วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ลูกเทพ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ กระแสลูกเทพมาแรงมาก เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไปในสังคม โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่าสายการบินหนึ่งประกาศให้ผู้โดยสารอุ้มลูกเทพขึ้นเครื่องบินได้ จากนั้นตุ๊กตาผีตัวนี้ก็กลายเป็นข่าวรายวันละครับ

เหตุใดผมจึงเรียกลูกเทพว่า ตุ๊กตาผีประเดี๋ยวผมจะลำดับให้ค่อยๆ อ่านกัน

ต้องเน้นคำว่า ค่อยๆ เพราะบทความนี้ ผมมิได้วิจารณ์เฉพาะคนที่เลี้ยงลูกเทพเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องวิจารณ์คนที่ตำหนิความเชื่อดังกล่าวด้วย

เพราะคนที่ตำหนิความเชื่อดังกล่าวนี่ละครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่แสดงความคิดเห็นอย่างชนิดเอามันส์เข้าว่า-เหมารวม-มักง่าย และไม่มีความรู้อะไรเลยในสิ่งที่ตนกำลังพูดถึง

คนพวกนี้มักจะมีสมาชิกหลักๆ เป็นพวกพุทธสุดโต่งที่แอนตี้ไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา ซึ่งมักจะอ้างปรัชญาทางพุทธศาสนาตามอำเภอใจ หรือไม่ก็อ้างคำพูดของพระเถราจารย์สายเหยี่ยวในอดีตที่มีชื่อเสียงในการต่อต้านไสยศาสตร์และความงมงาย เช่นท่านพุทธทาส และท่านปัญญานันทะ

อีกพวกหนึ่งก็มักจะเป็นพวกคลั่งวิทยาศาสตร์ แล้วก็มองศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ จึงละเว้นศาสนาพุทธไว้เพียงอย่างเดียว นอกนั้นเมื่อเห็นปรากฎการณ์ความเชื่ออะไรที่ไม่ใช่พุทธก็โจมตีไว้ก่อน

โดยวิธีการโจมตีนั้นก็คือ หลับหูหลับตาเข้าไว้ ไม่จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าอะไร เพราะเมื่อถือว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ก็ไม่มีราคาให้ต้องไปใส่ใจศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่แล้ว

คนทั้งสองจำพวกนี้ละครับ ที่มีให้เห็นดาษดื่นใน Social Network หรือจะเรียกว่า นักเลงคีย์บอร์ด ก็น่าจะไม่ผิด

แล้วก็คนประเภทเดียวกับทั้งสองจำพวกนี้ละครับ ที่ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงหลายสิบปีมาแล้ว เมื่อมีอำนาจในมือ เช่น เป็นพระสงฆ์บ้าง เป็นข้าราชการบ้าง เป็นนักวิชาการที่มีหน้าที่กำหนดหลักสูตรทางการศึกษาบ้าง เป็นนักคิดนักเขียนบ้าง และเป็นสื่อมวลชนบ้าง ก็จะใช้อำนาจในมือต่อต้านและพยายามกำจัดเรื่องเหล่านี้ไปจากสังคมไทยมาตลอด

ด้วยความเพ้อฝันว่า สังคมไทยจะต้องปลอดจากไสยศาสตร์และความงมงาย กลายเป็นสังคมแสนสวยงามที่ผู้คนเข้าถึงหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และมีวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ดุจเดียวกับชาติที่เจริญแล้วในยุโรปและอเมริกา

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นพวกโลกสวยจำพวกหนึ่งนั่นละครับ

เป็นพวกที่คอยกล่าวหาคนอื่นว่างมงาย แต่ที่จริงตนเองก็งมงายอยู่ในกะลาที่ตนมองเห็น ไม่รับรู้โลกแห่งความเป็นจริงเท่าไหร่

ผลของการกระทำเช่นนี้ คือ สามัญสำนึกและวิถีชีวิตแบบไทย อันเกิดจากความรู้ความเข้าใจในทางไสยศาสตร์ เทวศาสตร์ และเรื่องลี้ลับต่างๆ อย่างถ่องแท้ อันเป็นองค์ความรู้ที่บรรพบุรุษไทยโบราณสืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างมีหลักการ ที่ประคับประคองสังคมไทยให้พุทธกับไสยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาโดยตลอด ถูกกวาดล้างทำลายไปเป็นอันมาก

ในขณะที่ของใหม่ คือพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์แบบของคนที่รู้ไม่จริง ซึ่งถูกยัดเยียดเข้าไปแทนที่นั้น ให้คำตอบอะไรไม่ได้

เพราะเป็นพุทธในกะลา และวิทยาศาสตร์ในกะลา ไม่ใช่พุทธแท้ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แท้

พุทธแท้และวิทยาศาสตร์แท้นั้น เขาไม่รีบต่อต้านหรือฟันธงในสิ่งที่เขายังไม่ได้ศึกษาจนรู้แจ้งหรอกครับ

สิ่งที่คงเหลือและตกทอดมาจนถึงยุคนี้ โดยมากจึงมีแต่เพียงความเชื่องมงาย เพ้อฝัน ที่ไม่อยู่ในหลักการหรือองค์ความรู้เก่าแก่ใดๆ ของบรรพชน เป็นความเชื่อที่เกิดจากลัทธิการเดา หรือการคิดเองเออเอง เทียบกับองค์ความรู้เดิมแล้วก็ถูกบ้างผิดบ้าง จนถึงมั่วอย่างไม่มีที่มาที่ไปอะไรเลย และปรุงแต่งขึ้นจากความวิกลจริตแบบกู่ไม่กลับ

ตัวอย่างก็เช่นการกราบไหว้เจลที่ตกลงมาจากท้องฟ้า การแห่แหนกันไปบูชาสัตว์ประหลาดที่เกิดมาพิกลพิการ หรือผิดปกติ เช่น ลูกวัวสองหัว ห้าขา เด็กสองหัวที่ตายเมื่อคลอดฯลฯ

ตามจารีตโบราณ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอาเพศนะครับ คนโบราณไม่เพียงไม่กราบไหว้บูชาสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ยังรังเกียจขยะแขยง ต้องรีบประกอบพิธีกรรมเพื่อชำระล้างอาถรรพณ์และอัปมงคลที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้กันอย่างจ้าละหวั่น

ลูกเทพ ก็เกิดจากความงมงายเช่นเดียวกันนี้เหมือนกันครับ

เป็นสิ่งที่ผมแน่ใจว่า ถ้าเกิดขึ้นในสมัยโบราณ---ไม่ต้องย้อนไปไกลนัก แค่คนรุ่นปู่ย่าตายายของเรานี่ละครับ จะไม่มีใครเอามาบูชาหรือเลี้ยงดูอย่างที่คนในสังคมไทยเราบ้าคลั่งทำกันอยู่นี้เป็นอันขาด

ดังนั้น ลูกเทพจึงเป็นเพียงผลพวงหนึ่งจากการที่พวกพุทธสุดโต่ง และพวกคลั่งวิทยาศาสตร์ในสังคมไทยเราทำลายล้างภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตามอำเภอใจกันมาตลอด 

และไม่เป็นความงมงายชนิดสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทยเรา แต่เป็นสัญญาณให้เห็นว่า ต่อไปจะมีความงมงายใหม่ๆ ที่บ้าบอกันมากกว่านี้อีก

เพราะเมื่อไม่มีหลักจริงๆ ให้ยึด คนส่วนมากก็ต้องไปยึดจากคนเด่นคนดังในสังคม ซึ่งก็คือ คนในวงการบันเทิง และหมอดูมั่วที่ไม่มีหลักวิชาอะไรเหมือนกัน

ไม่น่าแปลกใจอะไรเลยครับ ที่ผู้นำทางจิตวิญญาณในสังคมไทยส่วนหนึ่ง (โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ)  กลายเป็นมนุษย์สมองกลวงพวกนี้ แทนที่จะเป็นพระเถราจารย์ หรือฆราวาสที่แตกฉานในพระธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า 

บุคคลประเภทหลังนั้นไม่ตอบโจทย์อะไรหรอกครับ กับคนไทยบางจำพวกที่ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงเพียงใด ก็ขาดแคลนสามัญสำนึกและวิจารณญาณ

เพราะฉะนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ลูกเทพโดยการอ้างพุทธ หรือไม่ก็วิทยาศาสตร์เข้าข่มอย่างไม่รู้จริง อย่างที่แสดงความคิดเห็นกันทั่วไปอย่างในปัจจุบันนี้ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาครับ

เพราะดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว วิธีการเช่นนี้ได้พิสูจน์ตัวของมันเองมาแล้วว่าได้สร้างปัญหาทางจิตวิญญาณให้กับคนไทย จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ลูกเทพขึ้นมาเป็นกรณีล่าสุด เราจึงไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการเอาวิธีการที่ทำให้เกิดปัญหานั้นมาใช้ครับ

แล้วจะให้ทำอย่างไร?

คำตอบคือ กลับไปหาองค์ความรู้ของบรรพบุรุษของเราสิครับ


ภาพจาก http://m.prachachat.net

องค์ความรู้ของบรรพชน ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างพุทธ พราหมณ์ และผี ที่ทำให้อารยธรรมไทยเราอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ไงครับ

ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของพุทธสุดโต่งกับพวกบ้าวิทยาศาสตร์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำลายล้างส่วนที่ดีงามขององค์ความรู้ดังกล่าวไปเสียหมดทีเดียว ยังมีบางส่วน บางสำนัก บางเกจิอาจารย์ที่เหลือรอด เป็นที่พึ่งอยู่ในวงการพิธีกรรมและเครื่องรางของขลัง อันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยเราในปัจจุบันนี้ สรรพตำราที่ปรมาจารย์รุ่นก่อนเรียบเรียงไว้ ก็ยังมีให้ศึกษาค้นคว้าอยู่เป็นอันมาก

ใครที่ทนไม่ได้กับความงมงายอย่างกรณีของลูกเทพ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ สื่อมวลชน หรือประชาชน ถ้าจะใช้วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นจากความบ้าคลั่งลูกเทพ เป็นโอกาสในการแสวงหาความรู้ หรือเข้าถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพชนอย่างจริงจัง เพื่อจะได้มีวิจารณญาณ และเห็นทางแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอยากถูกต้อง ตามภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่เป็นรากเหง้าของสังคมไทยและความเป็นไทยมาตลอด 

ก็จะเป็นกุศลกรรมอย่างยิ่ง

ศาสนาพุทธนั้น ท่านมีหลักง่ายๆ ที่คนอ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชนไม่ควรละเลยเป็นอันขาด นั้นคือ อย่าลงมือ จัดการอะไรกับสิ่งที่เราไม่รู้จริงครับ

อย่างเช่นการที่นักวิจารณ์ลูกเทพ หลายคนเปรียบเทียบปรากฏการณ์ดังกล่าวกับกระแสคลั่งจตุคามรามเทพเมื่อพ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๒

ผมได้ยินได้ฟังทีไร ก็นึกสลดใจทีนั้น

มันจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไรล่ะครับ? คติจตุคามรามเทพ เป็นคติที่ไทยเรารับเข้ามาจากลังกาพร้อมกับศาสนาพุทธ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ภายหลังถูกลืมเลือน แล้วมารื้อฟื้นขึ้นใหม่เมื่อพ.ศ.๒๕๓๐ ที่มีการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช แล้วหนึ่งในคณะที่รื้อฟื้นก็ปรุงแต่งบิดเบือนไปตามทิฐิของตนเอง จนกลายเป็นปรากฏการณ์จตุคามรามเทพขึ้นมา

พูดง่ายๆ ว่าเป็นคติความเชื่อที่อย่างน้อยก็มีความเก่าแก่โบราณ มีหลักฐานรองรับอย่างต่อเนื่อง แล้วจะว่าไปท่านก็เคยเป็นเทพผู้ปกป้องพระพุทธศาสนาของเรา ในสมัยที่พระพุทธศาสนาในบ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรืองมากกว่าทุกวันนี้

ใครที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์องค์จตุคามรามเทพอย่างมันส์ในอารมณ์ พวกนั้นน่ะ จัดเป็นคนปากพล่อยนะครับ ไม่รู้ก็รู้ไว้ซะด้วย

ในขณะที่ความเชื่อตุ๊กตาลูกเทพนั้น เป็นเรื่องใหม่ ที่เกิดจากการเอาตุ๊กตาเด็กแบบฝรั่งที่ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และความลุ่มหลงส่วนตัวของผู้หญิงจำพวกหนึ่งที่มีต่อตุ๊กตาเป็นพิเศษ มาผสมกับคติความเชื่อเรื่องกุมารทองในเรื่องของการจารอักขระเลขยันต์ และการเรียกผีเข้าไปสิงสู่ ให้ตุ๊กตานั้นมีชีวิตมีจิตวิญญาณขึ้นมาเหมือนกุมารทองเท่านั้น

ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่ผมว่าไว้ คือถ้าจะย้อนกลับไปยึดหลักไสยศาสตร์โบราณกันจริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้จะกระทำกันไม่ได้เลยครับ

เพราะการสร้างกุมารทองตามตำรับโบราณแท้ จำเป็นต้องมีมวลสาร อันได้จากศพเด็กทารกเป็นส่วนประกอบสำคัญ จะนำเพียงตุ๊กตาพลาสติกประกอบจากโรงงานมาจารอักขระนั้น เป็นไปไม่ได้

อีกทั้งในการเลี้ยงดูกุมารทองนั้น แม้ว่าจะมีหลักที่คล้ายกับลูกเทพ คือคนเลี้ยงต้องคอยจัดอาหารขนมของไหว้ พูดคุย หาเสื้อผ้าใหม่ให้เป็นครั้งคราว หาของเล่นให้เป็นรางวัลเมื่อดลบันดาลตามที่ขอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบ้ากันถึงขนาดต้องพาขึ้นเครื่องบิน จนทางสายการบินต้องยอมให้จองที่นั่งได้

หรือพาไปเลี้ยงโต๊ะจีน พาไปศึกษาเล่าเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ภาษา ดนตรีฯลฯ ที่คุณครูปัญญาอ่อนหลายท่านเสนอตัวรับสอน โดยที่คุณแม่ปัญญาอ่อนเจ้าของลูกเทพยินดีจ่ายเงิน ทั้งๆ ที่ไม่มีวิธีที่จะตรวจสอบเลยว่า ลูกเทพของตนเรียนรู้วิชาเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน

ก็นี่ไงล่ะครับ ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกันในทางไสยศาสตร์ ความงมงายในการเลี้ยงลูกเทพก็จะไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีทางแพร่หลายได้อย่างเดี๋ยวนี้

แต่เพราะเราทิ้งองค์ความรู้เดิม จึงมีสำนักไสยศาสตร์จอมปลอมบางสำนัก เอาตุ๊กตาฝรั่งตัวโตๆ ที่เอาไว้ให้เด็ก (หรือผู้ใหญ่ที่ชอบตุ๊กตา) เล่น มาเปลี่ยนสีผมให้เป็นตุ๊กตาไทย แต่งชุดไทย แล้วเสกเป็นกุมารทอง กุมารี ให้ลูกศิษย์ที่ทำแท้ง หรือลูกตายก่อนพ้นวัยทารกนำไปเลี้ยงดู โดยอ้างว่าเพื่อให้วิญญาณเด็กที่ตายไปนั้นมาสิง

มุกนี้จับใจคนที่ทำแท้ง หรือสูญเสียลูกแทบทุกคนครับ เพราะมักจะมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจกันอยู่แล้ว การรับตุ๊กตาเด็กที่อาจทดแทนลูกที่สูญเสียไปมาเลี้ยง จึงเป็นคำตอบที่ตรงจุดสำหรับผู้หญิงพวกนี้

ผมไม่แน่ใจว่า วิธีการเช่นนี้เป็นการเลียนแบบตุ๊กตาฝรั่ง ที่ทำเลียนแบบเด็กทารกจริงๆ ชนิดที่เรียกกันว่า ตุ๊กตารีบอร์น (Reborn) หรือเปล่านะครับ


ภาพจาก http://www.wedding2hand.com

ตุ๊กตาชนิดที่ว่านี้ทำกันมานานแล้วในโลกตะวันตก เขาทำเอาไว้ให้คุณแม่ที่สูญเสียลูก หรือหญิงวัยกลางคนที่อยากมีลูก ได้เอาไปเลี้ยงดูเหมือนเป็นลูกจริงๆ ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นการบำบัด (Healing) ชนิดหนึ่งครับ ส่วนคนที่รักเด็กหรือชอบตุ๊กตาที่เหมือนเด็กจริงๆ ก็นิยมนำไปเลี้ยงเช่นเดียวกัน 

เพียงแต่วัฒนธรรมฝรั่งเวลาเลี้ยงเด็กอ่อน เขาไม่พาไปไหนถ้าไม่จำเป็นไงครับ เวลาเลี้ยงตุ๊กตารีบอร์นเขาก็กระทำดุจเดียวกัน จึงไม่สร้างความรำคาญแก่สาธารณชนเหมือนลูกเทพ

ส่วนตุ๊กตาผีสำหรับคนไทยที่แท้งลูก หรือสูญเสียลูกนี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบปีมานี้เห็นจะได้ครับ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และน่าจะเป็นเส้นทางหนึ่งที่วิวัฒนาการกลายมาเป็นลูกเทพในทุกวันนี้ เพราะรูปแบบส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน วิธีการเลี้ยงดูประคบประหงมก็ไม่แตกต่างกัน คือจะต้องทำให้รู้สึกว่าเป็นเหมือนเด็กจริงๆ

ไม่เหมือนอย่างการเลี้ยงกุมารทองตามหลักไสยศาสตร์เดิม ซึ่งเป็นการเลี้ยงอย่างลำลอง ไม่ต่างไปจากเครื่องรางค้าขายอื่นๆ อย่างนางกวักมากนัก

แล้วอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ทำให้เจ้าตุ๊กตาผีพวกนี้วิวัฒนาการเป็นลูกเทพ อย่างที่เห็นกันอยู่นี้ ก็อาจจะมาจากตุ๊กตารีบอร์นด้วยนั่นเอง เพราะก็ปรากฏว่ามีคนไทยเราเอามาเลี้ยงดูเช่นกัน เป็นข่าวอยู่ระยะหนึ่งนะครับ เพียงแต่เขาก็เลี้ยงกันแบบฝรั่ง คือเลี้ยงเหมือนเด็กจริงๆ จะนำพาไปอวดกันก็เฉพาะในวงสังคมเดียวกัน รวมทั้งไม่มีไสยศาสตร์ หรือเรื่องของโชคลาภใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ตุ๊กตาผีนี้ขึ้นมาอย่างอึกทีกครึกโครมจริงๆ ก็อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ คือเกิดจากหมอดูคนหนึ่ง เรียกกันว่า หมอแมค ที่เปิดเพจชื่อบ้านตุ๊กตาเทพอะไรนั่นละครับ แล้วพวกดารากับคนเด่นคนดังอีกหลายคนก็เอามาเผยแพร่ แล้วก็เลยเห่อตามกันไปจนกลายเป็นกระแสขึ้นมา




มันไม่ได้ดูน่ากลัวไงครับเมื่อเทียบกับกุมารทอง และผู้หญิงส่วนใหญ่ ต่อให้ไม่สนใจในเรื่องความเชื่อ ก็มักจะชอบตุ๊กตากันอยู่แล้ว

ครับ, เมื่อต้นสายปลายเหตุมันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการพาสังคมไทยกลับเข้าสู่หลักเดิม องค์ความรู้เดิม จึงจะแก้ไข และป้องกันความงมงายบ้าคลั่งยิ่งกว่านี้ อันจะเกิดตามมาอีกมากในอนาคตได้

ถ้าใครที่เลี้ยงลูกเทพ เพราะมีปมในใจเรื่องทำแท้ง หรือเสียลูก ก็ต้องเอาหลักไสยศาสตร์จริงๆ เข้าจับ ให้ความรู้กับเขาว่าการทำอย่างนั้น มีแต่จะเหนี่ยวรั้งพันธนาการวิญญาณของลูกเขามิให้ไปสู่สุคติ วิญญาณของลูกเขาแทนที่จะได้ไปผุดไปเกิด ก็ต้องมาทนทุกข์ทรมาน ถูกหลอกให้มีชีวิตจอมปลอม ไม่ได้มีโอกาสไปเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล

เท่ากับคนที่เป็นแม่ ทำผิดกับลูกซ้ำสอง และทำร้ายทรมานลูกของตนเอง อย่างที่ผู้เป็นแม่ไม่ควรกระทำ

ดังนั้น จึงควรแก้ไขด้วยการเอาลูกเทพที่เลี้ยงอยู่นั้น ไปให้พระเกจิอาจารย์ถอดถอน ส่งวิญญาณเด็กที่แฝงอยู่ไปสู่สุคติเสีย

ส่วนปมในใจผู้เป็นแม่ ไม่ว่าจะเกิดจากการทำแท้งหรือเสียลูกตั้งแต่เยาว์วัยก็ตาม ควรชดเชยด้วยการบริจาคทานช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กด้อยโอกาส สมทบทุนการศึกษา โครงการบรรพชาสามเณร หรือสาธารณกุศลใดๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก

ถ้ามีกำลังทรัพย์พอก็เป็นเจ้าภาพบวชเณร หรือสร้างพระพุทธรูป แล้วอุทิศบุญกุศลเหล่านั้นให้ลูกที่ตายไป ก็จะได้ชื่อว่าเป็นการกระทำอันสมควรแล้วสำหรับคนที่เป็นแม่ ดีที่สุดแล้วที่แม่จะทำให้ลูกที่ตายจากไป เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ที่แท้จริง จะต้องยินดีที่เห็นลูกไปมีความสุขความเจริญทั้งนั้น

นี่ไงครับ วิธีแก้ปัญหาแบบสังคมไทยรุ่นปู่ย่าตายาย หรือสังคมแบบพุทธ-พราหมณ์-ผี ที่ได้ผลแน่นอน แทนที่จะเป็นการออกมาสั่งสอนกันปาวๆ ว่า อย่าไปหลงเชื่อไสยศาสตร์มันไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ฯลฯ คำพูดแบบนั้นมันสำหรับคนที่มีปัญญา และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะคิดเป็น แก้ปัญหาเป็นครับ




ส่วนพวกเลี้ยงลูกเทพที่เห่อตามแฟชั่น หรือบ้าดารา เห็นดาราทำอะไรทำตามไปหมด คนพวกนี้ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว ถ้าดาราไม่ออกมาตักเตือน หรือเลิกทำเป็นตัวอย่าง พวกเขาก็ไม่เลิกตามหรอกครับ

ดังนั้น ถ้าอยากจะให้ปรากฏการณ์นี้จางหายไปโดยเร็ว เราต้องไม่ตามใจ หรืออำนวยความสะดวกให้คนที่ทำอย่างนี้

อย่างที่พวกสายการบินอนุญาตให้ซื้อที่นั่งสำหรับลูกเทพได้ แม้จะจำกัดเฉพาะที่นั่งริมหน้าต่าง (เพื่อมิให้สร้างความรำคาญกับผู้โดยสารอื่น) แต่ที่จริงแล้ว เมื่อระเบียบของสายการบินกำหนดว่าลูกเทพเป็นสัมภาระอย่างหนึ่ง ก็ควรต้องยึดตามระเบียบนั้น คือใครจะพาลูกเทพขึ้นเครื่องก็ต้องเอาไปเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระด้านบน หรือใต้ที่นั่ง ไม่มีสิทธิ์เอามาอุ้มไว้บนตัก หรือไม่มีสิทธิ์จองที่นั่งให้โดยเฉพาะ

พูดง่ายๆ ว่า ความเชื่อเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ในการใช้บริการสาธารณะ ทุกคนต้องมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ควรมีใครมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นโดยการอ้างความเชื่อที่ไม่เป็นศาสนา 

การที่สายการบินยอมให้ซื้อที่นั่งสำหรับลูกเทพได้ ถึงได้โดนคนด่ากันไปทั่วเมืองไงครับ เพราะเท่ากับสายการบินนั้นเห็นแต่เงินที่จะได้จากคนปัญญาอ่อน โดยไม่สนใจอะไรอื่นแม้แต่มาตรฐานทางการบิน 




ถ้าเป็นตัวผมเอง รู้ว่าสายการบินไหนยอมให้ลูกเทพมีที่นั่งในเครื่อง ผมจะไม่ใช้บริการสายการบินนั้นครับ เพราะผมไม่ไว้ใจว่าจะเป็นสายการบินที่ดำเนินการตามมาตรฐานการบินตามหลักสากล

ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าถ้าสายการบินประนีประนอมกับเรื่องอย่างนี้ได้ เพราะเห็นแก่เงินที่จะได้รับ แล้วเรื่องอื่นที่ต้องมีเงินเข้ามาเกี่ยวเหมือนกัน จะแอบประนีประนอมกันยิ่งกว่านี้ไหมล่ะครับ เช่น การซ่อมบำรุง ฯลฯ

หรือเซลส์คนไหนที่พาลูกเทพไปช่วยขายของ ถ้าเราเห็นว่าเขาพาลูกเทพมาด้วย เราก็อย่าไปซื้อสินค้าเขาสิครับ เพราะเราสมควรจะไว้ใจสินค้าและบริการจากคนปัญญาอ่อนไหมล่ะครับ

ในขณะเดียวกัน วัดที่มีพระเกจิอาจารย์รับเสกลูกเทพ มีคนแห่แหนกันเอาลูกเทพเข้าไปปลุกเสกกันนับร้อยนับพันตัว ก็ควรมีมาตรการในการจัดการกับพระเกจิอาจารย์รูปนั้นครับ




แต่ไม่ใช่ฉวยโอกาสเอาลูกเทพมาเป็นประเด็น แล้วจัดการกับพระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังตามวัดต่างๆ แบบเหมารวม หรือเหวี่ยงแห เพราะนั่นจะกลายเป็นย้อนกลับเข้าไปสู่วังวนของความหลงผิดเชื่อผิด แบบที่พุทธสุดโต่งกับพวกบ้าวิทยาศาสตร์ทำให้สังคมของเรางมงายกันอยู่ทุกวันนี้

ซึ่งเราก็จะต้องกลับสู่หลักเดิม เพื่อคัดกรองกันอีกละครับ ว่าอะไรที่เป็นของแท้ อะไรที่เป็นของอุปโลกน์ขึ้นมาภายหลัง ต้องเอาคนที่รู้จริงมาเป็นที่ปรึกษา แล้วก็จัดการเฉพาะกับของที่อุปโลกน์ขึ้นมา

อย่างเช่นวิชาไสยศาสตร์ คาถาอาคมแบบโบราณ ซึ่งพระเกจิอาจารย์ในวัดไหนก็ตาม ถ้าท่านสืบทอดมาอย่างถูกหลัก มีอาจารย์มีตำราเป็นตัวเป็นตน แล้วจะมาจัดทำเป็นเครื่องรางของขลังเช่นพวกพระพุทธรูป เทวรูป ตะกรุด นางกวัก พญาเต่าเรือนฯลฯ เพื่อหาเงินสร้างเสนาสนะอะไรก็ตาม 

ก็ปล่อยให้ท่านทำต่อไปเถอะครับ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีวัฒนธรรมของสังคมเรา และยังเป็นการอนุรักษ์ให้มีข้อเปรียบเทียบ อ้างอิงได้ว่า ของแท้แต่โบราณนั้น เขาทำกันอย่างไร

เพราะสังคมไทยยุคเก่าก่อน สถาบันการศึกษามีแต่วัดอย่างเดียว วิชาอะไรไม่ว่าทางโลกทางธรรม ต้องสืบทอดกันผ่านวัดทั้งนั้น แล้ววิชาโบราณหลายสาขาโดยเฉพาะไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะมาเปิดสอนเป็นการสาธารณะได้ ก็จำเป็นต้องให้สืบทอดผ่านวัดและพระภิกษุต่อไป

ส่วนพวกไสยศาสตร์จอมปลอม อุปโลกน์กันขึ้นมาใหม่ ไม่มีหลักฐานอะไรรองรับ อย่างการเสกลูกเทพนี้ อ้างอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อได้ว่าเป็นของเก่า หรือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม ถ้าเป็นพระก็ให้ท่านพ้นไปเป็นฆราวาสเถอะครับ แล้วท่านอยากทำอะไรก็ให้ไปทำนอกวัด เพราะความรู้ของท่าน ไม่มีคุณค่าอะไรที่จะต้องเก็บรักษา


ภาพจาก http:highlight.kapook.com

และผมขอบอกตรงนี้เลยนะครับว่า ถ้ามีใครฉวยโอกาสอ้างเอาลูกเทพในการกำจัดพระเกจิอาจารย์ที่สืบสายวิชามาอย่างถูกต้อง ดังที่เริ่มมีกระแสกันขึ้นมาบ้างแล้วในช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ คนคนนั้นก็คือคนปัญญาอ่อนไม่แตกต่างอะไรกับพวกที่เลี้ยงลูกเทพหรอกครับ

เราต้องเรียนรู้ความผิดพลาด และแก้ปัญหาให้ถูกจุด ถ้ายังคงแก้ปัญหาแบบมักง่าย หลับหูหลับตากันเรื่อยไป ก็อย่ามาอ้างความเป็นชาวพุทธเลยครับ

พราะพระพุทธองค์ ท่านไม่เคยสอนให้พุทธบริษัทเป็นผู้ประมาท และมักง่ายเลยจริงๆ


................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


6 ความคิดเห็น:

  1. เพราะสุดโต่ง อย่างงมงาย นึกว่าตัวจะเป็นผู้นำสิริมงคลมาสู่ศาสนาและสังคม จึงกำจัดสิ่งที่ไม่ใช่พวกของตนเสีย

    สุดท้าย ก็พาสังคมไปสู่ตวามงมงายที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม แล้วใครรับผิดชอบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่มีใครรับผิดชอบค่ะ เพราะคนที่ทำไม่คิดว่าตัวเองทำผิด ^ ^"

      ลบ
  2. มีแล้วนะคะ คนปัญญาอ่อนที่ฉวยโอกาสอ้างลูกเทพในการกำจัดพระเกจิอาจารย์ที่สืบสายวิชามาอย่างถูกต้อง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คนปัญญาอ่อนที่หนุนหลังวัดจานบินอยู่ใช่มั้ยคะ

      ลบ
  3. ตอนนี้เอาไปทิ้งไว้ตามวัดโน้นวัดนี้ เป็นสิบๆ ตัวเลยคะ น่าเกลียดมากเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นั่นซิคะ ตอนแรกบ้าอุ้มโชว์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง เอามาอวดกันว่ารักเหมือนลูก พอเจอกระแสต้าน ทิ้งลูกเฉยเลย นี่ละค่ะคนไทย

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น