วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

พระราหู และเทวดานพเคราะห์





อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต ที่ผมได้รับมาตลอด ๒๐ ปีในการทำงานด้านเทววิทยา

นั่นคือ พระราหู และเทพนพเคราะห์ มีจริงหรือไม่?

และมีอานุภาพที่จะดลบันดาลให้ชีวิตของเรา มีอันเป็นไปต่างๆ ได้จริงหรือไม่?

ความจริง ผมอธิบายไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ก็หาซื้อยากแล้ว

ดังนั้น การนำเรื่องนี้มาเขียนใน blog นี้ นอกจากจะทำให้ได้รายละเอียดที่ น่าจะเป็นที่พอใจของทุกคนที่สงสัยมากกว่าในหนังสือดังกล่าว ยังสะดวกแก่การค้นอ่านด้วยนะครับ

เพราะทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่อ่านหนังสือจากจอคอมพิวเตอร์กันเป็นปกติแล้ว

เอาละครับ. อารัมภบทมามากแล้ว เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน

คำว่า เทพนพเคราะห์ ในทางเทววิทยานั้น โดยทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าเป็นเทพที่มีอยู่จริงหรอกครับ

แต่เป็น บุคลาธิษฐาน (Personification)

ซึ่งเป็นเครื่องช่วยจำ สำหรับผู้ศึกษาโหราศาสตร์ ในเรื่องของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ซึ่งจะส่งอิทธิพลดี-ร้ายต่อชีวิตมนุษย์ ตามคุณสมบัติแห่งดาวนั้นๆ

ดาวเคราะห์เหล่านี้ แบ่งเป็นพวกที่ให้คุณต่อมนุษย์ เรียกว่า ศุภเคราะห์ กับพวกที่ให้โทษต่อมนุษย์ เรียกว่า บาปเคราะห์

อิทธิพลของดาวเคราะห์ที่มีต่อชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็น อุปกรณ์อย่างหนึ่ง ในการให้ผลของ วิบากกรรม ทั้งดีและชั่ว ที่คุณเองน่ะแหละครับ ได้ทำมาในอดีตชาติ

นั่นหมายถึง การที่คุณเกิดมาในโลกนี้ ณ ช่วงเวลาที่มีดาวศุภเคราะห์อะไรบ้างส่งอิทธิพลกับคุณ หรือมีดาวบาปเคราะห์อะไรบ้างส่งอิทธิพลกับคุณ

นั่นก็เพราะ ผลกรรมในอดีตของคุณ ที่บันดาลให้เป็นไปอย่างนั้นไงครับ

เพราะฉะนั้น การที่ชะตาชีวิตของคุณ ถูกกำหนดด้วยตำแหน่งของดาวนพเคราะห์แล้ว ตั้งแต่ ณ เวลาที่คุณเกิด จึงเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้

เพียงแต่คุณอาจบรรเทา หรือลดทอนในเรื่องร้าย และเพิ่มเติมในสิ่งที่ดีได้ด้วย กรรมใหม่ หรือกรรมปัจจุบัน ซึ่งก็มีอยู่หลายทาง

เช่นการทำบุญมากๆ และพยายามดำรงชีวิตให้เหมาะกับดวงชะตาของตนเอง

ดูว่า ทำอะไรแล้วดี ก็ไปต่อยอดจากจุดนั้น อะไรที่ทำแล้วไม่ดี ก็อย่าไปฝืน

แล้วก็พยายามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองตัว เป็นต้น


พระพฤหัสบดี ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
จัดสร้างขึ้น เป็นตัวอย่างหนึ่งของ บุคลาธิษฐาน ที่มาจากปกรณ์โหราศาสตร์ไทย

แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณรู้ว่าดาวบาปเคราะห์ดวงไหนส่งผลร้ายกับคุณ คุณไปทำพิธีกราบไหว้บูชาดาวบาปเคราะห์ดวงนั้น แล้วจะเป็นเหตุให้เรื่องร้ายๆ ในชีวิตของคุณบรรเทาลง

หรือดาวบาปเคราะห์นั้น ได้รับการเซ่นสังเวยจากคุณแล้ว จะเกิดใจดีมีเมตตา เปลี่ยนเรื่องร้ายในชีวิตคุณให้กลายเป็นดี

มันไม่ใช่นะครับ

คุณจะไปไหว้ ไปทำพิธีใหญ่โตขนาดไหน คุณก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคุณไม่ได้ เพราะมันเป็นผลกรรมของคุณเอง

ดาวบาปเคราะห์พวกนั้น มันไม่มีสมอง ไม่มีวิจารณญาณอะไรที่จะเลือกว่า ใครไหว้มันแล้ว มันก็จะลำเอียงช่วยเหลือ หรือผ่อนหนักเป็นเบาหรอกครับ

เพราะมันเป็นดาวเคราะห์ เป็นดาวจริงๆ อย่างที่คุณเห็นในสารคดีทางดาราศาสตร์น่ะแหละ

มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันไม่ใช่เทพ เป็นแค่แหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อชีวิตของคุณ ตามภาวะที่มันเป็นเท่านั้น

มันมิได้เป็นเทพอย่างแท้จริง เหมือนพระคเณศ พระลักษมี พระแม่กวนอิม พระศิวะฯลฯ ที่ท่านมีตัวตนจริง ใครเข้าถึงท่าน ท่านก็เมตตาช่วยเหลือ

แต่นี่คือดาวเคราะห์ ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน และส่งอิทธิพลให้กับทุกๆ คนในโลกนี้ ตามตำแหน่งที่มันโคจรไป

เป็นสิ่งที่มันทำให้เกิดโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยความคิด หรือสติปัญญาของมันเองครับ

เหมือนไฟมันร้อน คุณไปโดนมัน มันก็เผาคุณ

คุณจะนั่งทำพิธีกราบไหว้บูชาสักเท่าใด มันก็ไม่ลดความร้อนลงหรอกครับ

เพราะมันเป็นไฟ มันก็ต้องร้อน

ก็ขนาดกองไฟตรงหน้าคุณ คุณยังทำพิธีให้มันหายร้อนไม่ได้ นับประสาอะไร กับการที่คุณจะนั่งทำพิธีกรรมในจุดเล็กจิ๋วเดียวของโลกใบนี้ เพื่อจะให้มีผลกับพลังงานมหาศาล ที่มาจากอวกาศ

เสียเวลาเปล่าครับ

ที่ผมสาธยายมานี้ คือหลักการทั่วไป เกี่ยวกับเทพนพเคราะห์

ทีนี้ ก็มีประเด็นอยู่ว่า ดาวนพเคราะห์นั้นไม่ใช่เทพก็จริง แต่มีเทพที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับดาวเหล่านี้ ๒ องค์ ที่มีอยู่จริง

คือ สุริยเทพ/เทวี (Sun God/Goddess) และ จันทรเทพ/เทวี (Moon God/Goddess)

เราจะต้องแยกเทพเหล่านี้ ออกจากบุคลาธิษฐานของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ตามตำราโหราศาสตร์นะครับ

เพราะ สุริยเทพ/เทวี และ จันทรเทพ/เทวี ที่มีตัวตนจริง เป็นการพัฒนาทางวิญญาณของมนุษย์ ผู้ซึ่งในอดีตเมื่อยังมีชีวิตอยู่

คือเป็นผู้หยั่งถึง หรือสำเร็จในวิชามายาศาสตร์ ที่จะควบคุม-ดัดแปลง พลังจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ซึ่งเรียกกันว่า สุริยศาสตร์ และ จันทรศาสตร์ ได้ระดับหนึ่ง


พระสกันท์ หรือพระกรรติเกยะ เดิมเป็นพระสุริยเทพของอินเดียใต้
ศาสนาฮินดูเปลี่ยนให้เป็นเทพสงคราม โอรสของพระศิวะ

และผู้สำเร็จวิชาสุริยศาสตร์ และจันทรศาสตร์ ในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ก็ย่อมมีหลายคน แตกต่างกันไปตามความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภูมิภาค และยุคสมัย

คนเหล่านี้เมื่อตายไปแล้ว ย่อมได้รับการยกย่องบูชาเป็นเทวะ ในระดับที่แตกต่างกัน ตามพลังอำนาจที่ตนมีอยู่ครับ

มิใช่ว่าเป็นสุริยเทพ สุริยเทวีแล้ว จะต้องมีพลังสุริยะที่ทัดเทียมกันหมด

หรือเป็นจันทรเทพ จันทรเทวีแล้ว จะต้องมีพลังจันทราที่เหมือนกัน เป็นอย่างเดียวกัน

สุริยเทพ/เทวี จันทรเทพ/เทวี จึงเป็นเทวะเพียง ๒ องค์ จากเทพนพเคราะห์ทั้งหมด ที่มีตัวตนจริง บูชาได้ผลจริง และประทานพรได้เหมือนกับเทพเจ้าทั้งหลาย ที่ผมยกตัวอย่างไปแล้ว

ส่วนดาวนพเคราะห์อื่นๆ ที่คัมภีร์โบราณมักระบุไว้ว่าเป็นเทพนั้น ถ้าจะพิเคราะห์-พิจารณ์กันในทางเทวศาสตร์ ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันนะครับ ว่าเป็นเทพที่มีตัวตนจริง

นั่นก็เพราะ ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะทำให้เชื่อได้ว่า มีปรมาจารย์บางท่านในอดีต ที่สำเร็จวิชาเกี่ยวแก่พลังของดวงดาวต่างๆ ที่มีต่อโลกมนุษย์ เช่นเดียวกับผู้ที่สำเร็จวิชาเกี่ยวแก่พระอาทิตย์-พระจันทร์

วิชาสุริยศาสตร์-จันทรศาสตร์ นั้นมีมาแต่โบราณกาล และตกทอดมาถึงคนรุ่นเรานับสิบๆ สายวิชา ยังมีการศึกษาค้นคว้า และปฏิบัติกันในทุกทวีปทั่วโลก จนทุกวันนี้

คนที่เป็นเอตะทัคคะในวิชาเหล่านี้ จึงย่อมมีตัวตนจริง เมื่อตายไปแล้ว ก็สามารถพัฒนาทางวิญญาณขึ้นเป็นเทพได้จริง อย่างไม่ต้องสงสัยครับ

แต่วิชาที่เกี่ยวกับดาวนพเคราะห์อื่นๆ นั้น ไม่มีตกทอดมาถึงเราเลยครับ นอกจากวิชาโหราศาสตร์

และโหราศาสตร์นั้น เป็นการศึกษาให้เข้าใจกฎธรรมชาติ ของดวงดาวบนท้องฟ้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์ของวิบากกรรมของเรา เพื่อการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องเหมาะสม ดังกล่าวแล้ว

ไม่ใช่เป็นมายาศาสตร์ ที่จะควบคุม เปลี่ยนแปลง ลดเพิ่มพลังอำนาจของดวงดาว ด้วยเวทมนต์คาถา ด้วยพลังจิต หรือด้วยพิธีกรรมใดๆ อย่างสุริยศาสตร์ จันทรศาสตร์

เมื่อไม่มีองค์ความรู้ในส่วนนี้สืบทอดต่อๆ กันมา ก็หมายความว่า ไม่มีหลักฐานการนับถือเทพในสายนี้ สืบต่อกันมาด้วยไงครับ


พระแม่ฉางเอ๋อ จันทรเทวีของจีน เดิมคงจะเป็นผู้สำเร็จวิชาจันทรศาสตร์
แต่คนส่วนมากไม่เข้าใจ จึงมีการแต่งเทพนิยายเล่าเรื่องเทพนารีองค์นี้ไปต่างๆ กัน

ผู้ศึกษาเทววิทยาในระดับโลก จึงมักยอมรับการมีตัวตนของเทพนพเคราะห์ แต่เพียงสุริยเทพ/เทวี และ จันทรเทพ/เทวี ดังกล่าวแล้ว

และแม้ว่า ลัทธิที่เกี่ยวข้องกับสุริยเทพ/เทวี และ จันทรเทพ/เทวี ที่ตกทอดมาถึงยุคของเรา มักจะถูกครอบงำด้วยโหราศาสตร์ ก็ไม่ถึงกับมีผลในการบูชามากนักหรอกครับ

เพราะวิชาสุริยศาสตร์ จันทรศาสตร์ ที่องค์เทพเหล่านี้สำเร็จเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็ปะปนกับความรู้ทางโหราศาสตร์ในสมัยนั้น

และทั้งสุริยศาสตร์ จันทรศาสตร์ ก็ศึกษาค้นคว้าในเรื่องเดียวกับโหราศาสตร์ เพียงแต่มองกันคนละมุม และจับจุดเอามาต่อยอดเพื่อใช้งานคนละอย่างกัน เท่านั้นเอง

ทีนี้ แม้ว่าดาวนพเคราะห์จริงๆ จะมีเทพจริงๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่เพียง ๒ องค์

แต่ไสยศาสตร์ มีวิธีทาง สัญลักษณ์วิทยาที่จะถ่ายทอดพลัง หรือ อิทธิพลของดาวนพเคราะห์ ในรูปของประติมากรรม และเครื่องรางได้ จนคนทั่วไปนึกว่าเป็นเทพจริงๆ

เช่น กรณีของราหู และเทวดานพเคราะห์ ที่ใช้ในพิธีกรรมของราชสำนักไงครับ


เทวดานพเคราะห์ สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
อัญเชิญออกมาให้ประชาชนบาและสรงน้ำ ในเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๖๐

และที่รู้จักกันทั่วไปที่สุด คือ ประติมากรรมรูปราหูอมจันทร์ ที่วัดและสำนักต่างๆ สร้างกันออกมาแพร่หลาย ตั้งแต่แบบห้อยคอ ไปจนถึงขนาดใหญ่กว่าตัวคน

ทั้งๆ ที่ราหู ก็ไม่ใช่ดวงดาวจริงๆ เป็นเพียงจุดคำนวณทางโหร่ศาสตร์ ที่เกิดจาก คราสหรือเงาของโลกไปทับดวงดาทิตย์ และดวงจันทร์เท่านั้น

แต่โหราศาสตร์ นับว่าราหูเป็นดาวบาปเคราะห์ด้วยดวงหนึ่ง

ซึ่งอิทธิพลที่มันมีต่อมนุษย์ก็คือ ความลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา อบายมุข ความวิบัติสูญสิ้นลาภยศ และสิ่งดีงามในชีวิตทั้งปวง

การโคจรของราหู จึงเป็นอันตรายมาก เมื่อถึงเวลาที่เล็ง ทับ โยค กุม ลัคนาของใคร ความหายนะก็จะบังเกิดแก่ผู้นั้น


ราหู ไม่ใช่ดวงดาว แค่เป็น คราส หรือเงาของโลก ที่ทับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

หายนะมากหรือน้อย ก็แล้วแต่กำลังของดาวศุภเคราะห์ ในดวงชะตาของแต่ละคน จะต้านทานหรือช่วยเหลือได้เพียงใด

ไม่ใช่ว่าราหูส่งอิทธิพลแล้ว มวลมนุษย์จะวิบัติเท่าเทียมกันไปหมด ทุกรูปนาม

แล้วก็ยังมีคนอยู่สองพวก ที่อาจจะได้รับผลดีจากราหูด้วยนะครับ

คือคนที่เกิดวันพุธกลางคืน กับคนที่ดวงชะตาถูกพระเสาร์เล่นงานอย่างหนัก

พระเสาร์เป็นประธานฝ่ายบาปเคราะห์ ส่งอิทธิพลให้เกิดความวิบัติพินาศ แก่ชีวิตเราได้ยิ่งกว่าราหูเสียอีก

แล้วก็ไม่มีพลังจากดาวศุภเคราะห์ดวงไหน ที่จะป้องกัน หรือผ่อนผันโทษภัยจากพระเสาร์ได้

แต่เมื่อมาเจอกับราหู ปรากฏว่า ราหูสามารถข่มอิทธิพลด้านร้ายของพระเสาร์ได้หมด เหลือแต่ด้านดีๆ ของพระเสาร์แทน

และราหูเป็นดาวดวงเดียวในนพเคราะห์ทั้งหมดด้วย ที่สลายพลังร้ายของพระเสาร์ได้

เพราะราหูกับเสาร์ เป็นบาปเคราะห์เหมือนกันก็จริง แต่สองดาวนี้เป็นคู่มิตรกันครับ


บุคลิษฐานของพระราหู ตามปกรณ์โหราศาสตร์ไทย

คนที่ถูกพระเสาร์เล่นงานดวงชะตาอย่างหนัก การบูชา หรือถ้าจะพูดให้ถูก คือ ติดตั้งประติมากรรมพระราหู จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง

แต่นั่นก็หมายความว่า คุณกำลังแก้พลังบาปเคราะห์ของพระเสาร์ ด้วยการเปลี่ยนไปรับอิทธิพลด้านร้ายจากราหูแทนนะครับ

บางคนอ่านถึงตรงนี้แล้ว อาจจะงงๆ

--ก็ผมเพิ่งเขียนไปหยกๆ ว่า การทำพิธีบูชาดาวนพเคราะห์นั้น ช่วยอะไรใครไม่ได้ เพราะเป็นพลังมหาศาลที่มาจากอวกาศ

แล้วการบูชาเทวรูปพระราหู ที่มนุษย์เราสร้างขึ้น องค์เล็กๆ แค่ ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว หรือองค์ใหญ่หน่อยอย่างที่วัดศีรษะทอง

มันจะไปแก้ไขอะไรได้ กับพลังของพระเสาร์ที่มาจากนอกโลก?

คำตอบคือ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมี ข้อยกเว้นครับ

เพราะราหูนี่แปลกครับ เป็นที่รู้กันในทางไสยศาสตร์ว่า แม้จะเป็นบุคลาธิษฐาน แต่เมื่อเอามาทำเป็นประติมากรรมแล้ว สามารถถ่ายทอดสิ่ง (ไม่ดีงาม) ต่างๆ ได้ ตามลักษณะของราหูในทางโหราศาสตร์

เรียกว่า สามารถเป็น "สื่อ" ของพลังราหูตัวจริงได้ โดยที่ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า ทำไม?


พระราหู ขนาดบูชา

นั่นก็เพราะ เป็นผลซึ่งเกิดจาก "สัญลักษณ์วิทยา" อันเป็นศาสตร์โบราณที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ยากจะอธิบายว่ามีกระบวนการอย่างไร

ก็เหมือนกับวิชาการลงอักขระเลขยันต์ของไทย กับฮวงจุ้ย และสืบสองนักษัตรของจีนน่ะแหละครับ ต่างก็เป็นวิธีการให้ผล ด้วยสัญลักษณ์วิทยาทั้งนั้น

แต่แม้ว่าการตั้ง หรือพูดประสาชาวบ้านว่า บูชาพระราหู จะมีผลในทางไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ ที่ช่วยบรรเทาทุกข์โทษ ของคนที่ดวงชะตาถูกพระเสาร์เบียดเบียนได้ระดับหนึ่ง

โดยจุดยืนของผมแล้ว ผมก็ไม่อยากแนะนำให้ใครบูชาพระราหูหรอกครับ

เพราะเมื่อคุณไหว้ราหู แม้คุณจะพ้นภัยจากพระเสาร์ได้บ้าง

แต่ในที่สุด คุณก็จะกลายเป็นคนมัวเมาในกิเลสตัณหา ตามอิทธิพลของราหู ที่ถ่ายทอดผ่านประติมากรรมเหล่านั้น


พระราหู สัญลักษณ์ของความมัวเมา หมกมุ่นในกิเลสตัณหา อบายมุข

ก็ลองสังเกตดูเอาก็แล้วกันนะครับ ว่าพวกที่ไปวัดศีรษะทอง หรือวัดอะไรก็ตาม ที่มีราหูองค์ใหญ่ๆ อยู่ เขาไปไหว้แล้ว ชีวิตเขาดีขึ้นหรือไม่?

บางคนถูกหวย ก็เท่านั้นละครับ ได้เงินแสนเงินล้าน แต่ไปสูญเสียอย่างอื่นที่เงินซื้อไม่ได้

เพราะเงินจากอบายมุข มันไม่เคยนำความสุขที่ยั่งยืนมาให้ใคร

แต่เทวศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์แห่งการพูดถึงปัญหา แล้วไม่มีวิธีแก้หรอกครับ

การบูชาราหู เพื่อบรรเทาโทษภัยจากพระเสาร์ โดยที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวมาแล้ว น้อยที่สุด มีครับ

ขอให้ยึดหลักนี้,

๑) ถ้าดวงชะตาไม่เดือดร้อนจากพระเสาร์อย่างหนักจริงๆ อย่าบูชาราหูที่ทำเป็นเทวรูปเดี่ยวๆ

ให้บูชาราหูที่ทำออกมาร่วมกับเทพองค์อื่น เช่น ท้าวจตุคามรามเทพ หรือพระพุทธรูปนาคปรก ที่มีรูปพระราหูที่ฐาน

อย่างนี้ดีที่สุดครับ


จตุคามรามเทพ เป็นสายวิชาที่ประสบความสำเร็จในการสะกดพระราหู
ซึ่งทั้งสองต่างก็เป็นสายวิชา "ใหม่" ที่เกิดขึ้นในยุคของเราเช่นเดียวกัน

เพราะถ้าบูชาราหูเดี่ยวๆ เราก็จะได้รับอิทธิพลแห่งโทษภัย ของราหูได้อย่างเต็มที่

แต่ถ้าบูชาในลักษณะที่ราหูนั้นเป็นบริวาร หรือถูกข่มโดยองค์พระ-องค์เทพ ราหูนั้นก็จะถูกสะกดพลังบาปเคราะห์ไประดับหนึ่ง ส่งแต่ผลด้านดีออกมา

ซึ่งจะพูดไปแล้ว ก็ดีไม่ค่อยจริงเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีใครควบคุมครับ

๒) คนที่บูชาราหูเดี่ยวๆ ก็ไม่ต้องทำพิธีกราบไหว้ ถวายของดำ ๘ อย่าง หรือไปบูชาพระราหูองค์ใหญ่ที่วัดไหนทั้งสิ้น

เพราะ concept ก็คือ แค่ให้มีสัญลักษณ์ของราหู อยู่ใกล้กับตัวคุณก็พอแล้ว

ซึ่งก็หมายความว่า จะตั้งไว้ในห้องทำงาน หรือห้องนอน หรือแค่ห้อยคอก็ยังได้

แล้วแต่ว่าดวงชะตาคุณ ได้รับโทษภัยจากพระเสาร์ในลักษณะใด

นั่นก็เป็นเพราะ ศาสตร์ในการบูชาราหูเพื่อแก้โทษภัยจากพระเสาร์ เป็นการใช้ "สัญลักษณ์วิทยา" เท่านั้นไงครับ ไม่ใชการบูชาเทพ

คุณจึงสามารถตั้งประติมากรรมราหูได้ โดยไม่จำเป็นต้องกราบไหว้ ถวายของดำอะไรทั้งสิ้น

ซึ่งถึงใครอยากจะทำ ก็เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าครับ

รูปปั้นพระราหู สื่อพลังจากราหูที่เป็นพลังธรรมชาติได้ แต่ก็กินอะไรไม่ได้ และไม่รับรู้การกราบไหว้บูชาอะไรทั้งนั้น

เว้นแต่คนที่สร้าง จะเอาผีเข้าไปใส่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

………………………



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


6 ความคิดเห็น:

  1. พวกชอบราหูอ่านแล้วถูกใจแย่เลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คงจะพากันสรรเสริญอาจารย์แย่เลยค่ะ ^ ^"

      ลบ
  2. พระพฤหัสบดี ของ สกสค มีเป็นวัตถุมงคลด้วยนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ค่ะ โดยเฉพาะพระบูชาสวยมากด้วย แต่ถ้าเป็น "บุคลาธิษฐาน" ก็คงขลังตามมนต์พิธีนะคะ ไม่ใช่องค์เทพจริงๆ

      ลบ
  3. ชอบมากค่ะ ตามอ่านหลายบทความเลย ละเอียดดี มีที่มาที่ไป (ส่วนตัวก็ศึกษาในศาสนาฮินดูมาพอสมควรค่ะ)
    อยากได้บทความของ พระแม่ศรีอุมาเทวี พระแม่ลักษมี และพระศิวะด้วยค่ะ อยากศึกษาหลายๆแง่มุม
    ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับหลายๆบทความมากเลยนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอโทษที่ตอบช้าค่ะ...คือ ระบบของที่นี่ช้ามากกกก เข้ามาเมื่อสองสามวันก่อนยังไม่เห็นเลย ^ ^"

      ขอบคุณค่ะ ที่ศึกษาศาสนาฮินดูมาแล้วยังรัได้กับบทความของ อ.กิตติ แถมยังชอบด้วย แบบนี้แสดงว่าเป็นคนใจกว้างมาก

      กรณีของพระแม่ทั้งสององค์ และพระศิวะที่กล่าวมา เรียนไปทางอาจารย์แล้วค่ะ รอหน่อยนะคะ เพราะงานอาจารย์ยุ่งมาก กว่าจะได้มาแต่ละบทความ นอกจากต้องจัดสรรเวลาแล้ว ยังต้องตรวจทานกันหลายรอบ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น