วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

ท้าวมหาพรหมเอราวัณ : ลิขิตสวรรค์ที่ไม่มีใครรับฟัง

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์




ในบรรดาเทวาลัยประเภทหอพระ หรือศาลเทพทั้งหมดในเมืองไทย ไม่มีแห่งใดมีชื่อเสียงเลื่องลือเท่ากับศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ  ณ สี่แยกราชประสงค์

ท้าวมหาพรหมองค์นี้ เคยมีเทวานุภาพมากมายมหาศาล มากมายเพียงใดดูจากจำนวนคนที่ไปกราบไหว้ในแต่ละวัน ตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมา

ความศักดิ์สิทธิ์ของท้าวมหาพรหมที่นี่ ยังทำให้เกิดความนิยมตั้งศาลพระพรหมขึ้นในเมืองไทย ถึงขนาดที่ว่าใครมีเงินจะตั้งศาลเทพใหญ่ๆ เพื่อปกปักรักษากิจการบ้านช่อง นึกอะไรไม่ออกก็ต้องตั้งศาลพระพรหมไว้ก่อนด้วยกันทั้งนั้น

ความศักดิ์สิทธิ์ของท้าวมหาพรหมเอราวัณ ถ้าพูดตามหลักเทวศาสตร์ คือ

๑) เกิดจากช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการที่องค์ท้าวมหาพรหมจะได้มาประทานพรช่วยเหลือมนุษย์

๒) เกิดจากลักษณะพื้นที่ หรือพูดง่ายๆ ว่า ฮวงจุ้ยของศาล เหมาะสมกับช่วงเวลานั้น

๓) เกิดจากผู้ตั้งศาล คือโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดท่านหนึ่งในยุคก่อนพ.ศ.๒๕๐๐ ท่านผู้นั้นคือ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์


ภาพจาก http://www.bloggang.com

๔) เกิดจากงานออกแบบสร้างเทวรูป และเทวาลัยที่รวมยอดฝีมือในทางศิลปศาสตร์ไว้อย่างครบถ้วน ยากจะหาที่ใดทัดเทียมในสมัยนั้น

ทั้ง ๔ อย่างนี้ มารวมเข้าด้วยกันอย่างบริบูรณ์ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๙  เป็นความเหมาะสมลงตัวทุกอย่างที่อำนวยให้องค์ท้าวมหาพรหมศักดิ์สิทธิ์ ใครไปขออะไรก็ได้ผล ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนเล่าลือต่อๆ กันมา

ซึ่งผมคงต้องเน้นไว้ตั้งแต่ตรงนี้ ว่า เป็นสิ่งที่เกิดไปแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีหนทางใดที่จะสามารถเลียนแบบ หรือทำซ้ำให้เกิดสภาวะเดียวกันนั้นได้อีกต่อไป

และเมื่อเวลาล่วงเลยจนครบ ๕๐ ปี ตอนดึกสงัดของวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๙ หนุ่มอิสลามที่ว่ากันว่า วิกลจริตอายุประมาณ ๒๗ ปี เดินข้ามถนนจากฝั่งโรงพยาบาลตำรวจเข้าไปในบริเวณศาล จากนั้นได้ปีนขึ้นไปใช้ฆ้อนทุบทำลายองค์ท้าวมหาพรหมซึ่งหล่อด้วยปูนจนเสียหายย่อยยับ ยังความสะเทือนใจแก่ผู้ศรัทธาในองค์ท่านทั่วประเทศไทย และทั่วโลก


ภาพจาก http://www.hewhew.com

ผมจำได้ว่า ตอนนั้นสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือผู้จัดการขอสัมภาษณ์ผมในกรณีดังกล่าว ผมให้ความเห็นไปพอสรุปได้ว่า ไม่เห็นด้วยที่จะปั้นขึ้นใหม่

เพราะเมื่อท่านถูกทุบทำลายจนเสียหายถึงเพียงนั้น ก็หมายความว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านหมดไปแล้ว หลังจากที่ท่านสำแดงอานุภาพโปรดผู้คน ณ ที่นั้นมาตลอด ๕๐ ปี

เมื่อไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว องค์ท่านก็แตกทำลายไม่มีชิ้นดีไปแล้ว ก็ควรต้องทำใจยอมรับครับ

แต่เมื่อตอนนั้นยอมรับกันไม่ได้ ทั้งด้วยเงื่อนไขทางจิตใจ จิตวิทยา และเงื่อนไขทางการท่องเที่ยว รัฐบาลสมัยนั้น ก็รีบสั่งการให้กรมศิลปากรหล่อองค์ท้าวมหาพรหมขึ้นใหม่ โดยนำชิ้นส่วนองค์เดิมบรรจุไว้ด้วย

การหล่อท้าวมหาพรหมองค์ใหม่ สำเร็จภายใน ๒ เดือน สามารถอัญเชิญขึ้นประดิษฐานให้ผู้คนกราบไหว้เหมือนเดิม โดยมีพิธีพราหมณ์อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ

หลังจากนั้น ก็มีการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยและนักท่องเที่ยวพากันไปกราบไหว้องค์ท้าวมหาพรหมองค์ใหม่ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

แต่การกระทำเหล่านี้ มันปิดบังความจริงไม่ได้หรอกครับ 

ความจริงที่ว่า เมื่อเทวรูปองค์เดิมซึ่งสถาปนาโดยพล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ได้ถูกทำลายไปแล้ว เทวรูปที่สถาปนาขึ้นใหม่แม้จะถอดแบบมาจากองค์เดิม และมีมวลสารขององค์เดิมผสม

แต่เมื่อเปลี่ยนเจ้าพิธีอัญเชิญ เปลี่ยนรูปแบบพิธีกรรมในการสถาปนา และไม่ใช่วันเวลาเดียวกับที่ตั้งศาลครั้งแรก เทวรูปท้าวมหาพรหมองค์ใหม่นี้ ย่อมไม่อาจเป็นเครื่องสื่อผ่านระหว่างผู้บูชา กับท้าวมหาพรหมองค์เดิมได้อีกต่อไป

เพราะอย่างน้อยที่สุด พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์เท่านั้นที่รู้ดีว่า ท่านอัญเชิญพระพรหมองค์ใดมาประทับ

และก็เป็นท่านเพียงผู้เดียวอีกเช่นกัน ที่สามารถติดต่อกับพระพรหมองค์นั้นได้ครับ

ความจริง การที่เจ้าพิธีคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำของสถาบันพราหมณ์ไทยในขณะนั้น ได้ดำเนินการจัดพิธีสถาปนาอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่สมบูรณ์ตามเทวศาสตร์ไทย ดังที่ปรากฏ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรจะเป็นที่วางใจได้ว่า ถึงจะไม่ใช่ท้าวมหาพรหมองค์เดิม แต่เทพที่เสด็จไปประทับย่อมเป็นเทพชั้นสูง และทรงมีทิพยภาวะ มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทรงรับการบูชาจากมนุษย์ ผ่านเทวรูปองค์นั้นได้

ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น แล้วมีผู้เลื่อมใสพากันไปกราบไหว้บูชาอย่างคึกคักและด้วยจิตศรัทธาเหมือนเดิม เทวสถานดังกล่าวก็อาจจะกลับมาศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครั้ง หรืออาจจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเดิมด้วยนะครับ

เพราะอย่างน้อย ท้าวมหาพรหมองค์เดิมที่คุณหลวงสุวิชานแพทย์ท่านสัมผัสได้นั้น ก็ยังมีข้อกังขาในทางเทวศาสตร์อยู่

แต่ปัญหาก็คือ เทวรูปท้าวมหาพรหมที่บูรณะขึ้นใหม่ ไม่เพียงรักษารูปแบบขององค์เดิมไว้ทุกกระเบียดนิ้ว ยังมีชิ้นส่วนขององค์เดิม และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นก็ยังคงมุ่งที่จะอัญเชิญท้าวมหาพรหมองค์เดิมให้ได้มากที่สุด

ซึ่งผลที่ได้รับ ก็คือ เทวรูปดังกล่าวไม่เพียงไม่สามารถเป็นสื่อของท้าวมหาพรหมองค์เดียวกับที่ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์อัญเชิญเมื่อ ๕๐ ปีก่อน ยังไม่สามารถเป็นสื่อขององค์เทพชั้นสูงใดๆ ที่จะเข้าไปแทนที่ด้วย

ก็เพราะมวลสาร ที่สะสมไว้ทั้งปราณของท้าวมหาพรหมองค์เดิม ซึ่งแผ่อานุภาพต่อเนื่องยาวนานกว่า ๕๐ ปี และสภาวะที่ถูกทุบทำลายย่อยยับนั่นแหละครับ ที่ทำให้ไม่มีเทพเจ้า หรือพระพรหมองค์ใดรับเทวรูปนั้นแทนได้

ส่วนท้าวมหาพรหมองค์เดิมนั้น เวลาที่ท่านโปรดมวลมนุษย์ ๕๐ ปี ถือว่าจบลงไปแล้วในคืนที่เทวรูปของท่านถูกคนบ้าทุบทำลาย หลังจากนั้น เมื่อไม่มีเจ้าพิธีที่สืบทอดวิชาจาก พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ หรือสามารถเลียนแบบวิชาของคุณหลวงในการอัญเชิญท่านได้ ท่านก็ไม่มีเหตุที่จะมาโปรดมวลมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

พูดประสาชาวบ้านก็คือ คนเก่าไม่อยู่แล้ว คนใหม่ก็เข้าไปอยู่แทนไม่ได้ไงครับ

ท้าวมหาพรหมองค์ใหม่ จึงไม่ศักดิ์สิทธิ์ ประสบการณ์ของคนที่ไปกราบไหว้ แทบไม่มีการนำมาเล่าขานกันเหมือนองค์เดิม

และเมื่อเป็นเทวรูปที่ไม่สมบูรณ์ ไม่เป็นสื่อของเทพยดาผู้ทรงฤทธานุภาพองค์ใดทั้งสิ้น แต่กลับยังคงมีผู้คนมากหน้าหลายตาหลากภาษา แวะเวียนกันไปไหว้เป็นจำนวนมาก อาถรรพณ์ที่เกิดจากการที่เทวรูปองค์เดิมถูกทุบทำลายย่อยยับ และอัปมงคลจากผู้คนที่แบกปัญหาร้อยแปดพันเก้าเข้าไปขอพรสั่งสมกันมาก่อนหน้านั้น ๕๐ ปีก็ยังไม่ถูกขจัดออกไป

ก็คงเป็นเหตุปัจจัยส่วนหนึ่ง ที่นำมาซึ่งความวิบัติหายนะ ที่คร่าชีวิตผู้คนเมื่อตอนค่ำวันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘


ภาพจาก http://mcot-web.mcot.net

เพราะสังเกตได้ว่า การก่อวินาศกรรมโดยคนร้ายคณะเดียวกันที่บริเวณท่าเรือสาทร กลับไร้ผล ไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย ไม่แม้แต่เกิดความเสียหายกับวัตถุใดๆ ในบริเวณนั้น

ทั้งที่เหตุการณ์น่าจะเป็นตรงกันข้าม

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลท้าวมหาพรหม ควรจะมีอำนาจเพียงพอที่จะยับยั้งเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นได้ ขณะที่บริเวณท่าเรือซึ่งไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง (หรืออาจจะมีคือศาลเจ้าจีนบริเวณใกล้เคียงกัน) ควรจะเกิดการสูญเสียมากกว่า

เมื่อเกิดเหตุสลดใจขึ้นเช่นนี้ พวกเราจึงควรจะตาสว่างกันได้หรือยังว่า ท้าวมหาพรหมที่บูรณะขึ้นใหม่ท่านยับยั้งภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และคุ้มครองคนที่ไปบูชาท่านไม่ได้

ผมอยากให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำหรับวงการเทพของเรานะครับ

สิ่งที่ดีงาม เคยเป็นหลักพึ่งพิงได้ ถึงเวลาหนึ่ง ก็ต้องเสื่อมสูญไป เป็นธรรมดา เป็นกฎแห่งอนิจจัง ที่พวกเราชาวพุทธจะต้องทำใจยอมรับ ไม่ใช่พยายามฝืน ดันทุรัง


ภาพจาก  http://www.tnamcot.com

แต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แนวทางปฏิบัติก็ยังคงเป็นไปในรูปแบบเดิม มีการบูรณะองค์ท้าวมหาพรหม (ที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดบางส่วน) ภายในเวลาอันรวดเร็ว แล้วประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวเข้าไปกราบไหว้กันต่อ ภายใต้แนวความคิดที่เหมือนกับเป็นการแสดงพลัง เพื่อบำรุงขวัญของประเทศไทย อะไรทำนองนั้น

ครับ, ก็เห็นกันอยู่ทนโท่ ว่าท่านคุ้มครองใครไม่ได้ แต่ก็ยังป่าวประกาศเชิญชวนให้พากันไปไหว้

ตายไป ๒๗ ศพ เจ็บอีกนับร้อย ถ้ากับคนเหล่านี้ท่านยังคุ้มครองไม่ได้ คุณคิดว่าท่านยังจะประทานพรอะไรได้อีกหรือครับ?

ตกลงเราไม่ได้ไปไหว้เพราะท่านศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหมครับ? เราไปไหว้เพราะท่านกลายเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้โลกนี้ สวยขึ้น หรือเปล่า?


ภาพจาก http://www.naewna.com

แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก ใครจะรับผิดชอบ?

ผมว่าคงไม่มี

เพราะบรรดานักประชาสัมพันธ์ ที่ช่วยกันป่าวประกาศให้คนไปไหว้ท้าวมหาพรหมตั้งแต่หลัง ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เป็นต้นมา จน ๒๗ ชีวิตต้องพากันไปตายเพราะการก่อวินาศกรรม ก็ไม่เห็นมีใครคิดว่าตนควรรับผิดชอบ

แถมหลังการระเบิดล่าสุด ยังมีการไปซื้อตัวดาราจีนมาช่วยประชาสัมพันธ์ เรียกทัวร์จีนให้กลับไปไหว้กันอีกต่างหาก

เรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดในสมัยปู่ย่าตายายของเรา คงหลอกใครไม่ได้ครับ

แต่คิดอีกที, ถ้าการทุบทำลายท้าวมหาพรหมเกิดขึ้นในสมัยปู่ย่าตายายของเรา ก็คงไม่มีใครต้องพากันไปบาดเจ็บล้มตายในอีก ๙ ปีต่อมา

เพราะการที่รูปเคารพสำคัญแตกหักเสียหาย แล้วจะเอามาปะติดปะต่อใหม่ หรือทำเป็นมวลสารใส่ไว้ในรูปเคารพองค์ใหม่ ที่สร้างเลียนแบบพิมพ์เดิมทุกกระเบียดนิ้ว แล้วบูชาเป็นองค์เดิม ภายใต้พระนามเดิมต่อไป คนโบราณเขาไม่ทำกันครับ

ถ้าคนโบราณเขาอยากจะไหว้พระ หรือเทวรูปองค์นั้นต่อไป เขาจะเอาเศษซากไปบรรจุไว้ในเจดีย์ หรือจะเอาไปบรรจุในพระพุทธรูป หรือเทวรูปที่สร้างขึ้นใหม่ก็ได้เหมือนกัน

แต่เขาจะไม่สร้างองค์ใหม่ให้เหมือนเดิม พูดง่ายๆ ก็คือทำเป็นของใหม่ไปเลยครับ จากนั้นก็ทำพิธีเสกเป็นองค์ใหม่ ถวายพระนามใหม่ แล้วบูชาในฐานะองค์ใหม่ ไม่ใช่องค์เดิม

ดังนั้น ถ้ามีใครถามว่า ถ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ควรทำอย่างไรบ้าง ผมก็จะตอบว่า

๑) ขจัดอาถรรพณ์และอัปมงคล อันเกิดจากมีผู้เสียชีวิตในบริเวณศาลเสียก่อน

ซึ่งการจะทำเช่นนี้ ต้องมีพิธีกรรม ต้องปรึกษาทางเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ พราหมณ์ท่านมีวิธีล้างอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ ไม่ใช่เอาน้ำไปฉีดไปล้างกันอย่างนั้น แล้วให้สาธารณชนเข้าไปกราบไหว้กันต่อ ใช้ไม่ได้ครับ

๒) ให้กรมศิลป์ซ่อมเทวรูปท้าวมหาพรหมให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยกท่านไปเก็บรักษาไว้ในที่อันควร เช่น อาคารที่สร้างขึ้นสำหรับท่านเป็นพิเศษ หรือเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ก็ได้

แล้วก็รื้อศาลเดิมออก เคลียร์สถานที่ เชิญพราหมณ์มาทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับการตั้งศาลใหม่ เสร็จแล้วก็ทำศาลใหม่ ออกแบบใหม่ ไม่ต้องเหมือนของเดิม

ส่วนองค์เทวรูป ก็ให้กรมศิลป์ออกแบบขึ้นใหม่เช่นกัน ให้ดูเป็นท้าวมหาพรหมองค์ใหม่ไปเลย ทั้งรูปแบบ เครื่องทรง สัดส่วนเทวรูป ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับของเดิม แล้วถวายพระนามใหม่ ทำพิธีบวงสรวงเทวาภิเษกใหม่

สร้างองค์ใหม่ไปเลยครับ ให้มีภาพใหม่ๆ เผยแพร่ออกไปว่า บริเวณนั้นเคยมีท้าวมหาพรหมเป็นสัญลักษณ์ และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ถูกทำลายไปแล้ว จึงสถาปนาขึ้นใหม่ทดแทน

เป็นรูปเคารพของท้าวมหาพรหมเหมือนกัน แต่เป็นของใหม่ ใครอยากไปไหว้ก็ไหว้ได้เหมือนองค์เดิม โดยไม่ต้องมีวิจิกิจฉาว่า โดนทุบก็แล้ว โดนระเบิดมีคนตายก็แล้ว ท่านยังจะมีฤทธิ์ช่วยอะไรเราได้แค่ไหน

ผมว่า น่าจะอธิบายกับคณะศรัทธาจีนง่ายกว่านะครับ

คนจีนเขาไม่คิดมากหรอกครับ เรื่องความใหม่ความเก่า ให้เขาลองมาไหว้แล้วถ้าเขาได้ผล เดี๋ยวก็บอกกันปากต่อปาก กระแสศรัทธาที่หายไป อาจจะกลับมาเหมือนสมัยก่อนถูกทุบก็ได้

แต่เมื่อแนวความคิดนี้ ยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เราก็คงต้องทำใจ และเตือนสติญาติมิตรคนรู้จักที่จะไปไหว้ท้าวมหาพรหม ให้คิดให้ได้ คิดให้เป็น ด้วยสามัญสำนึกที่มนุษย์ปุถุชนควรมี


ภาพจาก http://daily.bangkokbiznews.com

ถ้าจะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรไหว้เพราะท่านศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ไหว้เพราะเป็นแฟชั่น ดาราชวนไปก็ไป หรือไปเพื่อรับใช้ธุรกิจของใคร


ค่าโง่นั้น ไม่ว่าต้องจ่ายถูกหรือแพง เราก็ต้องเป็นคนจ่ายด้วยตัวเราเองครับ ไม่มีใครมาจ่ายให้เรา


.................................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด



6 ความคิดเห็น:

  1. ยากที่คนจะยอมรับ ยุคสมัยนี้เป็นยุคหลักกู กูอยากเชื่ออะไรก็หลับหูหลับตา หาเหตุผลลากเข้า ใครเสนอข้อเท็จจริง ไม่ตรงกะใจก็ไม่เอาทั้งนั้น คนนับถือเทพ ถึงถูกตราหน้าว่าเป็นคนงมงาย ทั้งที่การบูชาเทพอย่างถูกต้อง คนบูชาต้องไม่งมงาย ไม่งอมืองอเท้า ไม่โลกสวย จึงบูชาเทพได้ผล และได้รับการคุ้มครองจริงๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. จริงที่สุดค่ะ แล้วที่แย่ก็คือมองไปทางไหนก็เห็นแต่คนเช่นว่านี้ทั้งนั้น หาคนที่มีสติปัญญายากจริงๆ

      ลบ
  2. ขอให้ได้เงินเท่านั้นค่ะ ใครจะตายก็ถือว่าตายเพื่อเศรษฐกิจของชาติ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. น้องเปียเมนต์ได้ตรงจุดมากค่ะ

      ลบ
  3. คาดว่า...คงเป็นบทความที่บาดใจใครหลายๆ คนค่ะ โดยเฉพาะพวกโลกสวย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เพราะโลกตามที่เป็นจริงมันไม่สวยไงคะ

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น