วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ครุฑ กับ นาค เป็นสัตว์ ไม่ใช่เทพ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์





ครุฑกับนาค เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ 

ซึ่งนับแต่อดีต จนปัจจุบัน มีพระธุดงค์ ฤาษีและเกจิอาจารย์ ผู้บำเพ็ญพรตในสายวิชาต่างๆ ที่ทรงฌานสมาบัติ ได้เข้าไปรู้เห็นและนำรายละเอียดในแง่มุมต่างๆ ออกมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานอันควรเชื่อหลายอย่างด้วยกัน รวมทั้งเรื่องของครุฑกับนาคด้วย 

เรื่องเล่าขาน และบันทึกเหล่านี้ตรงกันครับ 

โลกหิมพานต์มีจริง เป็นมิติคู่ขนานกับมิติที่พวกเราอาศัยอยู่ อมนุษย์และสัตว์ประหลาดต่างๆ ก็มีจริงเช่นกัน

เพียงแต่ถ้ามองอย่างเข้าใจ, อมนุษย์พวกนั้นไม่ได้พิสดารอะไรมากนัก มีทั้งข้อเด่นและข้อด้อย เมื่อเทียบกับมนุษย์เรา

บรรดาสัตว์ที่พวกเราจินตนาการนักหนาว่าน่าจะพิศวง อันที่จริงก็เป็นสัตว์ประจำภพภูมิ หรือ มิตินั้นๆ ที่มีความพิเศษแตกต่างจากสัตว์ในธรรมชาติของเราเท่านั้น

และจะว่าไปแล้ว เรายังรู้จักสัตว์ในธรรมชาติของเราไม่ครบทุกชนิดเลย จริงไหมครับ? 

แม้แต่ป่าอเมซอนที่มีชื่อเสียง ในโลกที่เราอาศัยอยู่ ก็ยังซุกซ่อนชนเผ่าลึกลับ และสัตว์ที่น่าพิศวงที่เรายังไม่รู้จักกันไว้อีกมาก

ดังนั้น ในทรรศนะของผม ผมก็ว่าหิมพานต์เป็นโลกที่แปลกจริง แต่ไม่ได้แปลกเกินไป เหมือนอย่างที่พวกเราจินตนาการกันบนพื้นฐานของวรรณคดี หรือวรรณกรรมทางศาสนา

(ซึ่งมักจะถูกต่อเติมเสริมแต่งด้วยความบรรเจิดทางจินตนาการ อย่างเช่นกรณีช้างเอราวัณที่มีถึง ๓๓ หัว แต่ละหัวมีอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายโกลาหลไปหมด นั่นแหละครับ)

เอาไว้วันหลังผมจะเล่าเรื่องหิมพานต์ให้ฟัง ตอนนี้ขอเข้าประเด็นที่จะโพสต์ก่อน คือครุฑกับนาค




ถ้าเราตัด image ของครุฑ ในวรรณคดี ที่มีกายเป็นคนหัวเป็นนก มีลักษณะอย่างที่เราเห็นตามป้ายธนาคารทั่วไป หรือ image ของนาค แบบบนกล่องไม้ขีดไฟ หรือตามวัดต่างๆ จับเอาแต่แก่นสารของบรรดาคัมภีร์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งสองชนิดนี้

เราจะพบว่า พวกมันเป็นสัตว์ ไม่ใช่เทพ

พวกมันเป็นสัตว์ชนิดพิเศษ ที่แปลงร่างเป็นคนได้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลานอนก็ต้องคืนร่างเดิม

เวลาสืบพันธุ๋ หรือตายก็ต้องคืนลักษณะเดิม ไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ในรูปร่างลักษณะของมนุษย์

มิฉะนั้น จะไม่เกิดกรณีนาคปลอมมาบวชในพุทธศาสนา แล้วถูกจับได้หรอกครับ ถ้ามันสามารถแปลงเป็นคนได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือว่ามีร่างกายในอีกมิติเป็นคนแล้วจะไปไหนค่อยไปในรูปของนาค

(นั่นสิ, ถ้ามันเป็นคน มีสองมือสองขาอยู่แล้วเป็นปกติ มันจะต้องเลื้อยไปไหนมาไหนเพื่ออะไรล่ะ?)

ครุฑก็เหมือนกันครับ มันสามารถแปลงเป็นคนได้ชั่วคราว แล้วก็ต้องเป็นครุฑที่มีฤทธิ์มากๆ ด้วยถึงจะทำได้

คนโบราณที่รู้จักครุฑ เมื่อจะบอกแก่คนรุ่นหลังว่า ครุฑคือวิหคทิพย์ที่สามารถแปลงเป็นคนได้ ท่านก็จึงกำหนดรูปแบบทางศิลปะของครุฑ ให้ออกมาเป็นครึ่งคนครึ่งนก

นาคก็เช่นกัน ไม่ว่าอินเดีย ทิเบต ลังกา เขมรโบราณ เขาทำรูปมนุษยนาค หรือครึ่งคนครึ่งงูไว้เพื่อให้รู้ว่า งูวิเศษชนิดนี้สามารถแปลงเป็นคนได้


ภาพจาก http://yoga369.blogspot.com


สิ่งเหล่านี้คือวิธีที่คนโบราณบอกคุณลักษณะที่เด่นๆ ของสัตว์ทั้งสองนี้ผ่านศิลปะครับ ไม่ได้จะบอกว่า มันมีรูปลักษณ์เป็นอย่างนั้นจริง

จริงๆ แล้วครุฑกับนาค เท่าที่ผู้ทรงฌานสมาบัติ หรือพระธุดงค์ไปพบเห็นกันมานั้น มิได้แตกต่างกับสัตว์ที่มีอยู่ในโลกของเรามากนัก

พญาครุฑนั้นคล้ายนกอินทรี เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าและมีสีสันที่สวยงามกว่า จะสังเกตได้ว่าแม้แต่จิตรกรนักวาดภาพเทพเจ้าในอินเดียปัจจุบัน หลายท่านก็ยังคงวาดครุฑเป็นแบบนี้

ถ้าใครศึกษาวิชาบรรพชีวินวิทยา คือวิชาที่ว่าด้วยสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่างๆ แล้ว จะไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าโลกเราเคยมีนกยักษ์ที่ตัวใหญ่มากๆ นกยักษ์เหล่านั้นสูญพันธุ์ไปแล้วในโลกของเรา แต่ในป่าหิมพานต์ยังมีอยู่

นาคก็เหมือนกันครับ นาคนั้นคืองูหงอน พระธุดงค์ที่มีชื่อเสียงหลายรูปได้พบมาอย่างนั้น

มันคืองูใหญ่สีดำสนิท สีเลื่อมประภัสสร หรืออาจมีสีอื่นๆ อีก แต่ที่บันทึกไว้ตรงกันคือเป็นสีเดียวตลอดทั้งตัว ไม่มีลายเหมือนงูเหลือมงูหลาม หรืองูจงอางที่เป็นงูขนาดใหญ่ในโลกของเรา

และหงอนของนาคก็เป็นเช่นเดียวกับหงอนของสัตว์เลื้อยคลาน เช่น กิ้งก่าบางชนิด ไม่ใช่หงอนแบบพญานาคที่อยู่ตามวัดหรือบนกล่องไม้ขีดไฟของเรา

พฤติกรรมก็ไม่แตกต่างกับในโลกเรา นกอินทรี, เหยี่ยว ในโลกของเราชอบจับงูกินอย่างไร ครุฑก็จับนาคกินอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิด

และในเมื่อแค่เป็นสัตว์ที่แปลงเป็นคนได้ชั่วครั้งชั่วคราว ก็คงไม่ต้องพูดถึงการอยู่กันเป็นบ้านเป็นเมือง มีท้าวพระยาปกครอง มีเมียมีลูก มีเจ้าหญิงเจ้าชายนาคที่พบรักกันแล้วพรากจากกันไป รอมาเกิดเป็นคนมีองค์เพื่อแสวงหาหนทางที่จะกลับมาครองรักกันอีกครั้ง





เหมือนอย่างที่พวกร่างทรงพญานาคร่ายกาพย์กลอน ร้องเพลงครวญหากันอยู่ตามกลุ่มคนมีองค์ใน Facebook และตำหนักต่างๆ หรอกครับ

เพราะนาคก็คืองู งูอยู่กันอย่างไร นาคจริงๆ ก็อยู่กันอย่างนั้น

งูชุกชุมอยู่ในภูมิประเทศเช่นใด นาคก็ชุกชุมในภูมิประเทศที่คล้ายกัน

งูไม่เคยมีบ้านเมือง ไม่เคยมีกษัตริย์ปกครอง ก็ป่วยการพูดถึงพญานาคราชที่เป็นกษัตริย์

เพียงแต่พญานาคที่มีฤทธิ์จริง ก็สามารถแปลงกายเลียนแบบท้าวพระยามหากษัตริย์ได้ อันนี้คือความพิเศษของนาคที่งูในโลกเราทำไม่ได้

ครุฑก็เช่นกัน เพียงแต่บันทึกการแปลงกายของครุฑที่เป็นรูปลักษณ์ของคนเรานั้นยิ่งมีน้อยกว่านาค

และที่ว่ามีฤทธิ์เดชจนพระนารายณ์ ซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดองค์หนึ่งของศาสนาฮินดูยังปราบไม่ได้นั้น แท้จริงก็เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นเพื่อเอาใจชนเผ่าที่นับถือครุฑ ในอินเดียโบราณ

ซึ่งศาสนาฮินดูไวษณพนิกาย (นับถือพระนารายณ์เป็นเทพสูงสุด) คงปราบปรามไม่สำเร็จ และต้องใช้กุศโลบายเข้าครอบงำ จนได้ชนเผ่าดังกล่าวเข้ามารวมไว้ในศาสนาของตน




เช่นเดียวกับที่รวมชนเผ่าที่นับถือนาคเข้ามา ด้วยการสร้างนิยายว่าพญาอนันตนาคราชเป็นที่ประทับของพระนารายณ์ในเกษียรสมุทรไงครับ

การนับถือครุฑ หรือนาค ของชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียโบราณนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก ชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลกมีคติการบูชานกใหญ่ และงูใหญ่ ที่มีลักษณะพิเศษมานานนับหมื่นปีแล้ว

ทั้งนกใหญ่และงูใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษเหล่านี้ ก็อาจเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ หรืออาจพบเจอในมิติคู่ขนาน (เช่นเดียวกับป่าหิมพานต์ของเรา) ก็ได้ ไม่เป็นเรื่องแปลกอะไร

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ใช่ภูมิภาคเดียวของโลกที่มีมิติคู่ขนาน เป็นที่อาศัยของอมนุษย์และสัตว์แปลกๆ อย่างป่าหิมพานต์นะครับ 

ยุโรป อเมริกา แอฟริกา และส่วนอื่นๆ ของโลกก็มีเหมือนกัน และพวกเขาก็เรียกกันในชื่ออื่น ตามภาษาของเขา

อย่างพญานาคของจีน แทนที่หัวจะมีหงอนก็กลับเป็นมีเขา แล้วยังเหาะลอยไปในอากาศได้ จีนเรียกว่า มังกร 

พญานาคของอารยธรรม อัซเท็ค (Aztec) ในทวีปอเมริกา ถูกเรียกว่า “งูขนนก” เพราะมันเหาะได้เหมือนมังกรจีน (ขนนกเป็นการสื่อความหมายของสิ่งที่บินได้เหมือนนก) เขานับถือกันเป็นเทพเจ้า เรียกว่า เควทซัลโคอาทล์ (Quetzalcoatl)

ทั้งสองอย่างนี้ล้วนแปลงเป็นคนได้ เช่นเดียวกับพญานาคของอินเดีย เขมร และไทย

แต่คำถามก็คือ แล้วครุฑกับนาคที่มีฤทธิ์ จะแปลงร่างเป็นคนไปเพื่ออะไร?

คำตอบก็คือ เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ ในเรื่องจำเป็นบางอย่างครับ โดยมากก็คือในกรณีของพระธุดงค์ เพื่อสะดวกในการทำบุญและรับศีลรับพร

สัตว์อย่างครุฑ อย่างนาค ถือศีลไม่ได้ แต่ทำบุญได้ ด้วยการช่วยเหลือพระธุดงค์ และผู้ทรงศีลในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ พญามุจลินทร์นาคราช ที่ปวารณาตัวปกป้องสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในยามเสวยวิมุติสุข ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงในพุทธประวัติไงครับ




และเราก็จะเห็นว่า เมื่อครบกำหนดเวลา พญามุจลินทร์นาคราชก็แปลงร่างเป็นคน เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า และเพื่อให้ได้รับผลบุญ ที่ถวายอารักขาพระพุทธองค์มาก่อนหน้านั้น

ก็เหตุการณ์นั้นแหละครับ เป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่ผมร่ายยาวมาตลอด

ถ้าพญามุจลินทร์นาคราชแปลงเป็นคนได้ ๒๔ ชั่วโมง เป็นกษัตริย์ครองเมืองนาค มีทหารนับพันนับหมื่น พญามุจลินทร์คงปรากฏรูปลักษณ์เป็นจอมกษัตริย์ สวมศิราภรณ์รูปเศียรนาค ฉลองพระองค์เป็นเสื้อเกราะทอง ถืออาวุธ

พร้อมด้วยเหล่าทหารถวายอารักขาพระพุทธองค์ เป็นกองทัพใหญ่โต อาจจะสร้างวิมานทองงดงามหรูหราถวาย ด้วยอิทธิฤทธิ์

ซึ่งน่าจะกำบังลมและฝน ได้อย่างหมดจดกว่าการปกป้องแบบงูๆ คือเอาลำตัวขดล้อมพระพุทธองค์ไว้ แล้วแผ่พังพานคลุม จนเป็นต้นตำนานพระพุทธรูปนาคปรก

ลองไปอ่านบันทึกของพระธุดงค์ที่ได้พบเจอนาคจริงๆ ส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน

การทำบุญช่วยเหลือพระธุดงค์ของนาคเหล่านั้น มักทำด้วยอาการของสัตว์ คืองูใหญ่ ต่อเมื่อสำเร็จแล้ว หรือมีเหตุจะต้องโอภาปราศัยกัน จึงค่อยปรากฎร่างเป็นคน

นี่คือสิ่งที่พญานาค และ พญาครุฑ เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะทำได้

ไม่ใช่ว่าครุฑและนาคทั้งหมดทุกตัว จะทำได้นะครับ

ต้องเป็นพญาครุฑและพญานาคที่มีฤทธิ์ อันเกิดจากการสั่งสมบารมีอย่างต่อเนื่อง ตามสภาพที่เป็นสัตว์ของพวกมัน จนได้เกิดในวรรณะที่สูงกว่าครุฑและนาคอื่นๆ

และมีฤทธานุภาพเพียงพอ ที่จะทำในสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานชนิดไหนก็ทำไม่ได้ คือ บุญ

พูดง่ายๆ พญาครุฑและพญานาค มีอำนาจวิเศษแตกต่างจากสัตว์ทั่วไป ก็เพื่อจะได้ทำบุญ

บุญแบบเดียวกับที่พวกเราในโลกมนุษย์ ทำกันได้ง่ายแสนง่ายนี่ละครับ

ง่ายขนาดไหน, ก็ขนาดที่ว่า ตื่นเช้าหน่อย ออกไปยืนริมถนน ก็มีพระมาให้ใส่บาตร

แต่พญานาค พญาครุฑ ต้องสั่งสมบารมี ตายแล้วเกิดนับครั้งไม่ถ้วน จนกว่าจะได้เกิดในวรรณะที่สามารถแปลงร่างได้ สื่อสารทางจิตกับพระอริยเจ้า หรือผู้ทรงฌานสมาบัติได้

และต้องรอให้มีพระธุดงค์ระดับนั้น เข้าไปถึง "พื้นที่" หรือ "ภพภูมิ" ที่สามารถติดต่อกันได้ พวกเขาจึงจะได้มีโอกาสเช่นเดียวกับเรา

พญาครุฑ พญานาค จึงมีความสำคัญในทางศาสตร์ลี้ลับ คือเป็นสัตว์วิเศษจากป่าหิมพานต์ ที่แปลงร่างเป็นคนได้ และสื่อสารกับมนุษย์ได้

ซึ่งเราเอา "ความวิเศษ" นั้นมาปรับใช้ในลักษณะต่างๆ ด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์

และมีความสำคัญทางพุทธศาสนา คือแสดงให้เห็นว่า พวกเราโชคดีเพียงใดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และไม่ได้อยู่ในป่าหิมพานต์




ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่ ผมไม่สนใจนะครับ 

ผมแค่ต้องการจะบอกว่า ถ้าพวกเราศึกษาให้มาก พูดคุยกับคนที่รู้จริงให้มาก (หลายท่านยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้)

พวกเราจะหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง เมื่อเข้าไปดูโพสต์ใน Facebook ของกลุ่มคนมีองค์ ร่างทรงพญาครุฑ พญานาคทั้งหลายแหล่ ที่เพ้อเจ้อจินตนาการกันหลุดโลก ด้วยการต่อยอดจากนิยาย หรือวรรณคดี ซึ่งไม่มีสารัตถะของความเป็นจริงเลย

ในขณะเดียวกันที่พวกเราอาจจะรู้สึกสังเวชใจ ที่ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ๆ ออกมาป่าวประกาศกันบ่อยครั้งว่า พวกเขาอยากเกิดเป็นครุฑ อยากเกิดเป็นนาค

...อุตส่าห์สะสมบุญ จนได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ยังจะอยากกลับไปเกิดเป็นสัตว์ ที่ต้องตะเกียกตะกายสั่งสมบารมี เพื่อจะได้ทำบุญได้เหมือนที่คนเราทำ น่าสลดใจแท้


.................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด



6 ความคิดเห็น:

  1. ความจริงคะถึงไม่ถูกใจใครบางคนก็คือความจริง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ใช่ค่ะ แต่ก็เอาที่สบายใจสำหรับแต่ละคนนะคะ ว่ามานับถือองค์เทพแล้ว จะนับถือในสิ่งที่เป็นความจริงหรือความเพ้อฝัน

      ลบ
  2. ครุฑกับนาคนี้ มีความผูกพันธ์กับสังคมไทยมากจริงๆ นะคะ เท่าที่สังเกต ครุฑจะมีความเกี่ยวพันกับคนในระดับสูง เช่น ราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ ส่วนนาคนี่ผูกพันธ์กับชาวบ้านทั่วๆ ไปมากกว่านะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณ O Eka ตั้งข้อสังเกตได้เยี่ยมจริงๆ ค่ะ! ^0^ ความจริงก็เป็นอย่างงั้นค่ะ เพราะทุกวันนี้คนมีองค์พญานาคมาผุดมาเกิดตามหาอดีตคนรักที่พรากจากกันมาหลายภพชาติเต็มไปหมด ขณะที่ครุฑนั้นดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจอยากมีองค์กันเท่าไหร่เลยนะคะ

      ลบ
  3. แต่ทำไมพระท่านเล่าไม่เหมือนที่คุณสาธยายมาละค่ะ ครุฑกับนาคเป็นกึ่งสัตว์กึ่งเทพค่ะ พระบางรูปที่ธุดงในป่าตามถ่ำเขา มักพบพญาครุฑ พญานาคหรือแม้แต่เทวดามาขอฟังธรรมเทศนาจากพระท่านอยู่บ่อยๆ แถวเชียงดาวมีเยอะค่ะ พระท่านบอก ลองไปหาฟังในยูทูปที่เป็นพระท่านจริงๆพูดนะค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ที่อาจารย์นำมาเขียนนี้ก็ได้รับฟังมาจากพระจริงๆ และฤาษีจริงๆ ที่ท่านมีฌานสมาบัติแก่กล้าจริงๆ ได้เข้าไปในป่าหิมพานต์มาแล้วจริงๆ ค่ะ

      เรื่องแบบนี้ แต่ละคนก็คงต้องเชื่อพระเกจิอาจารย์ที่ตัวเองนับถือไว้ก่อนเป็นธรรมดาค่ะ

      แต่ที่อาจารย์กิตติท่านเขียน นี่คือคัดเอามาเฉพาะในส่วนที่ตรงกัน จากมติของหลายๆ ท่าน ไม่ใช่ฟังอยู่แค่ท่านเดียวแล้วเอามาเขียน

      เพราะประสบการณ์ หรือการสัมผัสหยั่งรู้ของบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ใช่สิ่งที่ อาจารย์จะใช้ตัดสินอะไรได้ค่ะ

      เคยได้ยินอาจารย์ท่านบอกด้วยค่ะ ว่าจริงๆ แล้ว ในทางพุทธศาสนานั้น สัตว์เป็นเทพไม่ได้นะคะ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เป็นเทพได้ค่ะ เพราะการเป็นเทพนั้นต้องสะสมบุญบารมีจากการได้เกิดเป็นมนุษย์ก่อนค่ะ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น