้ กลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่สำคัญนักในอินเดีย มีเทวาลัยขนาดใหญ่อยู่เพียงแห่งเดียวที่ริมทะเลสาบบุษกร อยู่ในรัฐราชสถาน

คติที่นับถือพระพรหมเป็นคุรุเทพนั้น คือลัทธิที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาพราหมณ์ คือ นับถือว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานคัมภีร์พระเวทแก่พราหมณ์ และพราหมณ์ก็ใช้เทวศาสตร์ของพระพรหมในการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะด้วย

และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คติการบูชาพระองค์เสื่อมลงไปพร้อมกับศาสนาพราหมณ์ เพราะเมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดูแล้ว ก็ไม่มีการให้ความสำคัญกับคัมภีร์พระเวทอีกต่อไป คงมีเพียงการอ้างถึงเป็นครั้งคราวเท่านั้น

แต่ลัทธิที่บูชาพระองค์ ที่เมืองบุษกรทุกวันนี้ ก็ยังคงบูชาในฐานะคุรุเทพ ผู้ประทานความรู้ในทุกศาสตร์ ทุกสาขาแก่มนุษย์ ดังที่เทวรูปของพระองค์ยังคงถือคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงพระเวท สร้อยประคำ ซึ่งหมายถึงการบำเพ็ญภาวนา หม้อน้ำ ซึ่งหมายถึงความรู้ของพราหมณ์ และ ช้อนตักเนยหยอดหม้อไฟ ซึ่งหมายถึงความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อยู่

ส่วนพระพรหมที่เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับพุทธประวัตินั้น เป็นคนละองค์กับพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ คือเป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไปเท่านั้น และศาสนาพุทธก็ยืมคำว่า "พรหม" จากศาสนาพราหมณ์ไปใช้บัญญัติเรียกเทวดาในชั้นดังกล่าว พรหมในศาสนาพุทธจึงมีจำนวนมากมาย ขณะที่พระพรหมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีเพียงองค์เดียว




คติความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหม เข้ามาสู่เมืองไทยพร้อมกับศาสนาฮินดู ตั้งแต่สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖) มีหลักฐานอยู่ที่ ถ้ำพระงาม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี และเข้ามาอีกระลอกหนึ่งจากอาณาจักรขอม ในฐานะของมหาเทพองค์หนึ่งในชุดตรีมูรติ ทั้งสองคตินี้ปัจจุบันไม่มีผู้นับถือแล้วครับ

ส่วนพระพรหมที่ปรากฏในคัมภีร์ไสยศาสตร์ไทย หรือแม้แต่คัมภีร์โหราศาสตร์ เช่น พรหมชาติ รวมทั้งที่ปรากฏอยู่ตามภาพพุทธประวัติต่างๆ นั้น เป็นพระพรหมในศาสนาพุทธทั้งสิ้น คนละองค์กับคุรุเทพที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้

ท้าวมหาพรหมเอราวัณ และศาลพระพรหมทั่วเมืองไทยนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับพระพรหมอินเดีย เป็นพระพรหมของไทยและเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเช่นกัน ศาลพระพรหมอินเดียแท้ๆ มีอยู่ในเมืองไทยเพียงแห่งเดียว คือที่วัดแขกสีลม




พระสรัสวดี (Saraswati) ทรงเป็นมหาเทวีอีกองค์หนึ่งที่ได้รับการบูชาอย่างกว้างขวางในศาสนาฮินดูทุกวันนี้ โดยไม่จำกัดลัทธินิกาย

พระนางทรงได้รับการนับถือในฐานะคุรุเทพสูงสุด เหนือกว่าคุรุเทพอีกหลายองค์ในศาสนาฮินดูทุกวันนี้ จนพูดได้ว่า ถ้าจะกล่าวถึงเทพแห่งสติปัญญาและความรู้ คนอินเดียจะนึกถึงพระแม่สรัสวดีก่อนเทพทุกองค์ แม้ว่าในศาสนาฮินดูจะมีคุรุเทพที่บูชากันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม

พระแม่สรัสวดีทรงเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณ และศิลปวิทยาการ พระนางทรงอุปถัมภ์การศึกษาในศาสตร์ต่างๆ ทุกแขนงที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ ดังนั้นพระนางจึงเป็นเทวีของครูบาอาจารย์ นักเรียนนักศึกษา และการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัยทุกชนิด

นอกจากนี้ยังเป็นเทวีแห่งนาฏดุริยางค์ การละครและศิลปะการแสดง ทรงเป็นแม้กระทั่งเทวีแห่งการเจรจา ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งยังทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ซึ่งในส่วนนี้ก็ทรงได้รับการบูชามากกว่าพระพรหมเสียด้วย

เทวลักษณะของพระนางจึงเป็นสาวงามที่ฉลองพระองค์สีขาว แสดงถึงความเป็นนักบวช มักจะทรงถือเครื่องดนตรี เช่น วีณา (Vina) ซึ่งเป็นจะเข้ชนิดหนึ่งของอินเดีย




(แต่ในภาพวาดมักถือตั้งขึ้นมาแบบถือกีตาร์ เพราะคนวาดส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวีณาจริงๆ ต้องวางส่วนที่เป็นกล่องเสียงหลักลงกับพื้น เอากล่องเสียงใต้คันทวนวางไว้บนหัวเข่าแล้วดีด)

และพระหัตถ์ที่เหลือก็มักถือคัมภีร์ และสร้อยประคำ ที่มีความหมายเช่นเดียวกับพระพรหม

อันที่จริง พระแม่องค์นี้ทรงได้รับการบูชามาแต่เดิมในฐานะเทวีแห่งแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันหายไปแล้วในทะเลทรายพรหมวรรต พระนางเป็นเทพพื้นเมืองซึ่งชาวอารยันนำมารวมไว้ในคัมภีร์พระเวท และทรงมีบทบาทสำคัญในการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ มาตั้งแต่ก่อนที่จะนับถือแม่น้ำคงคากันด้วยครับ

ต่อมาพระนางก็ถูกนำเข้ามารวมกับลัทธิบูชาพระพรหม โดยกล่าวกันว่าเป็นเทพนารีองค์เดียวกับพระนางศตรูปา ที่พระพรหมทรงสร้างขึ้นก่อนสร้างโลกนั่นเอง

ดังนั้นในพรหมนิกาย พระนางก็เป็นทั้งชายา (ศักติ) และธิดาของพระพรหม และร่วมกับพระพรหมในการสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งปวง

ทีนี้เมื่อศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง คติการนับถือพระแม่สรัสวดีก็ยังสืบทอดต่อมาในลัทธิที่บูชาพระพรหม และในช่วงต้นๆ พุทธกาล ลัทธิที่บูชาพระนางก็เริ่มแยกเป็นเอกเทศจากลัทธิของพระพรหม

เมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู พระนางก็กลายเป็นคุรุเทพที่ได้รับการบูชามากในระดับหนึ่ง มีการแต่งนิยายให้พระนางเป็นชายาพระนารายณ์ แล้วทะเลาะกับพระแม่ลักษมีจนพระนารายณ์ต้องยกให้พระพรหม (เป็นเรื่องที่คนไทยชอบเอามาเล่าสนุกสนานกันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแต่งที่คนอินเดียปัจจุบันก็ไม่เชื่อกันอย่างนั้นแล้ว) แล้วก็เป็นตัวประกอบในเทพนิยายของทางไศวะนิกาย

แต่โดยสรุปก็คือ พระนางไม่ถูกจัดเข้านิกายใดเป็นพิเศษ

ต่อมา ในขณะที่ลัทธิที่บูชาพระนางเป็นเทพสูงสุดยังคงสืบทอดกันอยู่ในภาคเหนือของอินเดีย การบูชาพระนางในศาสนาฮินดูก็แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกัน พระนางก็กลายเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน และจะยิ่งทรงมีบทบาทมาขึ้นในศาสนาพุทธวัชรยาน กล่าวคือเป็นพระโพธิสัตว์เพศหญิงที่สำคัญในลำดับต้นๆ รองจาก พระโพธิสัตว์ตารา (Tara) เลยทีเดียว




และในทางมหายาน-วัชรยานนั้น นับถือกันว่าพระนางเป็นศักติของ พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสติปัญญา

คติการบูชาพระนางในทางมหายานนี่ละครับ ที่แพร่ไปถึงญี่ปุ่น จนพระนางกลายเป็นหนึ่งในเทพแห่งโชคลาภ ๗ องค์ของศาสนาชินโต มีพระนามในภาษาญี่ปุ่นว่า เบนเทน (Benten) เป็นเทวีผู้อุปถัมภ์พวกเกอิชา ซึ่งเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยวิชานาฏศิลป์การดนตรี การร้องรำทำเพลงเป็นหลัก

นอกจากนั้น การนับถือพระนางก็ปรากฏอยู่ในชวา ซึ่งก็เป็นการนับถือตามหลักมหายานเช่นกัน
ในขณะที่อาณาจักรขอมซึ่งเจริญต่อมา ก็นับถือพระสรัสวดีทั้งในยุคสมัยที่นับถือฮินดู และสมัยที่นับถือมหายาน

ส่วนในเมืองไทย มีหลักฐานสมัยอยุธยาซึ่งนับถือพระนางเป็นคุรุเทพในด้านอักษรศาสตร์ โดยในหนังสือ จินดามณี ซึ่งเป็นตำราอักษรศาสตร์ของไทยนั้น ตั้งตามพระนามในภาษาทมิฬของพระนางคือ จินดา (Chinta) แสดงให้เห็นว่า คติการนับถือพระนางในแง่นี้ ไทยเราน่าจะได้รับมาจากอินเดียใต้

นอกจากนี้ พระสรัสวดีในสมัยอยุธยายังคงเป็นคุรุเทพในด้านดนตรี นาฏศิลป และการละคร โดยยังคงเหลือร่องรอยอยู่ในบทไหว้ครูละครชาตรี ซึ่งสืบทอดมาจากละครสมัยอยุธยา

ส่วนในอารยธรรมมอญและพม่า พระสรัสวดีเป็นหนึ่งในคณะเทพนารีผู้รักษาพระไตรปิฎกทั้ง ๔ องค์ และเป็นภาพรวมของเทวีทั้ง ๔ องค์นั้น เรียกว่า Thuyathadi  ถือกันว่าเป็นเทวีผู้อุปถัมภ์การศึกษาพระไตรปิฎกในพม่า และปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับการบูชาอย่างแพร่หลายในพม่า





เทวรูปพระนางในศิลปะพม่าจะเป็นรูปเทพนารีประทับบนหงส์ ถือคัมภีร์ พระนางยังเป็นคุรุเทพในศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ของทางไทยใหญ่อีกด้วย

ส่วนในอินเดียทุกวันนี้ พระแม่สรัสวดีเป็นหนึ่งในเทวีที่ได้รับความนิยมสูงสุด ต่อจากพระแม่ลักษมี และพระแม่อุมา ภาพของท่านที่อยู่ร่วมกับพระคเณศ และพระลักษมีนั้นมีให้เห็นทั่วไป ซึ่งคนอินเดียบูชากันเพื่อความสำเร็จ โชคลาภ และสติปัญญา เทวรูปของพระนางก็หาได้ไม่ยากครับ

ในขณะที่ในเนปาลและทิเบตนั้น ก็นิยมบูชาพระนางกันมาก จนฝรั่งที่สนใจศิลปะเนปาลนิยมสะสมเทวรูปของท่านกันทั่วไป

แต่ในเมืองไทย คติการบูชาพระแม่สรัสวดีเริ่มลดลงภายหลังเสียกรุงครั้งที่ ๒ แต่ยังมีการบูชาพระนางเป็นการภายในอยู่ในราชสำนัก ดังที่มีเทวรูปท่านประดิษฐานอยู่ที่หอพระสยามเทวาธิราชจนทุกวันนี้

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระวันรัตน (แดง) เกิดนิมิตจากการภาวนาคาถาสุนทรีวาณี เป็นเทพธิดาผู้รักษาพระไตรปิฎก หรือพระแม่องค์ธรรม นิยมเรียกกันทั่วไปว่า พระสุนทรีวาณี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้นอธิบายว่าเป็นเทวีองค์เดียวกับพระสรัสวดี




ก็นับว่า อีกภาคหนึ่งของท่านได้มาเป็นเทพผู้รักษาพระไตรปิฎกในคติเถรวาทของไทยเราด้วยนะครับ เช่นเดียวกับของมอญ พม่า ทั้งที่นิมิตของสมเด็จพระวันรัตนหรือแม้แต่ตัวคาถาสุนทรีวาณีนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมอญหรือพม่าแต่อย่างใด

แต่หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกย่อง พระคเณศ หรือ พระพิฆเนศวร์ ขึ้นเป็นเทพแห่งศิลปะแทน ทำให้คติการบูชาพระสรัสวดีในฐานะคุรุเทพฝ่ายอักษรศาสตร์และศิลปะดนตรีนาฏศิลปต่างๆ เหลือร่องรอยอยู่เพียงเป็นเทพที่ชาวอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นับถือกันอยู่บ้าง เป็นเทพประจำโรงเรียนสตรีในต่างจังหวัดบางโรงเรียน และก็เป็นรางวัลพระสรัสวดีหรือตุ๊กตาทอง ที่มอบให้คนในวงการบันเทิงเท่านั้นครับ




พระศิวะ (Shiva) ทรงเป็นมหาเทพสูงสุดใน ไศวะนิกาย (Shaivism) อันเป็นหนึ่งใน ๓ นิกายใหญ่ของศาสนาฮินดู ทรงมีประวัติความเป็นมาที่สับสน เชื่อกันว่าแต่เดิมพระองค์คงเป็นมหาโยคีองค์หนึ่งที่บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาหิมาลัย แต่ต่อมาในยุคปลายของศาสนาพราหมณ์ก็เข้ามาปะปนกับ พระรุทระ (Rudra) ในคัมภีร์พระเวทที่เริ่มมีการนับถือมากกันมากขึ้น

ครั้นเมื่อมาเป็นใหญ่ในศาสนาฮินดู ลัทธิที่นับถือพระองค์ก็รวมลัทธิอื่นๆ เข้ามาเพิ่มบารมีของพระองค์มากขึ้น จนทำให้พระองค์ได้รับการนับถือแพร่หลายไปทั่วอินเดียครับ

ลัทธิต่างๆ ที่ถูกรวมเข้ามาในไศวะนิกาย ที่สำคัญได้แก่




-ลัทธินับถืออวัยวะเพศชาย ในฐานะของสัญลักษณ์และพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ อันเป็นลัทธิของชนพื้นเมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ในอินเดีย และเป็นลัทธิใหญ่ลัทธิหนึ่งในช่วงหลังพุทธกาล ได้ถูกนำมาปรุงแต่งใหม่ให้เป็นภาคปรากฏของพระศิวะ จนในที่สุดเป็นที่บูชากันในเทวสถานต่างๆ โดยถือว่ามีความสำคัญกว่าเทวรูปของพระศิวะที่เป็นรูปมนุษย์เสียอีก เรียกว่า ศิวลิงค์ (Shivalingam)




-ลัทธินับถือเทวีแห่งภูเขา หรือ พระปารวตี (Parvati) ซึ่งต่อมากลายเป็น พระแม่อุมา และ ลัทธินับถือพระแม่กาลี ทั้งสองลัทธินี้เป็นลัทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ถูกนำมาปรุงแต่งให้เป็นชายาของพระศิวะ

และด้วยวิธีเดียวกันนี้ ก็มีการแผ่ลงไปครอบงำบรรดาเทวีพื้นเมืองต่างๆ ในอินเดียใต้ เช่น พระแม่มารีอัมมัน (Mariamman) พระมีนากษี (Meenakshi) ให้กลายเป็นภาคหนึ่งของพระอุมาเทวี และกลายเป็นชายาของพระศิวะไปทั้งหมด เช่นเดียวกับพระแม่กาลี



-ลัทธินับถือเทพที่มีเศียรเป็นช้าง คือ พระคเณศ ซึ่งอาจจะมีกำเนิดดั้งเดิมมาจากผู้วิเศษที่สวมหน้ากากรูปช้าง หรือเป็นเทพประจำชนเผ่าที่นับถือช้างเป็นเทพประจำเผ่า (Totem) ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นโอรสของพระศิวะกับพระอุมา




-ลัทธินับถือพระสุริยเทพของอินเดียใต้ คือ พระสกันท์ (Skanda) หรือ พระกรรติเกยะ (Kartikeya) ซึ่งเป็นเทพที่ได้รับความนิยมนับถือสูงสุดในหมู่ชาวทมิฬมาก่อน ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นโอรสของพระศิวะกับพระอุมาเช่นกันครับ





-ลัทธินับถือเทพอสูร ไภรวะ (Bhairava) ที่เป็นของชนเผ่าพื้นเมืองในเบงกอล นำมาปรุงแต่งให้เป็นภาคหนึ่งของพระศิวะ





-ลัทธินับถือวัวศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็น Totem ของชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าใหญ่ในอินเดียหลังพุทธกาล ก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นบริวารของพระศิวะ โดยมีนามว่า นนทิ (Nandi)





-ลัทธินับถือพระแม่คงคา (Ganga) ในฐานะแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นลัทธิยุคหลังพระเวท และแพร่หลายอยู่ในกลุ่มฤาษีตลอดจนนักบวชที่บำเพ็ญเพียรอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ ตลอดจนชุมชนเกษตรกรรมที่อาศัยแม่น้ำดังกล่าวนี้ยังชีพ นับเป็นลัทธิที่มีความสำคัญอย่างเงียบๆ ทางไศวะนิกายก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นชายาของพระศิวะ และอ้างว่าแม่น้ำคงคาไหลจากสวรรค์ผ่านมวยพระเกศาของพระศิวะมายังโลกมนุษย์




-ลัทธินับถือเจ้าแม่แห่งงู หรือ พระมนัสเทวี (Manasa Devi) เป็นเจ้าแม่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่บูชางู และเป็นสาขาของลัทธิบูชางูที่แพร่หลายมากในชุมชนที่ทำการเกษตรอยู่ใกล้แม่น้ำในอินเดีย ทางไศวนิกายก็นำมาปรุงแต่งให้เป็นพระธิดาของพระศิวะ ที่เกิดกับพระชายาอื่นที่มิใช่พระอุมา

การรวมลัทธิต่างๆ เท่าที่ยกตัวอย่างมานี้ ทำให้พระศิวะกลายเป็นพระเจ้าสูงสุด และเป็น ปรมาตมัน แทนที่พระพรหมไปในที่สุดครับ

แต่ในอีกฐานะหนึ่ง พระองค์ก็ยังทรงเป็นคุรุเทพของเหล่าฤาษี โยคี ซึ่งทรงประทานความรู้ในการบำเพ็ญเพียร การฝึกสมาธิ อิทธิฤทธิ์ และศาสตร์ลี้ลับต่างๆ

อีกทั้งในฐานะที่เป็น นาฏราช ก็ถือกันว่าทรงเป็นปฐมคุรุผู้ประทานศาสตร์แห่งการฟ้อนรำด้วย ดังมีภาพสลักท่ารำของพระองค์ทั้ง ๑๐๘ ท่า อยู่ที่มหาเทวาลัยจิทัมพรัม (Chidambaram) ในรัฐทมิฬนาฑู อินเดียใต้

คุรุเทพ ในบทความนี้หมายถึงเทวบรมครู หรือ องค์เทพผู้ทรงเป็นครูถ่ายทอดศิลปวิทยาการต่างๆ ให้แก่มนุษย์ ดังกล่าวแล้ว แต่ความหมายของคำนี้ตามที่นิยมใช้กันในสังคมอินเดียปัจจุบัน มักจะหมายถึงคุรุที่เป็นมนุษย์ ซึ่งได้รับการยกย่องประดุจเทพเจ้าครับ

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากเทววิทยาอินเดียยุคนี้ได้เสื่อมลง จนมีการให้ความสำคัญกับบุคคลแทนที่เทพเจ้ามากขึ้นทุกที ทำให้ความหมายเดิมของศัพท์คำนี้แปรเปลี่ยนไป


.....................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


2 ความคิดเห็น:

  1. ได้ความรู้มากขึ้นจริงๆ ค่ะ เพิ่งรู้ว่าเนื้อหาที่มาที่ไปขององค์เทพจริงๆ ที่ไม่ใช่เทพนิยายนั้นเป็นยังไง ^_^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คอยติดตามนะคะ จะมีเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้กันอีกมาก ในบทความของอาจารย์ที่จะทยอยนำมาโพสต์เรื่อยๆ ค่ะ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น