วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อิตถีโพธิสัตว์

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




ศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน โดยเฉพาะในฝ่ายทิเบต อันพัฒนามาจากนิกายมหายานนั้น มีพระโพธิสัตว์ เทพเจ้าและเทพนารีเป็นอันมาก ซึ่งมิได้ปรากฏในพุทธประวัติ แต่กลับทรงมีบทบาทสำคัญเป็นส่วนหนึ่งของหลักการทางศาสนา ที่เห็นได้ชัดก็คือ พระโพธิสัตว์ตารา (Tara) และพระโพธิสัตว์เพศหญิงอีกหลายองค์ ทรงได้รับการสักการบูชาในระดับสูงมาก

ยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่ชาวยุโรปและอเมริกันจำนวนมากเกิดความตื่นตัวและให้ความสนใจในศาสนาพุทธวัชรยานทิเบต ที่ได้รับการเผยแพร่และตั้งรกรากอย่างมั่นคงในโลกตะวันตกมาหลายสิบปีแล้ว เหล่านี้ก็ยิ่งทรงเป็นที่รู้จักแพร่หลาย และทรงได้รับการสักการะบูชามากกว่าพระโพธิสัตว์ที่สำคัญที่สุดในทางมหายานและวัชรยาน อย่างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเสียด้วยซ้ำไป

การที่ได้รับความนิยมในการนับถือบูชาอย่างสูงในระดับสากล โดยเฉพาะในสังคมของผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาในด้านปัญญาญาณเช่นนี้ ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการโฆษณาชวนเชื่อ แต่แสดงให้เห็นถึงคุณวิเศษหลายประการของอิตถึโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้นับถือชาวตะวันตกที่ปฏิเสธทั้งโลกวิทยาศาสตร์ และกรอบแห่งความศรัทธาตามแบบศาสนาคริสต์ คนเหล่านี้ย่อมจะไม่รับเชื่อสิ่งใดด้วยเพียงอาศัยจินตนาการ ความงมงาย และความเพ้อฝันเป็นแน่

ความจริง คนไทยเราก็คุ้นเคยกับเทวปฏิมาของพระโพธิสัตว์เพศหญิงเหล่านี้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อย ประติมากรรมรูปเทวสตรีฉลองพระองค์แบบทิเบตขนาดห้อยคอและขนาดตั้งหน้ารถ ซึ่งคนไทยเราเอามาขายในนามของพระแม่อุมา หรือพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมปางทิเบตนั้น แท้ที่จริงล้วนเป็นเทวรูปของ พระศยามตาราโพธิสัตว์ ทั้งสิ้น

และ ณ เวลานี้ เทวปฏิมาของพระแม่เจ้าทั้งหลายเหล่านี้ยิ่งปรากฏให้เห็นมากขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในตลาดท่าพระจันทร์ที่กล่าวแล้ว ไปจนถึงร้านที่จำหน่ายเทวรูปต่างๆ ในศาสนาฮินดู ไม่ว่าจะดำเนินกิจการโดยชาวอินเดียหรือชาวไทยก็ตาม โดยเฉพาะผู้ค้าเทวรูปแหล่งใหญ่ในท่าพระจันทร์รายหนึ่งถึงกับยืนยันว่า พระทิเบตขณะนี้กำลังได้รับความนิยมมากทีเดียว

ผมจึงเห็นสมควรนำเรื่องราวของอิตถึโพธิสัตว์ที่สำคัญในศาสนาพุทธนิกายวัชรยานเหล่านี้ มากล่าวถึง โดยสังเขปในบทความนี้ เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้มีอะไรที่เป็นเหมือน shortnote สำหรับเรื่องราวของอิตถีโพธิสัตว์เหล่านี้โดยเฉพาะ ส่วนถ้าใครอยากอ่านยาวๆ ก็มี website ภาษาไทยกล่าวถึงโดยละเอียดอยู่แล้วทุกองค์ หรือจะให้ผมเขียนเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คก็ได้นะครับ ถ้ามีเสียงเชียร์มากพอ

จะขอลำดับเรื่องราวของอิตถีโพธิสัตว์แต่ละองค์ ตามความนิยมในปัจจุบันนะครับ





พระโพธิสัตว์ตารา (Tara) ถือกำเนิดจากรัศมีสีเขียวอันเปล่งออกมาจากพระเนตรของพระธยานิพุทธอมิตาภะ อีกคัมภีร์หนึ่งว่าพระนางตาราเกิดจากน้ำตาของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เมื่อมองเห็นว่าสัตว์โลกมีแต่ความทุกข์ น้ำพระเนตรของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหยดหนึ่งร่วงลงไปในหุบเขาเกิดเป็นทะเลสาบ ต่อมาก็มีดอกบัวทิพย์ดอกหนึ่งผุดขึ้นมาในทะเลสาบนั้น เมื่อดอกบัวบานออกภายในก็ปรากฏรูปพระนางตารา ในขณะที่ตำนานบางฉบับกล่าวว่า พระนางตาราเกิดจากรังสีธรรมของพระอมิตาภะพุทธะ

พระนางตาราทรงได้รับการบูชาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ - ๑๑ ในอินเดียเหนือ และแพร่หลายที่สุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๗ โดยพระภิกษุอสังคะเป็นผู้ริเริ่ม โดยถือว่าเป็นชายาของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

เชื่อกันว่า แนวคิดการบูชาพระนางตาราเริ่มขึ้นในอินเดียเพื่อต่อต้านพิธีกรรมสตีของอินเดียครับ

พระนางทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นมารดาของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในด้านของกรุณา ซึ่งยังคงเป็นคติความเชื่อของชาวมองโกเลียอยู่ในปัจจุบันนี้ ภาพลักษณ์ของพระนางส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระนางสิริมหามายาเทวี มารดาของพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า

พระนางตาราทรงได้รับความนิยมนับถือมากในทิเบตจนกระทั่งปัจจุบันนี้ทุกวันนี้ครับ เรียกกันว่า พระเทวีโดลมา (Dol-ma) ทรงมีทิพยฐานะเป็นเทวีแห่งความเมตตากรุณาและทรงเป็นราชินีสวรรค์ ว่ากันว่าศาสนาพุทธวัชรยานทิเบตนั้นนับถือพระนางเป็นเทพสูงสุดเลยทีเดียว 

แต่เดิมพระนางตารามีเพียง ๒ รูป คือวรรณะขาวและเขียว ต่อมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีถึง ๒๑ รูป หรือ ๒๑ ปางด้วยกัน แต่ที่นิยมนับถือกันมากนั้นมีอยู่เพียง ๒ ปาง เท่านั้น คือ

พระสิตตาราโพธิสัตว์ หรือพระนางตาราวรรณะขาว บางทีก็เรียกว่า พระจินดามณีจักรตารา เป็นเทวีประจำเวลากลางวัน ทรงประทานความเข้าถึงพุทธธรรม ความเข้าถึงธารณีมนต์ทุกบท ทรงให้จิตวิญญาณในการเข้าถึงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ทรงประทานโอกาสในการทำความดีให้แก่ผู้บูชาได้หลุดพ้นจากวิบากกรรมทั้งปวง ทรงเป็นองค์แรกที่ผู้สนใจใคร่รู้และศรัทธาในพุทธนิกายมหายานวัชรยานควรบูชา
        
พระศยามตาราโพธิสัตว์ หรือพระนางตาราวรรณะเขียวแก่ เป็นเทวีประจำเวลากลางคืน ประทับนั่งห้อยพระบาทบนดอกบัว มี ๒ กร พระหัตถ์หนึ่งทำปางวรัทมุทรา อีกพระหัตถ์ถือดอกบัวตูมสีขาว เมื่อเป็นชายาของพระธยานิพุทธอโมฆสิทธิจะประทับนั่งขัดสมาธิ และบนพระหัตถ์ที่ถือดอกบัวนั้นจะมีรูปวิศววัชระ พระศยามตาราโพธิสัตว์ยังมีอีกหลายรูปและมีนามเฉพาะในแต่ละรูปนั้นเช่นเดียวกับพระสิตตารา และเป็นวรรณะที่ได้รับความนิยมนับถือมากในทิเบต
        
วรรณะอื่นๆ ของพระนางตาราที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งเช่นกัน คือ กุรุกุลลา หรือวรรณะแดง และ เอกชฎา หรือวรรณะฟ้า ทั้งสองวรรณะนี้เป็นพระนางตาราในปางดุร้ายทั้งสิ้น

สรุปแล้วพระนางตาราทรงมีวรรณะครบตามตระกูลพระธยานิพุทธ ๕ ตระกูล จึงทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นศักติของพระธยานิพุทธทั้ง ๕ องค์ด้วย

มนต์สำหรับบูชาพระสิตตาราโพธิสุตว์ คือ โอม ตาเร ตุตตาเร ตุเร มามะ อายุหะ ปุณญะ ชะญาณะ ปุษติม กุรุ สวาหะฯ

และมนต์สำหรับบูชาพระศยามตาราโพธิสัตว์ คือ โอม ตาเร ตุตตาเร ตุเร สะวาหะฯ

อิตถึโพธิสัตว์ ที่ได้รับความนิยมบูชาเป็นอันดับสองรองจากพระนางตารา ก็คือ พระนางปรัชญาปารมิตา (Prajnaparamita)





ในเทววิทยามหายานอธิบายไว้ว่า ทรงเป็นมหาเทวีที่เกิดจาก มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖-๑๒ พระนางทรงมีฐานะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภาคสำแดงของพระอักโษภยะพุทธะ เป็นสัญลักษณ์ของสุญตา

คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นคัมภีร์สำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายานครับ ชาวพุทธในฝ่ายมหายานเชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์เก่าแก่มีมาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า มนุษย์ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีปรีชาญาณพอจะศึกษาคัมภีร์ฉบับนี้ได้ จึงทรงมอบให้พวกนาครักษาไว้ในเมืองบาดาล ครั้นเวลาล่วงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๔ นาคารชุนจึงได้ไปนำคัมภีร์นี้มาจากเมืองบาดาลมาให้ชาวพุทธได้ศึกษาเล่าเรียนกัน
        
มหาเทวีปรัชญาปารมิตาทรงได้รับความนิยมมากในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวีผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ผู้ที่ต้องการศึกษาวิชาความรู้โดยเฉพาะพระธรรมให้แตกฉานจะต้องบูชาพระนางปรัชญาปารมิตา ในคัมภีร์สาธนะมาลามีสาธนะถึง ๙ บทที่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับมหาเทวีองค์นี้ (สาธนะที่ ๑๕๑-๑๕๙) และมีอยู่ ๒ บทที่กล่าวว่าพระนางทรงอยู่ในตระกูลของพระธยานิพุทธอักโษภยะ

แต่โดยทั่วไปแล้ว มิได้ถือกันพระนางสังกัดตระกูลใดแน่นอน เพราะในเทวรูปพระนางปรัชญาปารมิตาที่ทรงมีพระพุทธรูปอยู่บนศิราภรณ์นั้น พระพุทธรูปองค์นั้นก็มีทั้งที่เป็นพระธยานิพุทธอักโษภยะ และพระธยานิพุทธอมิตาภะ
        
เทวรูปพระนางปรัชญาปารมิตามีเศียรเดียว และส่วนมากจะมี ๒ กร ที่มี ๔ กรก็มีบ้าง และมี ๓ วรรณะ คือ สิตปรัชญาปารมิตา หรือวรรณะขาว, ปิตปรัชญาปารมิตา หรือวรรณะเหลือง และ กนกปรัชญาปารมิตา

มนต์สำหรับบูชาพระนางปรัชญาปารมิตา คือ โอม คะเต คะเต ปะระคะเต ปะระสัมคะเต โพธิ สะวาหะฯ

พระโพธิสัตว์เพศหญิงในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน-วัชรยานนอกจากนี้ ยังมีอีกหลายองค์ที่ทรงได้รับความนิยมนับถือกันมาก บางองค์กลายร่างมาจากธารณีมนต์และภูมิต่างๆ ตลอดจนบารมี (ปารมิตา) ต่างๆ อีกด้วย

ดังเช่น ในคัมภีร์นิษปันนโยควลีได้พรรณนาถึงเทพนารีทั้ง ๑๒ ที่กลายร่างจากธารณีมนต์คือ พระสมาตี พระรัตโนลกา พระอุษณีษวิชยา พระมารี พระพรรณศวรี พระชางคุลี พระอนันตมุขี พระจุณฑา พระปรัชญาวรรธนี พระสรวกรรมาวรณวิโศธนี พระอักษญาณการัณฑา และพระสรวพุทธธรรมโกศวดี เทพนารีทั้งหมดนี้อยู่ในตระกูลพระธยานิพุทธอโมฆสิทธิ

ในบรรดาอิตถีโพธิสัตว์เหล่านี้ ที่ทรงมีบทบาทเป็นที่นับถือกันแพร่หลายอยู่ในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน-วัชรยาน อาจลำดับได้ดังต่อไปนี้ครับ





๑) พระมาริจีโพธิสัตว์ (Marichi) เป็นเทวีแห่งแสงอาทิตย์ยามเช้า ในทางเทววิทยาอธิบายว่ากลายรูปมาจาก พระอุษาเทวี ในคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ในคัมภีร์สาธนะมาลามีสาธนะถึง ๑๖ บทที่บรรยายถึงเทพนารีองค์นี้ในรูปแบบต่างๆ กันถึง ๖ รูปแบบ มี ๑, ๓ และ ๖ พักตร์ และมีพระกร ๒, ,๑๐ และ ๑๒ กร ตามคติเดิมทรงปราศจากพระชงฆ์เช่นเดียวกับพระราหู แต่นิยมวาดหรือปั้นหล่อให้มีพระชงฆ์ครบสมบูรณ์

อิตถีโพธิสัตว์องค์นี้ มักประทับบนราชรถที่ลากด้วยหมู ๗ ตัว บังคับโดยสารถีซึ่งไม่มีขาเช่นกัน เหมือนกับสุริยเทพในศาสนาพราหมณ์ที่ทรงราชรถลากด้วยม้า ๗ ตัว บังคับโดยพระอรุณซึ่งไม่มีพระชงฆ์ครับ

พระมาริจีอยู่ในตระกูลของพระธยานิพุทธไวโรจนะ ทรงได้รับการนับถือกันมากในทิเบตและจีน โดยพระลามะในทิเบตนิยมบูชาเทพนารีองค์นี้ในเวลาเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

พระนางทรงเป็นองค์เดียวกับ เต๋าบ้อ หรือพระแม่ดวงดาวในศาสนาเต๋าของจีน ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะองค์ประธานของกิ่วอ๊วง หรือคณะเทพยดาทั้ง ๙ ในเทศกาลกินเจของชาวจีนโพ้นทะเล รวมทั้งในประเทศไทยด้วยครับ

มนต์สำหรับบูชาพระมาริจี คือ โอม มาริจี สะวาหะฯ





๒) พระจุณฑา หรือ จุณฑีโพธิสัตว์ (Chunda) เป็นหนึ่งในกลุ่มเทวี ๑๒ องค์ที่กลายร่างมาจากธารณีมนตร์ แต่บางคัมภีร์เช่นในคัมภีร์มัญชูวัชระมณฑล หรือแม้แต่คัมภีร์นิษปันนโยควลีเองกลับกล่าวว่าทรงอยู่ตระกูลของพระธยานิพุทธไวโรจนะ เทพนารีองค์นี้ทรงมีพระนามอื่นอีก เช่น จุนทรา จันทะ จันทรา หรือจุณฑวัชรี ในคัมภีร์สาธนะมาลามีสาธนะอยู่ ๓ บทบรรยายถึงพระนางว่าทรงมี ๔ กร หรือ ๑๖ กร โดยรูปที่มี ๔ กรนั้นสองพระหัตถ์ทำปางสมาธิ อีกสองพระหัตถ์ถือสร้อยประคำและคัมภีร์

ส่วนรูปที่มี ๑๖ กรจะถือสร้อยประคำ ดอกบัว หม้อน้ำอมฤต พระขรรค์ ขวาน คันศร ลูกศร พระหัตถ์ที่เหลืออาจทำปางวรัทมุทราและวิตรรกะมุทรา

การบูชาพระจุณฑาทำได้โดยท่องมนต์บทจุณฑาธารณี เชื่อกันว่าพระนางจะสถิตอยู่กับสานุศิษย์ผู้นั้นจนกว่าจะบรรลุสิทธิ





๓) พระชางคุลีโพธิสัตว์ (Janguli) เป็นหนึ่งในกลุ่มเทวี ๑๒ องค์ที่กลายร่างมาจากธารณีมนตร์เช่นกัน แต่ในทางเทววิทยาว่าเป็นเทพนารีองค์เดียวกับ พระมนัสเทวี หรือพระมนสาเทวีของศาสนาฮินดู

ในคัมภีร์สาธนะมาลากล่าวว่าพระนางปรากฏมาแล้วตั้งแต่พุทธกาล โดยคัมภีร์มหายานฉบับอื่นๆ ก็กล่าวว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสบอกมนตร์ประจำเทวีองค์นี้แก่พระอานนท์ ชาวพุทธฝ่ายมหายานนับถือกันว่าทรงเป็นเทวีผู้ปกปักรักษามนุษย์จากอันตรายของนาคและงู ทั้งอาจรักษาคนที่ถูกพิษงูได้ด้วย และในคัมภีร์สาธนะมาลาก็มีมนต์อยู่ ๔ บทที่เกี่ยวข้องกับเทพนารีองค์นี้ ซึ่งใช้ถอนพิษงูจากแผลที่ถูกงูกัด

พระชางคุลีทรงมีวรรณะขาว มีเศียรเดียวสวมชฎามุกุฎประดับด้วยพังพานนาค ฉลองพระองค์ขาวประดับเพชรและนาคสีขาว (งูเผือก) และยังมีนาคที่ทำเป็นต่างหู และเข็มขัดอีกด้วย พระนางประทับบนนาคหรืองู หรือสัตว์ชนิดอื่นอีก ทรงมี ๔ กร สองพระหัตถ์เล่นพิณ อีกพระหัตถ์จับงูเผือก เทวรูปเช่นนี้ปรากฏทั้งในจีนและทิเบต ส่วนในอินเดียนั้นจะเหมือนกับพระมนัสเทวีมาก คือไม่ถือพิณ





๔) พระมหามายุรีโพธิสัตว์ (Mayuri) ทรงกลายร่างมาจากคาถาที่ใช้แก้พิษงู เป็นเทพนารีองค์หนึ่งในคณะเทวีปัญจรักษา และอยู่ในตระกูลของพระธยานิพุทธอโมฆสิทธิ พระนางมี ๒ วรรณะที่เด่นๆ คือเขียวและเหลือง ถ้าวรรณะเขียวมี ๓ เศียร ๖ กร และมีรูปพระธยานิพุทธอโมฆสิทธิบนศิราภรณ์ แต่ถ้าเป็นวรรณะเหลืองมีเศียรเดียว ๒ กร พระหัตถ์ขวาถือนกยูง พระหัตถ์ซ้ายทำปางวรทมุทรา และไม่มีรูปพระธยานิพุทธอโมฆสิทธิบนศิราภรณ์

พระมหามายุรีมักปรากฏพระองค์พร้อมกับพระสิตตาราและพระมาริจี หรือบางครั้งก็ปรากฏพร้อมกับพระชางคุลีและพระเอกชฎา พระนางทรงได้รับการนับถือทั้งในอินเดีย เนปาล จีน ทิเบต และญี่ปุ่น พระนามภาษาญี่ปุ่นคือ คุชาเมียวโอ

มนต์สำหรับบูชาพระมหามยุรี คือ โอม มะยุรา กรันเต สะวาหะฯ




        
๕) พระสรัสวดีโพธิสัตว์ (Saraswati) เป็นมหาเทวีที่ศาสนาพุทธนิกายมหายานได้รับมาจากศาสนาพราหมณ์ ทรงเป็นเทวีแห่งวิชาความรู้ ดนตรีและกาพย์กลอน ชาวพุทธมหายานได้จัดให้เป็นศักติของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีซึ่งเป็นเทพแห่งวิชาการเช่นกัน คัมภีร์สาธนะมาลาบรรยายว่าผู้ที่ต้องการความฉลาดรอบรู้ต้องบูชาพระสรัสวดี
        
พระสรัสวดีทรงมี ๔ ปางที่สำคัญ คือ

มหาสรัสวดี พระหัตถ์ขวาทำปางวรัทมุทรา พระหัตถ์ว้ายถือดอกบัวขวา มีเทพบริวารแวดล้อม ๔ องค์

วัชรวีณาสรัสวดี ทรงถือวีณาในพระหัตถ์ทั้งสอง

วัชรศารทา มี ๓ พระเนตร ทรงสวมศิราภรณ์ประดับด้วยพระจันทร์ พระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์ พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว ประทับนั่งบนดอกบัว

วัชรสรัสวดี ทรงถือวัชระและดอกบัวซึ่งมีคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาปรากฏอยู่ด้วย
        
รูปตันตระของพระสรัสวดีในทิเบตจะทรงมีวรรณะแดง มี ๓ เศียร ๖ กร ส่วนในญี่ปุ่นเป็นรูปสาวงามถือพิณบีวะ เรียกว่า เบ็นเท็น หรือ ไดเบ็นไซเท็น และเป็นหนึ่งในคณะเทพแห่งโชคลาภ ๗ องค์ของศาสนาชินโต

มนต์สำหรับบูชาพระสรัสวดี คือ โอม ปรัชญา วรรธะนี ชะวาลา เมธาวรรธะนี ธีริ ธีริ พุทธิวรรธะนี สะวาหะฯ




        
๖) พระภฤกุฎีโพธิสัตว์ (Bhrikuti) ตามคัมภีร์สาธนะมาลาว่าทรงอยู่ในตระกูลของพระธยานิพุทธอมิตาภะ และปรากฏพระองค์พร้อมกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (ในรูปที่เรียกว่าขสรรปณะ) พร้อมด้วยพระนางตารา พระสุธนกุมารและพระหัยครีพ หรือปรากฏพระองค์เฉพาะกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (ในรูปที่เรียกว่า รักตโลเกศวร) และพระนางตารา
        
พระภฤกุฎีทรงมีวรรณะเหลือง มีเศียรเดียว ๔ กร ทำปางวรัทมุทรา ถือสร้อยประคำ กลศ (หม้อน้ำ) และตรีศูล บนศิราภรณ์มีรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะ ถ้าปรากฏร่วมกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในรูปขสรรปนะ จะทรงมี ๔ กร ทำปางพุทธศรามณะ (แสดงความเคารพ) ถือสร้อยประคำ ตรีศูลและหม้อน้ำ เทวรูปเช่นนี้นิยมกันมากในชวาโบราณ




        
๗) พระโพธิสัตว์วสุธารา (Vasudhara) เป็นองค์เดียวกับ พระศรีวสุนธรา หรือพระแม่ธรณีในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท แต่ทางมหายานมิได้ให้ความสำคัญกับทิพยภาวะของความเป็นพระแม่ธรณี และบทบาทในพุทธประวัติตอนมารผจญ มักจะบรรยายว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์มากกว่า และในทางมหายานนั้นก็ทรงเป็นศักติของพระโพธิสัตว์ชัมภล หรือพระกุเวรซึ่งได้รับมาจากศาสนาฮินดู

ในคัมภีร์สาธนะมาลามีสาธนะอยู่ ๓ บทกล่าวถึงเทพนารีองค์นี้ บทหนึ่งกล่าวว่าพระนางทรงอยู่ในตระกูลพระธยานิพุทธอักโษภยะ แต่อีก ๒ บทกล่าวว่าทรงอยู่ในตระกูลของพระธยานิพุทธรัตนสัมภวะ พระวสุธาราทรงมีพระเศียรเดียว ๒ กร ทำปางวรทมุทราและทรงถือรวงข้าว บนศิราภรณ์มีรูปพระธยานิพุทธอักโษภยะ แต่ในทางตันตระซึ่งพบเห็นได้ง่ายกว่านั้น จะมีถึง ๓ เศียรและ ๖ กร

มนต์สำหรับบูชาพระวสุธารา คือ โอม วะสุธาริณี สะวาหะฯ หรือ โอม ศรี วะสุธารา รัตนะ นิธานะ กะเษตรี สะวาหะฯ





๘) พระหริตีโพธิสัตว์ (Hariti) เดิมเป็นยักษิณีมีนามว่า อภิรดี มีลูกถึง ๕๐๐ ตน แต่ชอบกินเด็ก ได้ขโมยเด็กในเมืองราชคฤห์ไปกินเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงนำลูกคนเล็กที่นางรักที่สุดไปซ่อนไว้ นางเที่ยวหาจนทั่วก็ไม่พบ จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยความเศร้าโศกเสียใจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่าลูกของนางมีตั้ง ๕๐๐ หายไปคนเดียวทำไมจึงเดือดร้อน ทั้งๆ ที่นางไปกินลูกของมนุษย์ทั่วไปไม่มีความสงสารเลย นางจึงได้คิดและกลับใจ สัญญาว่าจะเลิกกินเด็กโดยเด็ดขาด พระพุทธเจ้าจึงคืนลูกให้ และประชาชนชาวราชคฤห์ก็สัญญาว่าแต่ละครอบครัวจะคอยหาอาหารอื่นให้นางเป็นการตอบแทน

เทวรูปพระหริติมักจะนั่งห้อยขาข้างหนึ่งและอุ้มเด็กไว้บนตัก ส่วนอีกพระหัตถ์หนึ่งถือผลทับทิม ถ้าเป็นรูปยืนจะอุ้มเด็กไว้แนบอก และมีเด็กล้อมรอบ ๕ คน แทนลูกทั้ง ๕๐๐ ของพระนาง บางครั้งปรากฏพร้อมพระสวามีคือยักษ์ปัญจิกาซึ่งถือหอกไว้ในมือขวาและถือถุงเงินในมือซ้าย ในทิเบตเทวรูปพระนางหริติทรงกอดเด็กไว้และพระหัตถ์ทำปางวรทมุทรา อีกพระกรโอบกระรอกไว้และพระหัตถ์ถือภาชนะใส่เพชรพลอย

มนต์บูชาพระหริติ คือ โอม หะริติ ปิณฑะเก ประติจจะ สะวาหะฯ

ปัจจุบันอิตถีโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จะได้รับความนิยมสูงสุดในศาสนาพุทธวัชรยานสายทิเบตครับ ส่วนในทางพุทธมหายานจีนที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะมหายานจีนไม่ให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิง

จนเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้จึงมีการ promote บางองค์ขึ้นมา เช่น พระมหามายุรีโพธิสัตว์ ซึ่งที่จริงก็มีคติการบูชาอย่างเงียบๆ แต่มั่นคงในหมู่ชาวจีนมานานแล้ว และ พระมาริจีโพธิสัตว์ ซึ่งองค์หลังนี้ก็เป็นเพราะอิทธิพลความโด่งดังของของเทศกาลกินเจของชาวจีนโพ้นทะเลนั่นเอง (ต้องเน้นว่า จีนโพ้นทะเล เพราะจีนแผ่นดินใหญ่เขาไม่มีเทศกาลกินเจแบบนี้)

ส่วนพระโพธิสัตว์ตารา ซึ่งชาวทิเบตและชาวตะวันตกนิยมบูชาสูงสุด ทางจีนก็ยังเฉยๆ นะครับ เพราะบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมแทนอยู่แล้ว กล่าวกันว่า มหายานจีนมีพระโพธิสัตว์กวนอิม วัชรยานทิเบตก็มีพระโพธิสัตว์ตารา ที่ทรงอานุภาพในด้านเมตตาบารมีเหมือนๆ กัน จึงไม่จำเป็นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องรับของอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปเพิ่มอีก

คนขายพระในท่าพระจันทร์ ถึงได้เรียกเทวรูปพระนางตาราว่า กวนอิมทิเบต ไงครับ


.............................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด



4 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณคะได้ความรู้มากมาย

    ตอบลบ
  2. ชอบบทความนี้มากค่ะ ตรงกับเรื่องที่อยากอ่านมานานมากจริงๆ แต่ไม่ค่อยมีใครสรุปให้กระชับแบบนี้

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เรื่องทางมหายาน-วัชรยาน เค้าชอบเขียนกันยาวๆ แบบว่าเป็นวิชาการค่ะ ส่วนอาจารย์ก็ถนัดอยู่แล้วเรื่องย่ออะไรที่ยากๆ ให้เข้าใจง่าย

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น