วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ร่างทรง กับ องค์เทพ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์


ภาพจาก http://komchadluek.net

ความเชื่อที่ผิดของวงการผู้บูชาเทพในเมืองไทยอีกอย่างหนึ่ง คือความเชื่อที่ว่า การบูชาเทพนั้น เป็นเรื่องเดียวกับการทรงเจ้า และตำหนักทรง

การทรงเจ้า หรือที่มีการดัดแปลงถ้อยคำว่า สื่อญาณบารมี, ต่อสายญาณบารมี, เป็นกายสังขาร ฯลฯ หรือแม้แต่ศัพท์เก่ายอดนิยมที่ยังใช้กันอยู่ คือ คนมีองค์ ที่จริงเป็นอุปาทานชนิดหนึ่งครับ

คือเกิดจากการที่เราไปทึกทักว่า :

๑) องค์เทพไม่มีสังขาร จึงต้องอาศัยร่างมนุษย์เพื่อสร้างบารมี หรือต่อบารมี ด้วยการช่วยเหลือเหล่ามนุษย์

ส่วนหนึ่ง เพื่อคงสถานะความเป็นเทพพรหมเอาไว้ อีกส่วนหนึ่ง เพื่อสะสมบุญหวังนิพพาน

๒) เราเป็นผู้ที่ถูกเลือก เพราะอดีตชาติเรามีความสัมพันธ์กับองค์เทพ ในลักษณะพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ทำให้เราต้องยินยอมให้องค์เทพใช้ร่างของเราเป็นสื่อ หรือเป็นทางผ่านเพื่อสร้างบารมี

ซึ่งที่จริงไม่ใช่นะครับ

เพราะดวงวิญญาณชั้นสูง เช่น อดีตกษัตริย์ อดีตราชวงศ์ วีรบุรุษวีรสตรี พระเกจิอาจารย์ที่มรณภาพไปแล้ว ตลอดจนถึงเทพชั้นสูงต่างๆ เช่นพระศิวะ พระนารายณ์ พระคเณศ ฯลฯ

เหล่านี้ จะไม่ทรงสร้างบารมี ด้วยการทำนายทายทัก, หาของหรือคนหาย, ดึงจิตสามีภรรยาที่แตกแยกกันให้กลับมารักกัน, รักษาโรค หรือใบ้หวย ฯลฯ 

ตามแบบที่มีให้บริการกันอยู่ตามตำหนักทรงทั่วไป

เพราะการกระทำเหล่านี้ เป็นบุญน้อย ไม่มีค่าเท่าใดนักในการ เติมบารมี ของพระองค์หรอกครับ

บางทีกลับจะกลายเป็นบาป ที่ฉุดพระองค์ให้เสื่อมจากฐานะเดิมอีกด้วย 

เช่น การใบ้หวย ซึ่งทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข

องค์เทพ จะสร้างและสั่งสมบารมีในเรื่องที่สำคัญ หรือเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้นครับ

และถ้าจะทรงสร้างบารมี ในเรื่องของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ก็มักกระทำผ่านรูปเคารพของพระองค์ ซึ่งมีให้ผู้บูชากราบไหว้กันในศาล เทวาลัย หรือแม้แต่มีการสร้างเป็นวัตถุบูชาตามบ้านทั่วไปอยู่แล้ว

ดังนั้น พระองค์จึงไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องมาใช้ร่างมนุษย์คนไหนเป็นสื่อ หรือเป็นทางผ่านทั้งสิ้นครับ


ร่างทรงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ถูกชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมาก

การที่พวกร่างทรงมักอ้างว่า เหล่าทวยเทพต้องอาศัยร่างมนุษย์สร้างบารมีบ้าง หรือต้องใช้ร่างมนุษย์เพราะมีกรรมผูกพันกันบ้าง จึงล้วนเป็นเรื่องโกหก

และถ้าจะมีจริง ก็เป็นเรื่องของผีระดับสัมภเวสี-วิญญาณเร่ร่อนทั่วๆ ไปเท่านั้น

เพราะบรรดาผีชั้นสูงที่เก่งๆ เช่น เจ้าพ่อเจ้าแม่ เทพารักษ์ต่างๆ ที่มีอำนาจมีฤทธิ์เดชจริง เขาก็มีศาล มีคนศรัทธาสร้างที่อยู่ให้สิงสถิต เป็นการถาวรอยู่แล้ว

ผีชั้นสูงเหล่านี้ หลายๆ แห่งมีรูปเคารพอย่างดี ใครอยากได้ความช่วยเหลือจากเขาก็ไปไหว้ เขาก็ได้สร้างบารมีจากการช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น

โดยไม่มีความจำเป็นอะไรอีกเช่นกันละครับ ที่จะต้องมาคอยจับร่างมนุษย์คนไหนเป็นร่างทรง

ขณะที่สัมภเวสี ต้องร่อนเร่พเนจรเรื่อยไป หาที่สิงสู่มิได้ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ มักมีเจ้าของหรือวิญญาณอื่นครอบครองอยู่ก่อน

ผีจำพวกนี้ ย่อมได้รับทุกขเวทนามาก จำเป็นจะต้องหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ก็ได้แต่คอยจับร่างคนจิตอ่อน คือคนที่มีอุปาทานดังกล่าวแล้วเป็นที่อาศัย หลอกลวงให้คนอื่นมาเซ่นไหว้ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

ผีพวกนี้ มิได้หวังจะสร้างบารมีอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้นแหละครับ

อย่างไรก็ตาม เพื่อการเอาตัวรอดแล้ว ผีที่จับร่างคนจิตอ่อนได้ หยั่งรู้ว่าร่างที่ตนเองจับอยู่นั้นนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดอยู่ ก็แอบอ้างตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ

ผู้ที่ถูกจับร่างก็จะหลงเชื่อ และไม่มีโอกาสพิจารณาได้เลยว่า เป็นความจริงหรือไม่

เพราะได้แต่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยมีความขวนขวายที่จะศึกษา ให้รู้ชัดรู้จริง ในเรื่องของสิ่งที่ตนนับถือ และเป็นคนจิตอ่อน เชื่ออะไรง่ายๆ อยู่แล้วไงครับ


ภาพจาก http://petmaya.com

ร่างทรงจำพวกที่กล่าวมานี้แหละครับ ที่ควรเรียกได้ว่าเป็น ร่างทรงแท้ ซึ่งมีอยู่จริงไม่มากนัก ไม่ใช่ที่เห็นกันอยู่ทั่วไป

ที่เห็นกันดาษดื่นทุกวันนี้ คือ ร่างทรงปลอม ซึ่งแบ่งได้พอสังเขปเป็น ๒ จำพวก

จำพวกแรกเป็นคนจิตอ่อน มีอุปาทานเช่นเดียวกับร่างทรงแท้ แต่ไม่มีภูตผีปีศาจใดๆ มาสิงสู่หรอกครับ

มีแต่ย้อมจิตตัวเองว่าเป็นทางผ่าน หรือได้รับเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นร่างเพื่อสั่งสมบารมี

คนเหล่านี้มักเป็นคนมีปัญหาชีวิตเหมือนๆ กันอย่างหนึ่ง คือมักถูกมองข้าม ไม่มีใครให้ความสำคัญ

เมื่อนับถือเทพด้วยความลุ่มหลง ก็เลยนำความหลงนั้นมาปรุงแต่งตนเอง ให้เป็นบุคคลพิเศษ หรือคนสำคัญขึ้น คือเป็นคนที่พึงได้รับการนับถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับองค์เทพไงครับ

ในการปรุงแต่งย้อมจิตตนเอง คนเหล่านี้ส่วนมากจะใช้วิธีขวนขวายหาอ่านจากหนังสือต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในวงการร่างทรง คอยซื้อหาภาพยนตร์เทพอินเดียมาดู

หรือคอยจดจำเลียนแบบร่างทรงอื่นๆ ที่ทรงเทพองค์เดียวกัน เพื่อแสดงออกให้เหมือน หรือดีกว่า

ส่วนจำพวกที่สอง มิได้เป็นคนจิตอ่อน และรู้ความจริงเสมอว่า ตนมิได้ถูกเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นทางผ่านอะไรทั้งนั้นครับ

แต่คนจำพวกนี้ เห็นประโยชน์ในทางอามิสต่างๆ จากการเป็นร่างทรง จึงแสร้งทำตัวเป็นร่างทรงหลอกลวงสาธารณชน เป็นการหากินบนความงมงายของชาวบ้าน


แม้จะมีละครที่แสดงให้เห็นการหลอกลวงของร่างทรง
ก็ยังมีผู้เชื่อถือร่างทรงกันอยู่อีกมากทั่วประเทศ

คนพวกนี้มักจะศึกษาเรื่องเทพ จิตวิทยา และมายากล ในการแสดงอภินิหารตามแบบร่างทรงได้ดีกว่าร่างทรงแท้เสียอีกครับ

นั่นก็เพราะเป็นพวกที่มีการศึกษา การทายทักผู้ที่เข้าไปในตำหนัก บางทีจะแม่นยำกว่าร่างทรงชนิดอื่น การพูดจาปราศรัยดูมีเหตุผลน่าเชื่อถือกว่า เพราะมีความรู้มาก

ซึ่งการกระทำของบุคคลทั้ง ๓ จำพวกดังที่กล่าวมานี้ ก็มักทำให้เกิดความพิศวงในหมู่ผู้ที่รู้ความจริงว่า... 

ทั้งๆ ที่เป็นการแอบอ้างพระนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหากิน แต่ก็กลับไม่ค่อยปรากฏว่า ร่างทรงคนใดจะถูกลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ข้อควรสงสัยเช่นนี้ มีคำตอบครับ

เหตุผลก็คือ องค์เทพนั้นคือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สั่งสมบารมีด้วยความดี 

ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงใช้อำนาจตามอำเภอใจ แม้จะทรงอานุภาพอย่างไม่มีประมาณก็ตาม

บางท่านอ่านถึงตรงนี้แล้วอาจจะไม่เข้าใจ ผมก็ขออธิบายอย่างนี้ครับ,

การที่จะได้ชื่อว่าเป็นเทวะ เทพเจ้า หรือเทวดา ตามแต่จะเรียกกันนั้น คุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีอยู่อย่างสมบูรณ์ คือ หิริโอตตัปปะ คือความละอายต่อบาป และ พรหมวิหาร ๔ อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

คุณสมบัติทั้ง ๒ ประการนี้ ย่อมมีอยู่แต่เฉพาะผู้ที่ไม่ลุแก่อำนาจ ไม่ยินดีในการทำให้ใครได้รับทุกขเวทนา หรือข่มเหงผู้หนึ่งผู้ใดตามอำเภอใจ แม้คนคนนั้นจะทำในสิ่งที่เลวร้าย หรือทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยอย่างใดก็ตาม


กลุ่มร่างทรงที่แสดงอภินิหารในงานนวราตรี
ของวัดพระศรีมหาอุมาเทวี สีลม
จนถูกคณะกรรมการวัดแจ้งตำรวจจับดำเนินคดี

สิ่งที่องค์เทพพึงกระทำต่อผู้นั้น ในฐานะที่พระองค์เป็นใหญ่กว่าเขา ก็คือ อุเบกขา

นั่นคือ คุณธรรมที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นเทวะ

แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็ตาม ที่ยังคงใช้อารมณ์ส่วนตัว อันประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง เป็นใหญ่

ใครทำอะไรให้ตนไม่พอใจ หรือขัดกับเจตจำนง ทัศนคติ หรือจริยธรรมส่วนตัวของตน ก็ใช้อำนาจบารมีที่เหนือกว่าลงโทษเขา หรือทำร้ายรังแกให้เขาได้รับความวิบัติ มีอันเป็นไปต่างๆ

นั่นคือนิสัยอสูร เป็นพฤติกรรมของพวกอสูร ยักษ์ และปีศาจครับ

ผมเคยกล่าวแล้วว่า แม้อมนุษย์เหล่านี้จะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งสักเพียงใด ก็ไม่อาจเป็นเทวะได้ จะเป็นได้แต่สิ่งที่เทววิทยาเรียกว่า เทพอสูร หรือ เทพปีศาจ คืออสูรและปีศาจที่มีฤทธิ์เสมอชั้นเทพเท่านั้น

แต่จะไม่พัฒนาทิพยฐานะสูงขึ้นไปกว่านั้น เพราะไม่มีคุณธรรมที่จะทำให้ได้เป็นเทวะ คือ หิริโอตตัปปะ และ พรหมวิหาร ๔

ดังนั้น เหตุที่องค์เทพต่างๆ ไม่ประทานเทวทัณฑ์ คือลงโทษคนทรงเจ้า และภูตผีปีศาจที่แอบอ้างพระนามไปกระทำการหลอกลวงสาธารณชน ก็เพราะพระองค์เป็นเทพไงล่ะครับ พระองค์ย่อมปฎิบัติต่อคนเหล่านี้ด้วย พรหมวิหาร ๔ อันเป็นคุณสมบัติของพระองค์

ส่วนที่เรารับรู้กันมาแต่โบราณกาลว่า องค์เทพจะทรงใช้เทวานุภาพในการขจัด-ขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ นั่นก็เป็นความจริงครับ

แต่ที่จริงคือ มักจะทรงทำเช่นนั้น เพื่อปกปักรักษาผู้บูชาพระองค์มากกว่า

หรือไม่ก็เพื่อพิทักษ์พระพุทธรูป, พระธาตุเจดีย์ต่างๆ ในกรณีที่เป็นเทพฝ่ายพุทธ

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่แอบอ้าง หรือดูหมิ่นจาบจ้วงพระองค์ โดยการกระทำใดๆ ก็ตาม พระองค์มักจะวางเฉย 

แต่ถ้าสิ่งชั่วร้ายอย่างเดียวกันนั้น คุกคามหรือเบียดเบียนผู้บูชาพระองค์ พระองค์จะประทานเทวทัณฑ์ให้แก่มันเหล่านั้นแน่นอนครับ

การเป็นเทพเจ้านั้น มีแต่จะพอพระทัยในการช่วยเหลือผู้คนให้อยู่ดีมีสุข ไม่พอพระทัยในการที่จะทำร้ายรังแกผู้หนึ่งผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันควร ถ้าพอพระทัยเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เทพเจ้า

แต่ถึงแม้ว่า การแอบอ้างพระนามองค์เทพชั้นสูง จะไม่ทำให้ร่างทรงถูกเทพเหล่านั้นลงโทษ

แต่บรรดาร่างทรงต่างๆ ก็ยังคงต้องประสบชะตากรรมที่ร้ายแรง ยิ่งกว่าการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ อยู่ดีละครับ


อดีตร่างทรงพระคเณศ และหมอดูชื่อดัง
ตัวอย่างของร่างทรงที่ต้องอาถรรพณ์จากการแอบอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จนต้องสังเวยชีวิตในคุก

ดังเช่น กรณีของร่างทรงแท้นั้น ย่อมได้รับโทษภัยอันเกิดจากการกระทำที่ผิดธรรมชาติ และเกิดจากการกระทำของตนเอง เป็นกรรมซึ่งให้ผลทั้งชาตินี้ ชาติหน้า โดยไม่อาจบรรเทาได้ด้วยการสำนึกผิด หรือทำพิธีขอขมาใดๆ ทั้งสิ้น

เพราะใครก็ตามที่ทำสิ่งชั่วร้าย ก็หมายความว่าเขาเลือกที่จะลงโทษตัวเขาเองอยู่แล้ว ไม่ใช่มีใครมาเลือกที่จะลงโทษหรือไม่ลงโทษเขานะครับ

แล้วการกระทำที่ว่าผิดธรรมชาตินั้น คืออะไร?

ตอบอย่างสังเขปได้ว่า โดยปกติ การที่เราหรือใครก็ตาม มีรูปร่างลักษณะ ตลอดจนความเป็นไปในชีวิตอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เพราะวิบากกรรม 

คือผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วที่เราสั่งสมมาในอดีต อันผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับดวงวิญญาณของเราที่เข้ามาอาศัยร่างของเราเกิด

ร่างกาย สติปัญญา และทุกสิ่งในชีวิตที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ จึงเหมาะสมกับวิญญาณเพียงดวงเดียวเท่านั้น คือวิญญาณของเราเองครับ

ไม่ใช่สำหรับวิญญาณอื่นใดทั้งสิ้น

นี่เป็นกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การที่ภูตผีปีศาจ สัมภเวสีอื่นใด เข้ามาแทรกแซงหรือใช้ร่างของเรา ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่เรามีความบกพร่องในทางจิตวิญญาณ หรือกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นความจงใจของตัวเราเองก็ตาม

ย่อมไม่ต่างอะไรจากคนที่ถูกผีสิง คือเป็นเรื่องผิดธรรมชาติทั้งสิ้น

ด้วยเหตุที่ว่า วิญญาณเหล่านั้น ไม่เหมาะสมกับร่างกายและดวงชะตาชีวิตของเรา พูดง่ายๆ คือไม่เหมาะสมกับวิบากกรรมของเรา

เมื่อมีวิญญาณอื่นมาแฝงร่าง เราจึงต้องเอาร่างกายและชะตาชีวิตของเราทั้งหมดไปแบกรับ และหล่อเลี้ยงทั้งดวงวิญญาณของตัวเราเอง และวิญญาณที่มาแฝงร่างพร้อมกันถึงสองดวง

ยิ่งพวกร่างทรงประเภท เมืองท่าคือคนคนเดียวทรงได้ ๓ อย่าง ๔ อย่าง ก็ยิ่งเท่ากับคนคนเดียวต้องแบกรับดวงวิญญาณถึง ๓-๔ ดวง ด้วยร่างกายที่เหมาะสมกับดวงวิญญาณแค่ดวงเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุด เราจะเป็นเหมือนรถที่บรรทุกหนักเกินอัตราไงครับ

นั่นคือ เมื่อยังใหม่ๆ เครื่องยนต์ยังดีอยู่ ก็ดูเหมือนจะบรรทุกเกินอัตราได้ไม่มีปัญหาอะไร

แต่นานวันเข้า เครื่องยนต์และตัวถังที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการทำงานหนักเช่นนั้น ก็ย่อมจะต้องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

และถ้ารถคันนั้นไม่ชำรุดจนใช้การไม่ได้เสียก่อน มันก็จะพาทุกอย่างที่มันบรรทุกอยู่ ไปประสบอุบัติเหตุ

เช่นเดียวกัน สิ่งที่ร่างทรงจะได้รับก็คือ สุขภาพที่เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ

และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้น เร็วเกินกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป และเกินกว่าชะตากรรมเดิมของเขาที่เขาควรจะเป็นด้วยครับ

ยิ่งพวกร่างทรงที่เปิดตำหนักทุกครั้ง ต้องแสดงอภินิหาร เช่น นั่งบนตะปูเหล็กแหลม อาบไฟ เอาของมีคมทิ่มแทงตามร่างกาย หรือสูบบุหรี่ทีละมากๆ ร่างกายยิ่งเสียหายเร็วมากขึ้นไปอีก

แต่อาการต่างๆ จะไม่แสดงออกให้ตัวร่างทรงได้รับรู้ เพราะผีที่มาแฝงร่างได้ทำการปิดบังเอาไว้ เพื่อครอบงำร่างทรงและสาวกให้เข้าใจผิดว่า ร่างทรงสามารถทำสิ่งที่เหนือความสามารถของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปได้ โดยไม่มีผลเสียหายอะไร

ด้วยเหตุนั้น ขณะที่สุขภาพของร่างทรงเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ร่างทรงก็ไม่รู้สึกตัว และยังคงดำเนินชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวัน ด้วยอำนาจของผีที่พยายามพยุงร่างนั้นไว้ให้

นอกจากนี้ ผลกรรมต่างๆ ที่โดยปกติ จะต้องบังเกิดกับร่างทรงผู้นั้นในเวลาที่เหมาะสม ก็ย่อมต้องเกิดขึ้นตามปกติของมันทุกประการ

เพราะกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของความยุติธรรม ที่ให้ผลตามเวลาอันสมควร ไม่มีใครหยุดยั้งได้หรอกครับ

แต่ด้วยอำนาจของผีที่มาแฝงร่าง แม้ผลกรรมเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเป็นผลในทางที่ไม่ดี มันก็ปิดบังอำพรางไม่ให้ร่างทรงได้รับรู้ เบี่ยงเบนความสนใจของร่างทรงไปยังเรื่องอื่นเสีย

แต่ถ้าเป็นผลในทางดี มันก็อ้างว่าเกิดจากอำนาจบารมีของมันอีกละครับ

ร่างทรงจึงชดใช้กรรมที่ตนเองก่อขึ้นในแต่ละวัน ด้วยความเข้าใจผิดโดยตลอด


ร่างทรงเจ้าแม่กาลี
(หมายเหตุ : ภาพอันน่ารังเกียจของบรรดาร่างทรงต่างๆ
สามารถค้นหาได้ง่ายใน google ในที่นี้นำมาเป็นตัวอย่างเฉพาะที่ "เบา" ที่สุดเท่านั้น)

แน่นอนที่ว่า ผีเหล่านี้แท้จริงมิได้มีความเก่งกล้าสามารถอะไรนักหรอกครับ มันย่อมไม่อาจพยุงร่างทรงให้ฝืนธรรมชาติเช่นที่กล่าวมาได้ตลอดไป

มันเพียงแต่ปิดบัง อำพรางได้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อใดที่ร่างทรง เสื่อมสภาพจนมันอำพรางไม่ไหวน่ะแหละครับ มันก็จะพยายามสนับสนุนให้ร่างทรงทำบุญมากๆ เพื่อให้ได้ผลบุญมาช่วยพยุงชีวิตของร่างทรง ไว้ให้มันใช้งานได้ต่อไป

ทีนี้ ร่างทรงก็เลยพลอยเข้าใจผิดมากขึ้นไปอีกว่า วิญญาณที่มาแฝงร่างเป็นวิญญาณสัมมาทิฏฐิ ชอบการบุญการกุศล

แต่บุญกุศลนั้น ไม่ใช่จะให้ผลได้ทันเวลาเสมอไปนะครับ

หลายๆ อย่างที่ทำไปแล้ว เท่ากับเป็นเสบียงเอาไว้ใช้ชาติหน้า นั่นหมายถึงเป็นบุญชนิดที่ไม่ส่งผลในชาตินี้

และข้อสำคัญคือ ไม่มีใครฝืนกฎธรรมชาติได้

ร่างทรงซึ่งแบกรับสิ่งหนักที่เกินกว่าตนจะรับไหวมาตลอด ในที่สุดก็จะต้องพบกับความเสื่อมโทรม จนผีที่มาแฝงร่างไม่อาจพยุง หรือปิดบังอำพรางได้อีกต่อไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผีที่มาแฝงร่างก็จะละทิ้งร่างนั้นทันทีครับ เพื่อไปหาร่างใหม่ที่เหมาะสมต่อไปข้างหน้า

ทีนี้สิ่งที่ถูกปิดบังอำพรางไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมของสภาพร่างกาย และผลแห่งวิบากกรรมทั้งหลายที่ตัวร่างทรงไม่รับรู้มาตลอด ก็จะปรากฏเด่นชัดขึ้นพร้อมๆ กัน

ร่างทรงจะพบกับความวิบัติหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งปวง


ไฟไหม้ตำหนักทรงพระศิวะ กลางเมืองพัทยา

ส่วนร่างทรงปลอมทั้งสองจำพวก ตามที่ผมอธิบายไปแล้วนะครับ,

แม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจใดๆ แต่การเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหลอกลวงผู้อื่นนั้น เป็นอาถรรพณ์อันร้ายแรง เข้าหลักของการกระทำผิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจลี้ลับทั้งหลาย ดังที่คนโบราณเรียกว่าการต้องธรณีสาร

บุคคลที่ต้องธรณีสาร จะหาความสุขความเจริญในชีวิตมิได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะได้พบสิ่งเลวร้ายสารพัดอย่าง เช่นตกเป็นข่าวอื้อฉาว ถูกใส่ความ ใส่ร้าย ถูกปองร้าย ต้องคดีความ ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องสำคัญ ต้องประสบอุบัติเหตุอุบัติภัย ได้รับความสูญเสียอันร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด ร่างทรงไม่ว่าของจริงของปลอม จึงย่อมได้พบจุดจบที่ไม่แตกต่างกันครับ

ร่างทรงจำนวนหนึ่งจะกลายเป็นคนบ้า สติไม่ดี จำนวนหนึ่งจะตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายด้วยอาการอันน่าสยดสยองต่างๆ


เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังตรวจสอบภายในตำหนักทรงเจ้าพ่อกวนอู
ที่ถูกมือปืนบุกยิงเสียชีวิต ภาพจากโพสต์ทูเดย์

ส่วนคนที่เสียสตินั้น ก็อายุสั้นเช่นกัน

สรุปว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาไม่จำเป็นต้องลงโทษ กฎแห่งกรรมก็ลงโทษร่างทรงอยู่แล้ว เพราะกฎแห่งกรรมก็คือกฎธรรมชาติ ไม่มีใครฝืนกฎธรรมชาติได้

การยินยอมเปิดทางให้ผีเข้ามาอาศัยแฝงร่าง ด้วยการรับขันธ์ ไม่ว่าจะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปเพราะอำนาจกรรมเก่าบันดาล หรือทำไปด้วยความสำคัญผิด รวมทั้งการแอบอ้างพระนามของเทพชั้นสูงหลอกลวงผู้อื่นทั้งที่ตนรู้ว่าไม่จริงก็ตาม

ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้กระทำเลือกได้ ว่าจะทำหรือไม่ทำ

ไม่มีใครมาบังคับให้ทำได้นะครับ

จึงเป็นกรรมที่ผู้กระทำต้องรับไว้เอง จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้

และด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ร่างทรง จึงจัดเป็นบุคคลประเภทอัปมงคลชนิดหนึ่งครับ

การนับถือหรือหลงเชื่อร่างทรง จึงเท่ากับเป็นการรับเอาอัปมงคลเข้าสู่ตัว ซึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนาขององค์เทพ

ผู้ใดก็ตาม ที่ลุ่มหลงงมงายในเรื่องของการทรงเจ้าเข้าผี จนอัปมงคลพอกพูนเกินกว่าจะเยียวยาแก้ไข องค์เทพก็จะทรงละทิ้งบุคคลเช่นนั้นเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะได้เคยกราบไหว้บูชาพระองค์มาแล้วหลายภพชาติก็ตาม

นั่นก็เพราะ เมื่อเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นอัปมงคลอันร้ายแรง จนไม่มีใครช่วยได้ สิ่งที่เขาสั่งสมมาในอดีตชาติก็ไร้ความหมายไงครับ


ไฟไหม้ตำหนักทรง จ.ลำพูน

และบุคคลเช่นนั้นก็พึงมีจุดจบ ที่ไม่แตกต่างไปจากร่างทรงเท่าใดนัก

และแม้ว่า ข้อเท็จจริงคือร่างทรง และตำหนักทรง ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับการบูชาเทพ

แต่สังคมไทยก็นำเรื่องของร่างทรง คนมีองค์ มาเชื่อมโยงกับการบูชาเทพ

เพราะคนไทยส่วนมาก นับถือบูชาเทพโดยไม่ใส่ใจแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง จนถูกหลอกลวงจากอุบายของบรรดาร่างทรง ที่ต้องการทำมาหากินในด้านนี้นั่นเอง

การได้บูชาเทพ นับว่าเป็นความโชคดี อันเกิดจากวาสนาที่ดี

การทำลายสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือการไปหลงเชื่อร่างทรง นับว่าเป็นการทำลายโอกาสที่ดีในชีวิตอย่างน่าเสียดายยิ่งครับ


.............................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


4 ความคิดเห็น:

  1. ร่างทรงเจ้าแม่กาลีในภาพ อุบาทว์มากคะ

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วสะใจเป็นที่สุด

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่สะใจก็แต่พวกร่างทรงเท่านั้นแหละค่ะ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น