บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
ก็อย่างที่รู้ๆ กันนะครับ
ว่าในวงการผู้บูชาเทพในเมืองไทย จะมีสมาชิกจำนวนมากทีเดียว ที่เป็นเพศที่สาม
ดังนั้น คำถามที่มีมาถึงผมบ่อยๆ คำถามหนึ่ง
ก็คือ...
เพศที่สาม จะประสบความสำเร็จ
หรือเจริญรุ่งเรืองในการบูชาเทพ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้มากน้อยเพียงใด?
คำถามนี้ ผมขอตอบในระดับของคนธรรมดาทั่วๆ
ไปก่อนนะครับ
ก่อนอื่น เราจะต้องเข้าใจว่า มนุษย์ทุกรูปนาม
เมื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกต้องถูกวิธี ด้วยความจริงใจ และเจตนาบริสุทธิ์
ก็ย่อมได้รับความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ส่วนที่ว่า จะได้มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ก็ขึ้นกับเจตนา และการกระทำดังกล่าวมาแล้ว รวมทั้งบุพพกรรมที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน
เท่านั้นละครับ
ไม่ขึ้นอยู่กับเพศสภาพ
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง
คือชั้นเทพขึ้นไป ท่านไม่ให้ความสำคัญกับรสนิยม หรือความประพฤติทางเพศ
มากไปกว่าการประพฤติปฏิบัติอะไรอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของคนเรา
พระองค์จะใส่ใจเฉพาะความดีความชั่วของเรา
ซึ่งไม่ได้วัดกันด้วยเพศสภาพ แต่วัดกันที่บุญหรือบาปที่เราทำลงไปเท่านั้น
เรื่องเซ็กซ์น่ะ
มันไม่มีความดีความชั่วในตัวของมันเองหรอกครับ
มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรต่างหาก
ถ้าหากว่าเราเอามันไปเบียดเบียนคนอื่น
หรือเบียดเบียนตัวเราเองให้เกิดทุกข์ นั่นถึงจะเป็นความผิดในทางศีลธรรม
และจะผิดในการบูชาเทพด้วย ถ้าเราอ้อนวอนร้องขอ
หรือใช้สิ่งที่ได้จากการบูชาเทพเจ้าเพื่อให้เกิดการเบียดเบียนนั้น
ยกตัวอย่างเช่น เกย์คนหนึ่ง
อยากได้ผู้ชายที่เขามีคู่แล้ว ก็ทำพิธีอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากองค์เทพ
เพื่อให้ได้ผู้ชายคนนั้นมาโดยไม่สนใจว่า คนรักของผู้ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไร
อย่างนี้ ผิดครับ
ต่อให้เป็นเทพที่อำนวยพรในเรื่องของเซ็กซ์โดยตรง
ใม่ว่าจะเป็นพระกฤษณะ พระแม่กาลี ท่านก็จะไม่ดลบันดาลให้สมปรารถนาเป็นอันขาด
ถ้าคุณมีองค์เทพเหล่านี้ไว้บูชาในบ้าน
แล้วคุณขอในเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมอย่างนี้ แล้วคุณได้ตามที่ขอ นั่นแสดงว่า
สิ่งที่อยู่ในเทวรูปของคุณ ไม่ใช่องค์เทพที่แท้จริงหรอกครับ
เป็นภูตผีปีศาจที่เข้ามาแอบแฝงอย่างแน่นอน
องค์เทพที่แท้จริง
ท่านไม่ดลบันดาลในเรื่องชั่วร้ายครับ แถมท่านยังจะมีวิธีลงโทษ
หรือตักเตือนแบบสมน้ำสมเนื้อด้วย
แต่ถ้าไม่เอาเทพมาเกี่ยว
ไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนแล้ว ไม่ผิดหรอกครับ คุณจะมีเพศสภาพ หรือรสนิยมทางเพศอย่างไร
หากคุณอยู่ในศีลในธรรม องค์เทพก็จะปกป้องคุณ และประทานพรตามที่คุณควรได้
แต่...ถึงแม้ว่าจะไม่เบียนเบียนคนอื่น
แต่ถ้าเกิดว่า ตัวเราเองเป็นบุคคลที่ตัณหาแรงกล้า
หมกมุ่นในกามารมณ์มากเกินไปนะครับ
มันก็จะเป็นสิ่งที่ปิดกั้นจิตของเรา
ไม่ให้เชื่อมโยงกับองค์เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลากหลายตามความต้องการของเราได้เช่นกัน
เพราะจิตที่หมกมุ่นในกามารมณ์
พลังมันจะน้อยครับ มันไม่แรงพอจะเชื่อมโยงไปถึงองค์เทพชั้นสูง
จึงสรุปได้ว่า เพศสภาพไม่ใช่ปัญหาในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ
ปัญหามันเกิดจากเราเอาสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้น มาเบียดเบียนตัวเราเอง หรือเบียดเบียนคนอื่นให้เกิดทุกข์หรือไม่
ภาพจาก http://www.springnews.co.th |
และต่อไปนี้นะครับ
เป็นสิ่งที่เพศที่สามควรทำความเข้าใจ เพื่อที่ว่าการบูชาเทพของคุณ
จะได้สะดวกราบรื่น นำมาซึ่งชีวิตที่ดี
โดยไม่กระทบถึงสิ่งที่คุณเป็น หรือความพอใจส่วนตัวของคุณ
๑) ในทางเทวศาสตร์
การบูชาเทพเพื่อผลทางกามารมณ์ โดยไม่ผิดศีลธรรม เป็นเรื่องที่ทำได้
๒) แต่การบูชาเทพ
ไม่ได้ทำให้ใครได้รับความสะใจในเรื่องพวกนี้
ประมาณว่า ยิ่งหื่นมาก
ยิ่งมีคนเข้ามาให้ระบายความใคร่ได้มากๆ หรือมีพลังวิเศษ
ที่จะทำให้ใครก็ได้มาหลงมาชอบได้ตามที่ตนต้องการ
ข้อนี้ ไม่มีทางสมปรารถนาครับ
๓) การบูชาเทพในเรื่องพวกนี้
จะมีผลอยู่เพียงได้รับเทวานุภาพคุ้มครอง ให้พ้นภยันตรายจากโรคร้าย จากคนไม่ดี
และให้พ้นภัยจากความสัมพันธ์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม
เช่นการไปแย่งคนรักของคนอื่นโดยไม่รู้ความจริง เท่านั้น
๔) ข้อสำคัญ ไม่มีเทพผู้ชายในลัทธิศาสนาใดในโลกนี้
ที่ประทานพรในเรื่องเซ็กซ์ให้กับชายรักชายเลยแม้แต่องค์เดียวครับ
แม้แต่พระกฤษณะ
ก็จะประทานพรให้เฉพาะกับชายรักหญิงเท่านั้น
๕) เทพที่จะประทานพรในเรื่องเซ็กซ์
ให้กับผู้บูชาที่ชอบเพศเดียวกัน ไม่ว่าชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง มีแต่เทพนารี
คือพระแม่ต่างๆ เท่านั้นครับ
เพราะเทพนารีนั้นเป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์
ซึ่งรวมถึงเรื่องเซ็กซ์อยู่แล้ว อีกทั้งแต่ละองค์ยังมีคุณสมบัติของความเป็นแม่
จึงมีความเมตตาสูง และประนีประนอมมากกว่าเทพผู้ชาย
ภาพจากแฟนเพจ Lakshmi Narayan |
จึงมีแต่เทพนารีเท่านั้นละครับ
ที่ประทานพรในเรื่องนี้แก่ผู้บูชาได้ทุกเพศ ไม่ว่า ชาย หญิง หรือเพศที่สาม
ดังนั้น
ถ้าเกย์คนไหนจะเอาความชอบส่วนตัวมาตั้งแง่ แม้กระทั่งการบูชาเทพ ก็เสียเวลาเปล่า
เพราะกติกาคือที่ผมบอกแล้วในข้อ ๔.
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง
และเป็นกติกาที่ยอมรับกันทั่วโลกมานานนับพันปี ไม่ใช่กติกาที่ผมตั้งขึ้นมาเอง
ที่ผมต้องพูดอย่างนี้ เพราะที่ผ่านมา
มีเกย์หลายคนครับ ที่มาคาดคั้นกับผม ว่าต้องการจะบูชาแต่เทพผู้ชายเท่านั้น
โดยจะต้องให้มีผลในเรื่องความรักและเซ็กซ์ สำหรับชายรักชายอย่างเจาะจงด้วย
การเอารสนิยมส่วนตัว
มาเป็นข้อจำกัดในการบูชาเทพนี่ละครับ มันจะทำให้บูชาเทพแล้วไม่สำเร็จ เสียเวลา
และชีวิตตกต่ำลงโดยใช่เหตุ
ต้องแยกกันครับ
เรื่องจิตวิญญาณกับความพอใจส่วนตัว และต้องเข้าใจเงื่อนไข หรือข้อจำกัดที่มีอยู่
โลกนี้มันไม่มีอะไรได้อย่างใจหรอกครับ
พวกคุณอยู่ในประเทศนี้ ยังมีทางเลือกมากกว่าในอินเดียด้วยซ้ำไป
ทีนี้ เมื่อเป็นที่เข้าใจร่วมกันแล้วนะครับ
ว่าแม้จะเป็นเพศที่สาม ก็สามารถประสบความสำเร็จในการบูชาเทพได้
เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ขอให้บูชาถูกวิธี และมีเจตนาที่ถูกต้อง คือ
ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เท่านั้น
ผมก็จะพูดถึงประเด็นต่อไป
ว่าในฐานะของเพศที่สามแล้ว จะสามารถตั้งตัวเป็นเจ้าพิธี เป็นเกจิอาจารย์
หรือผู้เชี่ยวชาญทางเทวศาสตร์ได้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งในแง่นี้
ผมก็จำเป็นต้องตอบตามความรู้ที่ผมมีอยู่ว่า เป็นไปได้ยากครับ
โดยเฉพาะ ถ้าเป็นชายรักชาย
โดยเฉพาะ ถ้าเป็นชายรักชาย
เแม้จะมีพรสวรรค์ และวาสนาเดิมหนุนส่งให้ได้เข้าถึงเกจิอาจารย์ต่างๆ มากเพียงใด ก็จะศึกษาเรียนรู้ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น จะพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นสูงไม่ได้
เพราะตามหลักเทวศาสตร์โดยทั่วไป ชายที่จเป็นเจ้าพิธี ต้องมีลักษณะของเพศชายที่สมบูรณ์
เทวศาสตร์ไทย กำหนดให้พราหมณ์ หรือเจ้าพิธี ต้องเป็นเพศชายที่สมบูรณ์เท่านั้น ภาพจาก http://www.modonut.net |
อันนี้ อธิบายในพื้นที่จำกัดได้ยาก
เอาเป็นว่าถ้าจะเทียบหลักหยินหยางของจีน ก็คือเจ้าพิธีนั้นต้องเป็นหยางสมบูรณ์
เพราะพิธีกรรมนั้นมีลักษณะของเพศหญิง หรือ หยิน ไงครับ
ตามหลักทวิภาวะ (Dualism)
พลังของชาย-หญิง มาหลอมรวมกันในภาวะที่สมบูรณ์ ถูกต้อง
จึงจะสัมฤทธิ์ผล ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่อง สิ่งที่ได้ก็จะขาดๆ เกินๆ ไม่สมบูรณ์
อีกอย่างหนึ่งนะครับ ผมเคยบอกแล้วว่า ใครจะเป็นเจ้าพิธี
หรือเกจิอาจารย์ ต้องเป็นที่ยอมรับทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ
คุณวุฒิ คือต้องได้รับการประสิทธิ์
หรือรับรองจากครูบาอาจารย์ ให้สามารถเปิดสำนักเอง หรือเป็นเจ้าพิธีได้
เฉพาะส่วนนี้ส่วนเดียว
ชายรักชายก็หมดสิทธิ์แล้วครับ
เพราะครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดในแบบแผนพิธีกรรมของไทยโบราณจริงๆ
ท่านจะไม่ต่อวิชาสำหรับการเป็นเจ้าพิธี หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “พราหมณ์” ให้กับชายรักชาย และผู้หญิงเป็นอันขาด
มันไม่ใช่เรื่องของการกดขี่ทางเพศอะไรหรอกครับ
แค่ว่าพื้นฐานมันมาจากหลักทวิภาวะ ดังกล่าวแล้ว
ซึ่งครูบาอาจารย์หลายๆ
ท่านก็อธิบายไม่ได้หรอกครับ ท่านเพียงแต่มองว่า มันเป็นจารีตประเพณี
เป็นข้อกำหนดสำคัญของสายวิชา ท่านก็ต้องสืบทอดไปตามนั้น
โดยเฉพาะในสังคมไทยโบราณ
คนที่เป็นเกจิอาจารย์ทางด้านพิธีกรรม มักต้องผ่านการบวชเรียนมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นการบวชฤาษี หรือบวชพระ
ซึ่งการบวชทั้งสองอย่างนี่
คนไทยสมัยก่อนท่านห้ามเพศที่สามบวชนะครับ ไม่ใช่บวชกันได้ง่ายดาย
ให้มาถ่ายรูปเที่ยวน้ำตกลั้นลากันอย่างทุกวันนี้
แล้วถ้าใครแอบปิดบังเพศสภาพของตนเองในด้านนี้
ไม่ให้อาจารย์รู้ จนกระทั่งอาจารย์ไว้ใจต่อวิชาให้ ถ้าดวงยังดีอยู่นะครับ ก็จะได้รับผลแค่ว่าเรียนวิชาเหล่านั้นไม่สำเร็จ
เช่นว่า อาจารย์เห็นว่าจะไปไม่รอด
จึงเลิกต่อวิชาให้ หรือตัวอาจารย์เองมีอันเป็นไปเสียก่อน
แต่ถ้าเป็นคนดวงไม่ดี
ปิดบังอาจารย์แล้วไปขอเรียนรู้วิชาพวกนั้น ก็จะเกิดอาถรรพณ์ และธรณีสาร
ทำให้ภายหลังกลายเป็นคนบ้าเสียสติไป ภายในอายุไม่ถึง ๔๐ ปี
ซึ่งเป็นวัยวุฒิของคนที่จะเป็นเจ้าพิธีหรือเกจิอาจารย์ได้ เท่านั้นละครับ
ส่วนถ้าใครคิดจะศึกษาเอาเอง
ไม่ไปขอเรียนวิชาจากสำนักต่างๆ เพื่อจะหลีกเลี่ยงเงื่อนไขที่ผมบอกไปแล้วนี้
ก็ดูเผินๆ เหมือนจะศึกษาได้นะครับ เพราะมีตำราเผยแพร่อยู่แล้ว หาซื้อได้ไม่ยาก
แต่เชื่อมั้ยครับ? บรรดาตำราต่างๆ ที่เขาเผยแพร่กันอยู่นั้น
เขาไม่เปิดเผยทุกอย่างชนิดหมดเปลือกหรอก
เขาจะมีการกั๊ก หรือเปลี่ยนคำ
เปลี่ยนขั้นตอนไปนิดๆ หน่อยๆ อยู่เสมอละครับ
ซี่งใครก้มหน้าก้มตาทำไปตามนั้น
ก็ไม่ถึงกับจะทำให้ผิดพลาด หรือเกิดผลร้ายแต่อย่างใด
เพียงแต่มันจะไม่ได้ผลตามที่เขาบอกไว้
ต้องเข้าไปเป็นศิษย์
ต่อวิชาจากครูบาอาจารย์โดยตรงเท่านั้นละครับ ท่านถึงจะบอกวิธีที่ถูกต้องให้
รวมทั้งเคล็ดลับต่างๆ ที่ไม่มีในตำราด้วย
บางคน อ่านถึงตอนนี้ ก็อาจจะปรามาสว่า
เกจิอาจารย์ในอดีต ใจแคบ ไม่เผยแพร่ความรู้ให้เป็นสาธารณประโยชน์
คิดแต่จะเก็บไว้ทำมาหากินอย่างเดียว
บอกตามตรงนะครับ
ผมเองยังเคยคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำไป ตอนที่ยังเป็นเด็กรุ่นๆ โง่ๆ ไม่ค่อยรู้อะไรมาก
แต่ความจริงก็คือ ทุกยุคทุกสมัย
มันมีคนชั่วช้าเลวทราม ที่อยากเป็นผู้วิเศษ อยากเอาวิชาพวกนี้มาหากิน เพื่อให้สาธารณชนยกย่องสรรเสริญ
แล้วในที่สุดก็กอบโกยผลประโยชน์จากศรัทธาของคนเหล่านั้น
คนจำพวกนี้มีมากมายยิ่งกว่าคนดีๆ ที่เจตนาบริสุทธิ์นะครับ
แล้วคนพวกนี้
ถึงขนาดเข้าไปขอเป็นศิษย์ตามสำนักต่างๆ คอยประจบประแจง ทำตัวให้อาจารย์ไว้ใจ
พอเรียนวิชาไปได้สักพัก คิดว่าตนเองเก่งแล้ว ก็สำแดงธาตุแท้ กลายเป็นศิษย์เนรคุณ
หาทางล้มล้างผู้เป็นครูบาอาจารย์ เพื่อจะเป็นใหญ่แทน
ก็มีให้เห็นอยู่เสมอนะครับในวงการนี้
ก็ขนาดเอาดอกไม้ธูปเทียน พานครูไปกราบไหว้
พนมมือสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ ต่อมน้ำตาแตกด้วยความซาบซึ้ง ต่อหน้าแท่นพระแท่นเทพในสำนัก
ร่ำเรียนวิชากันเป็นปีๆ ยังกลายเป็นศิษย์คิดล้างครูกันได้นะครับ
นับประสาอะไรล่ะครับ
กับตำราที่เผยแพร่ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เห็นหน้าค่าตากัน
ได้ซื้อหาอ่านกันได้ง่ายๆ ท่านจะไม่กั๊กเอาไว้?
วิชาเหล่านี้ มันมีอาถรรพณ์ในตัวครับ
ใช้ในทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าใครเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี เกิดความเสียหายขึ้นมาแล้ว
มันแก้ไขได้ยาก
ร่างทรง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เพศที่สามที่อยากเป็นเจ้าพิธี คิดว่าจะหลีกเลี่ยงจารีตของเทวศาสตร์ไทยโบราณได้ แต่ที่จริงแล้ว ก็ยังคงผิดหลัดหลักเทวศาสตร์ไทยโบราณอยู่ดี |
ดังนั้น เอาเป็นว่าเฉพาะชายรักชาย หรือ เกย์
อย่างดีที่สุดก็เป็นเจ้าพิธีกรรมได้ เฉพาะพิธีกรรมเล็กๆ
ในระดับของคฤหัสถ์ทั่วไป
เช่น การนำสวดมนต์
หรือประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าภายในเคหสถานส่วนบุคคล เท่านั้นครับ
เพราะ “วิชา”
ในส่วนนี้ ไม่ได้มีอาถรรพณ์อะไรมาก พอจะหาครูบาอาจารย์สอนให้ได้
โดยที่ความเป็นเพศที่สาม ไม่ได้เป็นอุปสรรค
หรือจะซื้อตำรามาศึกษาเอง ก็พอจะหาได้ไม่ยาก
อย่างหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์
ที่ผมเขียนไว้ ก็เพียงพอนะครับ สำหรับการที่จะประกอบพิธีในด้านนี้
โดยไม่ต้องเสี่ยงกับธรณีสาร
แต่ถ้าเป็นพิธีใหญ่ที่เป็นสาธารณะ เช่น
พิธีบวงสรวงก่อนเริ่มงานสำคัญ พิธีหล่อเทวรูป พิธีเทวาภิเษก พิธีตั้งศาล
ตั้งเทวาลัย ฯลฯ แล้วเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นศาสตร์ที่ต้องไปศึกษาจากครูบาอาจารย์โดยตรงเท่านั้น
ดังกล่าวแล้ว
ในกรณีนี้
ชายรักชายจะเป็นไปได้อย่างมากที่สุดแค่เจ้าภาพ
หรือเป็นผู้ช่วยประกอบพิธีกรรมเท่านั้นละครับ
แล้วถ้ามีเกย์คนไหน
ฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่ผมบอกไปแล้ว ตั้งตัวเองเป็นเจ้าพิธี เป็นเกจิอาจารย์
นำวิชาที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง
(เช่นจากการปิดบังเพศสภาพของตนเอง เข้าไปขอเรียนตามสำนักต่างๆ
หรือจากการศึกษาด้วยตนเอง) มาประกอบพิธีกรรม ให้คำแนะนำแก่สาธารณชนทั่วไปแล้ว
คนที่เกย์เหล่านั้นประกอบพิธีให้ จะได้รับผลอย่างไร?
คำตอบคือ ต้องแยกเป็นกรณีไปครับ
กรณีที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นเจ้าพิธี
เพราะชอบทางนี้จริงๆ อยากเป็น อยากทำจริงๆ เพราะคิดว่าเหมาะกับตนเอง
ไม่ได้คิดว่าจะหลอกลวงใคร
เพราะวิชาความรู้ที่เอามาใช้ก็ได้จากการศึกษาด้วยตนเองอย่างคร่ำเคร่ง
ที่สำคัญคือ ไม่รู้จริงๆ ว่า เทวศาสตร์โบราณท่านห้ามชายรักชายเป็นเจ้าพิธี
ที่สำคัญคือ ไม่รู้จริงๆ ว่า เทวศาสตร์โบราณท่านห้ามชายรักชายเป็นเจ้าพิธี
คนที่รับเป็นเจ้าภาพในพิธีกรรมที่มีเจ้าพิธีแบบนี้
รวมทั้งทุกคนที่เข้าร่วม จะรู้สึกว่า เกิดผลอยู่บ้างในช่วงแรกๆ
ซึ่งเป็นความรู้สึกไปเองมากกว่า แล้วหลังจากนั้นก็จะเงียบหาย
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ส่วนกรณีที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นเจ้าพิธี
โดยรู้ทั้งรู้ว่าโบราณห้าม แต่ก็ยังอยากจะเป็น
โดยได้วิชามาจากการปิดบังเพศสภาพของตนเองบ้าง
จากการสืบทอดมาอย่างถูกต้องในบางสำนัก
ที่เปิดโอกาสให้ศึกษาเทวศาสตร์ในระดับที่เหมาะกับเพศที่สามบ้าง
หรือแม้แต่ศึกษาเอาเองบ้าง
แล้วสร้างภาพใช้สื่อต่างๆ ประชาสัมพันธ์ตนเอง ให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้จริงๆ
แล้วสร้างภาพใช้สื่อต่างๆ ประชาสัมพันธ์ตนเอง ให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้จริงๆ
ยกตัวอย่างเกย์บางคนนะครับ ธาตุแท้เป็นคนเลวทราม
อาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยา คิดหาทางทำลายล้างคนที่ตนเองไม่ถูกใจอยู่ตลอดเวลา
ไปเรียนรู้จากสำนักไหนก็เป็นศิษย์เนรคุณ ล้มล้างครูบาอาจารย์
แต่สร้างภาพว่าเป็นคนดี ชอบไหว้พระไหว้เจ้า
ใจบุญ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อ้างความเป็นศิษย์มีครู
ว่าศึกษามาจากคนที่มีชื่อเสียง ฯลฯ จนมีคนหลงเชื่อ ไว้วางใจให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ได้
บรรดาคนที่หลงเชื่อเหล่านั้น
ก็จะพบแต่ความวิบัติหายนะในไม่ช้าก็เร็วละครับ
เพราะต่อให้เจ้าพิธีเป็นชายแท้ ถ้าเป็นคนชั่ว
มีพฤติกรรมเช่นที่ผมบรรยายมานั้น
ประกอบพิธีให้ใครก็เป็นอัปมงคลอย่างหาที่เปรียบมิได้แล้ว
ถ้าเป็นชายรักชาย
อันเป็นเพศสภาพที่โบราณห้ามไว้ จะยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่า
เป็นธรณีสารอย่างแรงชนิดที่แทบจะแก้ไขกันไม่ได้เลยทีเดียว
และอย่าลืมนะครับ
วัยวุฒิของคนที่จะเป็นเจ้าพิธี หรือเกจิอาจารย์ต่างๆ นั้น ตามหลักโบราณคือต้องอายุ
๔๐ ปีขึ้นไป
อ.ประจวบ คงเหลือ ตัวอย่างของเจ้าพิธีตามหลักเทวศาสตร์ไทย คือต้องมีทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิอันเป็นที่ยอมรับในทางสาธารณะ ภาพจาก http://www.palungdham.com |
บางคนอาจนับตั้งแต่อายุ ๓๕ ปีขึ้นไปได้
ถ้ามีประวัติชัดเจนว่าเป็นศิษย์ของสำนักไหน ครูบาอาจารย์รับรองหรือไม่
แต่บรรดาเกย์ที่ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ
เป็นเจ้าพิธี หรือเกจิอาจารย์นั้น ส่วนใหญ่จะริทำกันตั้งแต่อายุไม่ถึง ๓๐ ปี
แล้วก็ไม่ต้องไปหาประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนหรอกครับ
ส่วนมากถ้าถูกถามว่า ได้วิชาอะไรมาบ้าง ก็จะอ้อมแอ้มพูดได้ไม่เต็มปาก
เพราะบางคนถึงจะได้วิชามาจริง ก็ไม่ใช่วิชาสำหรับที่จะเป็นเจ้าพิธี บางคนศึกษาเองจากตำรา แล้วก็อ้างว่าเทพพรหมมาประสิทธิ์ให้ด้วยซ้ำไปครับ
เพราะบางคนถึงจะได้วิชามาจริง ก็ไม่ใช่วิชาสำหรับที่จะเป็นเจ้าพิธี บางคนศึกษาเองจากตำรา แล้วก็อ้างว่าเทพพรหมมาประสิทธิ์ให้ด้วยซ้ำไปครับ
ส่วนถ้าเป็นหญิงรักหญิง หรือ เลสเบี้ยน
ก็จะเหมือนหญิงแท้ทั่วไป คือ ได้เปรียบกว่าชายรักชาย
ตรงที่สามารถเรียนรู้มายาศาสตร์ และเทวศาสตร์ขั้นสูงได้มากกว่า
และอาจบรรลุขั้นสูงสุดในบางลัทธิได้ด้วย
โดยเฉพาะลัทธิที่เน้นพลังของเพศหญิง (Feminine Power)
หญิงรักหญิง
จึงประกอบพิธีกรรมได้ทุกอย่างไม่มีข้อจำกัดอะไร
และสามารถเป็นเจ้าพิธีได้ในพิธีกรรมแทบทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นพิธีที่หวังผลด้านความอุดมสมบูรณ์ ไปจนกระทั่งพิธีที่เกี่ยวกับการรบทัพจับศึก
ขอแค่ไม่ใช่การเป็นพราหมณ์พิธี
ตามแบบเทวศาสตร์ไทยโบราณ
และขอแค่ให้ได้ศึกษาและประสิทธิ์จากครูบาอาจารย์โดยตรงเท่านั้น
ซึ่งก็จะไม่มีข้อจำกัดเท่ากับชายรักชาย
แต่หญิงรักหญิงที่สามารถเป็นเจ้าพิธี
ก็ยังคงจำเป็นจะต้องรักษาบุคลิกภาพ และคุณลักษณะของความเป็นเพศหญิงไว้อย่างสมบูรณ์นะครับ
จะเป็นทอมบอยเลียนแบบผู้ชายไม่ได้เป็นอันขาด
เพราะมายาศาสตร์และเทวศาสตร์
ที่สืบทอดในกลุ่มหญิงรักหญิง
เขาก็มีกฎห้ามต่อวิชาให้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบชายเช่นเดียวกัน
ด้วยว่ามายาศาสตร์และเทวศาสตร์สายนี้
เขามักต่อต้านทุกสิ่งที่มีลักษณะเป็นชาย หรือเลียนแบบผู้ชายครับ
ส่วนสาวประเภทสอง
คงไม่มีข้อสงสัยอะไรในประเด็นนี้นะครับ
เพราะส่วนมากจะสนใจอยู่แค่ในระดับของผู้บูชา จะไม่ค่อยคิดถึงขนาดอยากเป็นเจ้าพิธี
ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้องอยู่แล้ว
.........................
.........................
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์
ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL
ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด