วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

พระฤาษีกไลยโกฎิ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





พระฤาษีองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นพระฤาษีหน้าเนื้อ นับเป็นมหาฤาษีผู้ทรงตบะสูงส่งท่านหนึ่ง และเป็นอาจารย์สายฤาษีองค์หนึ่งที่ผมเคารพนับถือเป็นการส่วนตัวครับ

ท่านมีนามในตำราต่างๆ ว่า พระฤาษีฤษยะสฤงค์ บ้าง หรือ พระฤาษีอิสีสิงค์ บ้าง ตามตำราว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีพิภาณฑกมุนี และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนี ซึ่งเป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีกไลยโกฏิองค์นี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้

พระฤาษีกไลยโกฏิเกิดในป่าศาลวัน แคว้นองคราษฎร์ ซึ่งอยู่ในเขตเมืองพัทวิสัยของ ท้าวโรมพัตตัน (บางตำราว่า ท้าวโลมบาท) ผู้เป็นบิดาสั่งสอนไว้ว่าให้ระวังวัวเขาอ่อน มันมีเขาขึ้นบนอก เขามันแปลกเพราะว่าแทนที่จะแข็งกลับนิ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ให้ระวังผู้หญิงนั่นละครับ

แต่พูดเป็นปริศนาธรรมไปหน่อย พระฤาษีกไลยโกฎิเกิดในป่าโตในป่า ไม่เคยเห็นเพศตรงข้าม จึงไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร ก็ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุฌานสมาบัติตามลำดับ




พระฤาษีกไลยโกฎิสามารถนั่งนิ่งไม่ขยับกาย จิตดิ่งอยู่ในฌานเช่นนั้นโดยไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินน้ำ ก็สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจจิตที่มีพลังงานมหาศาล จนได้ฌานสมาบัติสูงมาก มีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวง แต่การบำเพ็ญตบะฌานอันสูงส่งนี้กลับก่อความเดือดร้อนแก่เมืองพัทวิสัย

เพราะด้วยเดชความแรงกล้าของฌานสมาบัติ ซึ่งมีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวงนั่นเอง ทำให้บ้านเมืองที่พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั้นเกิดวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลถึง ๓ ปี เกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว

ท้าวโรมพัตตันตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาถึงเจ็ดเดือนเจ็ดวัน ฝนก็ยังไม่ตก จึงให้โหรหลวงทำนาย (บางตำราว่าได้ข่าวจากนายวันจรกพรานป่า) ทรงทราบว่า เหตุที่ทำให้ฝนแล้งอยู่เป็นปีๆ นี้ ก็เพราะตบะฌานของพระฤาษีกไลยโกฎินั่นเอง




คือในอินเดียสมัยโบราณนี่นะครับ  ถ้าปีไหนเกิดแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาจะลงความเห็นว่าเกิดจากฤาษีตนใดตนหนึ่งบำเพ็ญตบะเข้มเกินไป จนเกิดเตโชธาตุออกมาเผาผลาญให้อากาศร้อนไปหมด จึงต้องหาทางทำลายตบะฤาษีตนนั้นให้แตก ฝนจะได้ตกตามปกติ

ท้าวโรมพัตตันจึงเสด็จไปยังป่าศาลวัน สั่งให้ทหารปลูกพลับพลาให้เป็นที่อยู่ของพระธิดาที่งดงามที่สุด คือ พระนางศานตา หรือ พระนางอรุณวดี แล้วส่งพวกนางโลมไปหลอกล่อพระฤาษีกไลยโกฏิออกมายังพลับพลาของพระนางศานตา 

แต่บางตำราว่า พระนางศานตาเข้าไปถึงอาศรมของพระฤาษีด้วยตนเองครับ เมื่อเห็นท่านนั่งนิ่งเข้าฌานอยู่ก็บีบนวดเคล้าคลึง เอาน้ำผึ้งไปทาริมฝีปาก เมื่อกระทำมากเข้าพระฤาษีกไลยโกฎิก็ออกจากฌานสมาบัติ ลืมตาดู เมื่อเห็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และได้รับการนวดการสัมผัสบีบคลำ ตัณหาภายในใจก็ฟุ้งขึ้น ที่สุดตบะเดชะที่บำเพ็ญไว้ก็เสื่อม ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์

ท้าวโรมพัดตัน ได้กล่าวกับพระฤาษีกไลยโกฏิว่า การเสียตบะฌานอันแรงกล้าของพระฤาษี กลับกลายเป็นการช่วยชีวาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งอุปัทวันอันตราย จะหายด้วยบุญพระอาจารย์และได้ยกพระราชธิดาให้ รวมทั้งได้อัญเชิญพระฤาษีให้ออกจากป่าเข้าสู่เมืองพัทวิสัยของพระองค์ ให้เข้าไปอยู่ในพระราชฐาน โดยถวายปราสาทหลังหนึ่ง พระฤาษีกไลยโกฏิก็ได้อยู่ในมหาปราสาทนั้นต่อมาด้วยความผาสุก

แต่ในอีกตำนานหนึ่งเล่าแตกต่างออกไปว่า เมื่อพระฤาษีกไลยโกฎิล่วงรู้ความจริงว่าท้าวโรมพัตตันส่งพระธิดามาทำลายตบะแล้ว ก็หนีหายเข้าไปในป่าลึกไปบำเพ็ญตบะใหม่ จนมีฤทธิ์กล้าเหมือนเดิม และเลิกสนใจในอิสตรีแต่นั้นมา เพราะล่วงรู้ถึงพิษสงที่โดนเข้าแล้วเป็นอย่างดีครับ




ในรามเกียรติ์ยังมีเรื่องเกี่ยวแก่พระฤาษีกไลยโกฎิอีกว่า เมื่อตอนที่ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาปราถนาจะมีพระโอรสสืบสกุลแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ทรงเชิญพระฤาษีกไลยโกฎิไปปรึกษา พระฤาษีกไลยโกฎิได้พาฤาษีอีก ๔ องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น

พระอิศวรจึงให้พระฤาษีอันมีฤทธิ์แก่กล้าทั้ง ๕ องค์มาทำพิธีหุงข้าวทิพย์ให้มเหสีของท้าวทศรถทั้ง ๓ พระองค์เสวย โดยพระฤาษีกไลยโกฎิเป็นประธานในพิธี จนทำให้เกิดพระราม พระลักษมณ์ขึ้นมานี่ละครับ

ความจริงยังมีพระฤาษีหน้ากวางองค์อื่นอีกนะครับ แต่ไม่เป็นที่รู้จักหรือบูชากันอย่างพระฤาษีกไลยโกฎิ

พระฤาษีท่านนี้ คือพระฤาษีหน้ากวางทอง หรือ พระฤาษีปะตาภา มีนิทานเล่าว่าเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกับ พระฤาษีหน้าเสือ ซึ่งเดิมทั้งสองก็มีหน้าเป็นคนปกตินี่ละครับ แต่ได้ลองวิชากันโดยแสดงอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนหน้าเป็นกวางและเสือ แล้วกลับร่างเดิมไม่ได้ เรื่องโดยสังเขปก็มีเท่าที่ผมเล่ามานี้ละครับ

ในรามเกียรติ์ของไทย ยังเล่าว่าเมื่อภายหลังปราบทศกัณฐ์แล้ว พระนางสีดาถูกพระรามเข้าใจผิด ต้องออกจากกรุงอโยธยารอนแรมไปในป่า จนไปถึงอาศรมของ พระฤาษีวัชมฤค หรือพระฤาษีหน้าวัว เมื่อพระฤาษีวัชมฤคทราบเรื่องจึงให้นางสีดา ถือเพศเป็นดาบสสินี แล้วจำแลงกายให้เป็นพระฤาษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย เท่ากับเป็นพระฤาษีหน้ากวางอีกองค์หนึ่ง




แต่ในทางนาฏศิลป์ ศีรษะของพระฤาษีที่เป็นหน้ากวางนั้นมีอยู่องค์เดียว คือพระฤาษีกไลยโกฏิเท่านั้นครับ ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี และมักจะทำเขากวางเล็กๆไว้ด้วย ชาวนาฏศิลป์นับถือเป็นครูแห่งการร้องรำ โดยมีตำนานกล่าวว่า ได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการขับร้องทั้งปวง

ชื่อของพระฤาษีกไลยโกฏิ ยังทำให้คนทั่วไปมักจะสับสนกับพระฤาษีอีกองค์หนึ่ง คือ พระฤาษีประไลยโกฏิ พระฤาษีท่านนี้มีหน้าตาเป็นมนุษย์แบบฤาษีทั่วไป และเป็นผู้คิดค้นวิธีการทำนาขึ้นเป็นคนแรก ท่านมาจากอีกสายวิชาหนึ่งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพระฤาษีกไลยโกฏิเลยครับ เพียงแต่ชื่อคล้ายกันเท่านั้น

ว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ หรือให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญพระฤาษีกไลยโกฏิเข้าร่วมพิธีด้วย

เพราะตามเรื่องราวของท่าน ถึงแม้การบำเพ็ญตบะของท่านจะทำให้ฝนแล้งถึง ๓ ปี แต่ผมว่าถ้าจะตีความกันจริงๆ แล้วมันก็คือปริศนาธรรมที่อาจจะเปรียบเทียบได้กับหลักหยิน-หยางของจีน ที่ว่า เมื่อพลังหยางแรงไปก็ต้องทำให้อ่อนลงจนเข้าสู่จุดที่พอดี ด้วยพลังหยินนั่นเอง เป็นเรื่องของความอุดมสมบูรณ์โดยแท้ครับ
 
อีกทั้งท่านยังช่วยให้ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้พระโอรส ซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์มาปราบทุกข์เข็ญในโลก เป็นการอัญเชิญทิพยานุภาพจากสวรรค์มาชำระล้างหายนะของโลก (อันเกิดจากเหล่ายักษ์) ให้เป็นปกติสุข โดยนัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการทำลายความแห้งแล้งด้วยความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากครับในทางเทวศาสตร์อินเดีย

แต่ที่ผ่านมา วัตถุมงคลของท่านที่เป็นขนาดบูชานั้นหายากจริงๆ ครับ ไม่ค่อยมีสร้างกัน ที่เห็นๆ กันอยู่ก็มีของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญญโญ แห่งสุสานทุ่งมน จ.สุรินทร์ ที่มรณภาพไปแล้ว แต่ไม่มีความโดดเด่นอะไร เพราะช่างที่ปั้นรูป tist เกินครับ ปั้นเทพอะไรก็ "ศิลป์" ไปเสียหมด




ที่มีการสร้างไว้ล่าสุด ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ จึงมีแต่ของหลวงปู่กลม ชวนปัญโญ วัดหนองบัว จ.สระแก้ว ที่เป็นเนื้อทองเหลืองกับเรซินฝังแร่ครับ สร้างเมื่อสองปีมาแล้ว เนื้อเรซินฝังแร่นั้นชำรุดเสียหายจากการขนส่งที่ไม่ดีจนเหลือไม่กี่องค์เท่านั้นที่มีการออกให้เช่าบูชาตามศูนย์พระเครื่องจริงๆ ขณะที่เนื้อทองเหลืองก็พิมพ์ไม่คมเท่าเรซิน (ตามธรรมชาติของการหล่อทองเหลืองในโรงงานทั่วไป)

แต่พระบูชารุ่นนี้มีประสบการณ์มากมาย และปัจจุบันก็ไม่มีให้บูชาอีกต่อไปแล้วครับ


................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


12 ความคิดเห็น:

  1. น่าเสียดายที่เป็นพระดี แต่หายากบูชายาก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ใช่ค่ะ แม้แต่เนื้อทองเหลืองของหลวงพ่อกลมซึ่งราคาค่อนข้างแพงก็หมดเกลี้ยง

      ลบ
  2. เคยเห็นหลายทีแล้วแต่เพิ่งมารู้เรื่องราวของท่านที่นี่ละค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ท่านไม่ใช่ฤาษีที่นิยมกันอย่าง พระฤาษีตาไฟ หรือปู่เจ้าสมิงพราย เลยไม่ค่อยมีคนนำเรื่องราวมาเผยแพร่

      ลบ
  3. เคยเห็นของโอท็อปค่ะสวยมากแต่ไม่ได้เสก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทีหลังอย่าลืมถ่ายรูปมาฝากนะคะ ^ ^

      ลบ
  4. ผมเคยฝันว่ากราบท่านฤาษีองค์นี้ โดยไม่ทราบเป็นท่านใด แต่วันรุ่งขึ้นไป สุสานทุ่งมน จึงทราบว่าเป็นเป็นท่าน ที่หลวงปู่หงษ์สร้างไว้ เหมือนในฝันไม่มีผิดเพี้ยน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขออภัยมากๆๆๆ ที่ตอบช้าค่ะ เป็นความผิดพลาดของระบบ ที่เพิ่ง run คอมเมนต์ให้แอดมินเห็น หลังจากโพสต์ไปเป็นปี ...เฮ้อ

      ตอนนี้ พระฤาษีกไลยโกฏิของหลวงปู่หงษ์ก็กลายเป็นอะไรที่หายากมากมาย ใครได้ไว้บูชานับว่าโชคดีค่ะ

      ลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ9 สิงหาคม 2562 เวลา 08:45

    ผมเคยฝันเห็นท่านว่ามาท่านมาแบบแสงลายรูปท่านเลยคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ดีใจด้วยค่ะ นับเป็นสิริมงคลมากมาย ^_^

      ลบ
  6. พึ่งเห็นท่านในฝัน เลยต้องหาอานเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ฝันดีเป็นมงคลมากค่ะ แต่น่าเสียดายจัง หารูปเคารพของท่านยากแล้ว

      ลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น