วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อาวุธเทพเจ้า

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





ในการบูชาเทพเจ้า ไม่ว่าของไทยหรือของฮินดู บางสายวิชาก็ถือว่าควรจะได้บูชาอาวุธของท่านด้วย
         
การบูชาอาวุธเทพเจ้า หรือเทพศาสตราวุธ ในชั้นเดิมมาจากทางฮินดู ซึ่งนิยมถวายอาวุธและเครื่องอุปโภคต่างๆ ตามที่เป็นสัญลักษณ์ขององค์เทพที่เขานับถือ

เพราะเขายึดหลักว่า เป็นเทวรูป ต้องมีเทพศาสตราวุธ และสัญลักษณ์ต่างๆ ตามประติมานวิทยาที่เกี่ยวข้องกับเทพองค์นั้น

และถึงแม้ว่า เทวรูปแต่ละองค์จะมีสิ่งเหล่านั้นพร้อมอยู่แล้ว ก็มีความนิยมที่จะไปหาอาวุธจำลองมาถวายเพื่อเป็นสิริมงคลอีก
         
อาวุธและสัญลักษณ์จำลองนี้ ถ้ามีขนาดเล็กกว่าของจริง มักทำเพื่อถวายบูชาดังที่กล่าวแล้ว หรือเพื่อแก้บนก็ได้

ถ้าเป็นของที่ต้องการจะบูชาอย่างจริงจัง ในฐานะเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ก็นำไปปลุกเสก โดยพราหมณาจารย์ หรือฤาษีโยคีต่างๆ ซึ่งผู้ใดก็ตามที่บูชาไปแล้ว มีการประดิษฐานและการนำไปใช้ที่ถูกต้อง ก็จะเป็นเทพศาสตราวุธที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้       

ส่วนถ้าเป็นของถวายแก้บน โดยมากก็มักจะทำด้วยทองเหลืองลักษณะหยาบๆ ราคาถูกๆ เหมือนที่เราถวายช้างม้าแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเราละครับ   

ส่วนอาวุธที่มีขนาดใหญ่เท่าของจริง หรือทำเลียนแบบของจริงนั้น มักจะสร้างขึ้นมาสำหรับถวายเทวรูปองค์ใหญ่ในพิธีกรรมต่างๆ




พวกโยคีและฤาษีต่างๆ เมื่อนับถือพระเป็นเจ้าองค์ใด ก็จะอัญเชิญอาวุธของเทพองค์นั้นมาเป็นเครื่องบูชา และใช้ประกอบพิธีกรรม หรือใช้ปราบปรามคุณไสยมนต์ดำต่างๆ หรือภูตผีปิศาจชั่วร้ายแล้วแต่เหตุการณ์ เช่น เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือเพื่อป้องกันตัวเมื่อจาริกเข้าไปในป่าเขา ซึ่งมีภูตผีปิศาจอาศัยอยู่มาก

การใช้เทพศาสตราวุธของฤาษีโยคีเหล่านี้ เขาใช้เหมือนพ่อมดหรือผู้วิเศษในตำนานทางยุโรปเลยครับ คือ ใช้มือหยิบจับเทพอาวุธขึ้นมาพร้อมกับการร่ายพระเวท หรือจะเรียกใช้ทางจิต เมื่อมีการถอดกายทิพย์ และต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายในมิติอื่นก็ได้ ถือว่าเป็นศาสตร์ลึกลับแขนงหนึ่ง
         
เทพศาสตราวุธในกรณีหลังนี้ จึงถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก และผู้ที่จะครอบครอง ต้องเรียนวิชาการใช้อาวุธเหล่านั้นมาแล้ว เช่นมนต์เชิญอาวุธเทพเจ้า หรือคาถาอาคมในการใช้เพื่อให้บรรลุผลในด้านต่างๆ ตลอดจนวิธีการประจุธาตุ และการดูแลรักษา ฯลฯ 

นอกจากนี้ ยังจะต้องได้รับการเจิมจากคุรุ หรืออาจารย์ เพื่อเป็นการอนุญาต และเป็นเครื่องแสดงว่า มี ศักดิ์และ สิทธิ์ที่จะครอบครองเทพศาสตราวุธชนิดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานให้
         
การใช้เทพศาสตราวุธของฤาษีและโยคีสำนักต่างๆ จะเป็นไปตามองค์เทพที่ฤาษีโยคีเหล่านั้นสืบสายวิชามา ซึ่งสังเกตได้ง่ายว่าเป็นสายวิชาของเทพองค์ใด เช่น
         
-สายวิชาที่นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์  ใช้จักร
         
-สายวิชาที่นับถือพระศิวะหรือพระอิศวร ใช้ตรีศูลแบบมีบัณเฑาะว์คาด
                  
-สายวิชาที่นับถือพระคเณศ ใช้อังกุศะ



         
-สายวิชาที่นับถือพระสกันท์ ใช้หอกที่มีใบหอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน (ศักตยายุทธ)
         
นอกจากอาวุธขนาดเท่าจริงแล้ว ฤาษีหรือโยคีเหล่านี้ยังจะต้องมีเทพศาสตราวุธจำลอง สำหรับใช้เจิม หรือทำน้ำมนต์ตามพิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติอยู่เสมอด้วยนะครับ

เทพศาสตราวุธจำลองที่ใช้เพื่อการนี้ แม้จะเป็นขนาดเล็ก ก็ทำด้วยวัสดุและความประณีตที่เหนือกว่าของแก้บนมาก และจะต้องผ่านการปลุกเสกมาแล้วเช่นกัน
         
ที่กล่าวมานี้ คือการใช้ และการครอบครองเทพศาสตราวุธ ของโยคีและฤาษีชาวอินเดียในปัจจุบันครับ 

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าในศาสนาโบราณใดๆ ที่มีการนับถือเทพเจ้า นักบวชในศาสนานั้นมักจะต้องมีอาวุธที่ได้รับมอบมาจากเทพเจ้าทั้งนั้น เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม, ขจัดสิ่งชั่วร้าย, รักษาโรค ฯลฯ และบางทีก็เป็นเครื่องแสดงลำดับชั้นทางศาสนาของผู้ครอบครองด้วย 
                  
ในยุคหลังๆ เทวศาสตร์มิได้สืบทอดกันเฉพาะผู้ถือบวชเป็นฤาษีและโยคีอีกต่อไปแล้ว ยังมีหลายอาศรม หลายสำนักที่รับศิษย์ฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เพื่อถ่ายทอดเทวศาสตร์และความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อีกด้วย

โดยศิษย์ฆราวาสที่ร่ำเรียนทางเทวศาสตร์ในสำนักต่างๆ ถึงระดับที่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธจากครูบาอาจารย์แล้ว ถ้าเป็นศิษย์เอก หรือผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหรือเจ้าอาศรมต่อไป ก็จะได้รับมอบเทพศาสตราวุธที่มีอยู่แล้วสำนักนั่นแหละครับ

ส่วนศิษย์ชั้นรองๆ ก็ต้องไปหากันเองจากภายนอก ซึ่งแหล่งที่จะจัดหาได้ ก็คือร้านขายเทวรูปและเครื่องบูชาทั่วไปนั่นเอง

หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วนะครับ ว่าอาวุธเทพเจ้าเป็นของหาไม่ยากเลยในอินเดีย สามารถหาซื้อได้ในร้านที่ผมกล่าวถึงนี้ เหมือนกับที่เราสามารถจัดหาเครื่องใช้ในพิธีทางพุทธศาสนาทุกอย่างได้จากร้านสังฆภัณฑ์อย่างไรก็อย่างนั้น




เพราะธรรมเนียมการสร้างเทพศาสตราวุธของเขา ไม่เคร่งครัดเท่าเครื่องรางประเภทอาวุธต่างๆ ในวิชาไสยศาสตร์ของเรา ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรม หรือเฟ้นหามวลสารในการจัดสร้าง แค่ทำออกมาให้ได้รูปลักษณะที่ถูกต้อง และประณีตตามสมควรก็พอแล้ว 

บรรดาผู้ศึกษาเทวศาสตร์ที่มิได้รับมอบอาวุธจากทางสำนักโดยตรง ก็จะคัดเลือกเทพอาวุธจากร้านค้าเหล่านี้แหละครับ นำกลับไปทำพิธีปลุกเสกในสำนักของตน ก่อนที่จะได้รับการเจิมจากคุรุ อันแสดงถึงศักดิ์และสิทธิ์ที่จะนำไปใช้อย่างถูกต้อง

จารีตทางมายาศาสตร์เช่นนี้ ยังสะท้อนในวิชานาฏศิลป์ของไทยเราตั้งแต่โบราณ ผู้ที่จะได้รับอาวุธจากครู ซึ่งหมายถึงเทพอาวุธที่ใช้ในการแสดงโขนละครต่างๆ นั้น จะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนมาเป็นระยะเวลายาวนาน มีความประพฤติและวัตรปฏิบัติที่เพียบพร้อมพอสมควรแล้ว ครูจึงจะมอบอาวุธให้บูชาต่อไป
         
ที่ผมบรรยายมาอย่างยืดยาวนี้ จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่จะมีศักดิ์และสิทธิ์ในการใช้อาวุธเทพเจ้า จะต้องเป็นบุคคลที่เทพเจ้าได้ทรงเลือก หรือประทานอนุญาตแล้ว ผ่านทางคุรุ หรือครูบาอาจารย์โดยตรงเท่านั้น

ส่วนบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธเหล่านี้ ก็สามารถมีไว้ในครอบครองเพื่อการบูชาได้ครับ




แต่ถ้าจะเอาไปใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ นั้น ไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องได้เรียนวิธีใช้จากคุรุ หรือครูบาอาจารย์โดยตรง จนได้รับอนุญาตเสียก่อน

เพราะเทพอาวุธเป็นของมีอาถรรพณ์แรง แม้ไม่ได้ปลุกเสก แต่ถ้าทำเหมือนของจริงมาก ก็จะมีพลังลี้ลับอยู่ในตัวของมันเองแล้วระดับหนึ่ง ถ้าเอาไปทำอะไรต่อมิอะไรโดยไม่รู้จักวิธีใช้ละก็ ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี อย่างที่โบราณท่านเรียกว่า "เข้าตัว" นั่นแหละครับ

ด้วยเหตุนี้ การที่พวกร่างทรงในบ้านเรา ได้เปิดตำหนักแอบอ้างพระนามพระเป็นเจ้าองค์สำคัญๆ  แต่งกายเลียนแบบเทวะเหล่านั้นตามที่เห็นจากในรูปวาด แล้วนำเทพศาสตราวุธของเทพเหล่านั้นมาประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ ร่ายรำเล่นกลหลอกคนดูต่างๆ

รวมทั้งนำเทพศาสตราวุธขนาดเล็กมาใช้เจิม, ทำพิธีกรรมโดยเลียนแบบพวกฤาษีในอินเดียอย่างงูๆ ปลาๆ จึงเป็นเรื่องที่ผิดกฎทางเทวศาสตร์อย่างยิ่งครับ
         
เพราะคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเข้าทรงได้จริง (คือเป็นร่างให้ภูตผีชั้นต่ำต่างๆ) หรือเข้าทรงไม่ได้แต่แสดงหลอกคนอื่นได้ก็ตาม ล้วนแต่ไม่มีครู ไม่เคยร่ำเรียนวิชาการฝ่ายเทวศาสตร์ใดๆ เพราะฉะนั้น จึงไม่เคยได้รับการเจิมหรืออนุญาตจากเทพเจ้า ให้ครอบครองและใช้อาวุธเหล่านั้น
         
แต่พวกเขาสามารถจัดหาอาวุธต่างๆ มาใช้ประกอบการแสดงได้อย่างมากมาย โดยแค่เข้าไปในตรอกแขก ย่านพาหุรัด หรือไปที่ตลาดพระวัดราชนัดดาเท่านั้น ก็สามารถเลือกหาเทพศาสตราวุธได้ตามต้องการ เหมือนอย่างที่ผู้ศึกษาเทวศาสตร์และชาวบ้านในอินเดียไปซื้อหากันจากร้านขายเทวรูปและเครื่องบูชาดังกล่าวแล้ว

ที่สนุกก็คือ ถ้าร่างทรงคนไหนอยากจะสั่งซื้อเทพอาวุธแบบที่ทำอย่างพิเศษเพียงใดจากทางอินเดียก็ได้ โดยสั่งผ่านร้านค้าในย่านเหล่านี้ ซึ่งแม้จะมีราคาแพง แต่ก็ไม่เกินกำลังของเจ้าสำนักทรงใหญ่ๆ ที่มีรายได้สูง หรือแม้แต่ร่างทรงหน้าใหม่ในวงการ ที่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่ออย่างน้อยให้มีเทพอาวุธประกอบการแสดงของตน




ความจริง ในเมืองไทยของเราเคยมีบางร้านที่มีอาวุธเทพเจ้าที่ผ่านพิธีถูกต้องจากอินเดียจำหน่ายมาจำหน่ายนะครับ อยู่ในย่านพาหุรัดนั่นเอง แต่ปัจจุบันกิจการผ่านมือสู่รุ่นลูก บรรดาเทวรูปและเครื่องบูชาในร้านก็มิได้ผ่านพิธีกรรมอะไรอีกต่อไปแล้ว 

คนที่ไม่ได้รับการเจิมให้สามารถมีเทพศาสตราวุธได้ เมื่อนำมาใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ ย่อมไม่รู้ถึงวิธีการและมนต์ที่จะใช้ พิธีเช่นนั้นย่อมไม่เกิดผล และหลายๆ กรณียังจะกลับกลายเป็นอัปมงคลสำหรับผู้เข้าร่วมพิธีเสียอีก

ผมเคยเห็นร่างทรงพระอุมาคนหนึ่ง  เอาตรีศูลเล็กๆ มาแทงลิ้นให้เลือดออก แล้วเอาเลือดนั้นเจิมเทวรูปพระอุมาที่มีผู้นำไปให้ทำพิธี  ก็น่าคิดว่าจะมีสิ่งอัปมงคลอะไรบ้างที่จะติดไปกับเทวรูปนั้น


..................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

4 ความคิดเห็น:

  1. พวกร่างทรงชอบเลียนแบบหนังแขกค่ะ ส่วนมากถ้าเป็นตรีศูลก็จะเอามาหมุนๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีท่าอะไร

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หนุนไปติดสายไฟแถวนั้นก็มีให้เห็นมาแล้วค่ะ เจ้าแม่เกือบโดนไฟช็อตท่ามกลางฝูงชน

      ลบ
  2. ไปเจอตำหนักนึงคะตรีศูลงามมาก แต่เค้าใส่อารมณ์ไปหน่อยตั้งลงไม่พอดีฐานเลยล้มฟาดคาอาสนะ หน้าเกือบแหกคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ฮากระจายเลยซิคะ สายญาณบารมีนี้ของจริง แสดงอภินิหารเอาหน้ารับตรีศูลให้ดูยังได้

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น