บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
ปี่เซี่ยะ (貔貅) ที่เราเรียกกันอยู่นี้
เป็นสำเนียงแต้จิ๋วครับ
ถ้าจีนกลาง เขาเรียก ผีซิ้ว
หรือกวางตุ้งเรียก เผยเย้า
นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น เทียนลู่
(天祿) ซึ่งแปลได้ว่า
กวางสวรรค์
ปี่เซี่ยะตามตติเดิมนั้น ตัวเหมือนกวาง
หางเหมือนแมว มีเขาและมีปีก ดูเผินๆ ก็เหมือนเสือที่มีเขาและติดปีกนกเข้าไป
ที่ทำเป็นตัวอ้วนๆ ป้อมๆ นั้นเป็นการดัดแปลงให้ดูน่ารัก ซึ่งแบบหลังนี้ช่วงแรกๆ
ที่เข้ามาเมืองไทยได้รับความนิยมมาก แต่ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
เป็นสัตว์วิเศษที่เดิมเขาเอาไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย
แล้วก็เป็นของที่นิยมกันในหมู่ชนชั้นสูง
เพราะฉะนั้น ในพระราชวังกรุงปักกิ่ง
รวมทั้งตามศาสนสถานขนาดใหญ่ต่างๆ เราก็จะได้เห็นปี่เซี่ยะอยู่มากมายครับ
ต่อมา เพราะการที่เป็นของซึ่งใช้กันตามพระราชวัง
และบ้านคหบดี ทางฮวงจุ้ยจึงถือว่า ปี่เซี่ยะสามารถเหนี่ยวนำกระแสของโชคลาภ
ความร่ำรวย และความสมบูรณ์พูนสุข
เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว
ทางรัฐบาลจีนจึงเห็นช่องที่จะหาเงินจากความเชื่อเช่นนี้ ด้วยการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมแกะสลักหิน
และอุตสาหกรรมเรซินในประเทศ ผลิตปี่เซี่ยะขายให้นักท่องเที่ยว
สร้างกระแสให้เกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมา
ถึงขนาดทัวร์ไปจีนแทบทุกกรุ๊ปตอนนั้น
ต้องพาลูกทัวร์ไปซื้อปี่เซี่ยะก่อนกลับไทยนะครับ
ในบทความนี้ จะกล่าวถึงเรื่องน่ารู้บางเรื่อง เกี่ยวกับปี่เซี่ยะ
ในแง่มุมที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้กัน ซึ่งผมเคยเขียนกระจัดกระจายกันในที่ต่างๆ
ในหนังสือ สัตว์มงคล : เครื่องราง ของขลัง บ้าง ใน Facebook บ้าง เอามารวมกันจะได้ง่ายต่อการค้นอ่านนะครับ
๑) ยังมีสัตว์วิเศษอีก ๓ ชนิด
ที่ในทางมายาศาสตร์จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับปี่เซี่ยะ
สัตว์วิเศษเหล่านี้
มิได้มีอยู่เฉพาะในเอเชียเท่านั้นนะครับ ยังมีบางชนิดที่อยู่ไกลออกไปถึงทวีปยุโรป
โดยที่ยังคงมีคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับวาสนาบารมี และการเป็นผู้พิทักษ์เหมือนกัน
ดังต่อไปนี้ :
๑.๑ กริฟฟิน (Griffin)
เป็นสัตว์วิเศษของทางตะวันตก
ที่มีอานุภาพทั้งในเรื่องของเมตตามหานิยม การขับไล่สิ่งชั่วร้าย
การรักษาทรัพย์สินเงินทองมิให้รั่วไหล จนถึงการรักษาโรค
เอกสารรุ่นเก่ามักจะบรรยายว่า กริฟฟิน
เป็นสัตว์ที่มีลักษณะผสมระหว่างนกอินทรีกับสิงโต คือมีหัว,หน้าอก,ขาหน้า และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนสะโพก ขาหลัง
และหางเป็นสิงโต
อย่างไรก็ตาม บนหัวที่เหมือนนกอินทรีนั้น
ก็ยังมีใบหูของสิงโตอยู่ และบางทีก็มีเขาที่เหมือนแกะด้วย 2 เขา
กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมากครับ
สามารถต่อสู้กับมังกรฝรั่ง (Dragon) ได้
เมื่อมันขวิดแต่ละครั้ง มนุษย์ ม้า และวัวตัวใหญ่ๆ จะปลิวหายไปในอากาศ
ในเทพนิยายกรีกกล่าวว่า
เทพเจ้าทรงใช้สัตว์ชนิดนี้ลากราชรถให้เคลื่อนไปในท้องฟ้า
แต่ภาระหน้าที่หลักของมันจริงๆ ก็คือเฝ้าขุมทรัพย์ โดยเฉพาะทองคำ
กริฟฟินมีทั้งพละกำลัง ความดุร้าย
ความแคล่วคล่องในการโจมตีทางอากาศ และสติปัญญา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกครับ
ที่ใครจะเข้าไปถึงสิ่งที่มันดูแลอยู่
ตำรายุโรปโบราณยืนยันการมีอยู่จริงของกริฟฟิน
แม้แต่โบสถ์คริสต์สมัยแรกๆ ก็ตกแต่งด้วยรูปสัตว์ชนิดนี้ เพื่อให้มันคุ้มครองโบสถ์
คติเช่นนี้ได้แพร่หลายทั่วไป จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ ๑๒
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมในการตกแต่งโบสถ์ กริฟฟินจึงค่อยๆ
หายสาบสูญไปจากโบสถ์คริสต์ในเวลาต่อมา
แต่ชาวยุโรป
ก็ยังคงนำกริฟฟินมาทำเป็นเครื่องรางอยู่เสมอ เพื่อออาศัยอานุภาพของมันในการปกปักรักษา
ให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ นั่นเอง
ทุกวันนี้จึงมีกริฟฟินแบบใหม่ๆ ในอินเตอร์เน็ต
เป็นประติมากรรมที่ทำอย่างดี ชนิดที่สามารถนำมาปลุกเสกเป็นเครื่องรางได้
ในระดับที่หาไม่ยากอีกต่อไปแล้วละครับ
แม้ว่าตำราที่ใช้ในการปลุกเสกให้ได้ผล
จะยังคงเหลือสืบทอดกันอยู่ในเวลานี้เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นก็ตาม
๑.๒ งีเงาคำ (Ngi
Ngao Kham)
หรือ มังกรอัสสัม (Dragon
of Assam) เป็นสัตว์วิเศษของคนไทอาหมในแคว้นอัสสัม
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย มีลักษณะที่ผสมผสานกันระหว่าง งู สิงโต เต่า ม้า
และนก
จึงเป็นพลังเหนือธรรมชาติ
ที่ประกอบด้วยความกล้าหาญแข็งแรงน่าเกรงขามของสิงโต
ทะยานไปได้อย่างรวดเร็วบนพื้นดินเหมือนม้า ปราดเปรียวในน้ำเหมือนงู
อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบกเหมือนเต่า และบินไปได้ในอากาศเหมือนนก
ร่างกายของงีเงาคำมี ๕ สี
สีขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์ สีแดงคือเครื่องหมายแห่งชีวิต สีเหลืองหมายถึงปรีชาญาณ
สีดำคือบั้นปลายของสรรพสิ่ง และสีเขียว (บางครั้งใช้สีน้ำเงิน)
แสดงถึงความยั่งยืนของชีวิตและศานติสุข
ว่ากันว่า งีเงาคำสามารถเดินทางได้เร็วมากครับ
ระยะทางที่คนเราใช้เวลาเดินเท้า ๒๐ วัน งีเงาคำสามารถไปถึงได้ในเวลาเพียง ๑
ชั่วโมงเท่านั้น
ชาวไทอาหมมีตำนานอธิบายกำเนิดของงีเงาคำว่า
เป็นโอรสองค์สุดท้องของพระเป็นเจ้าสูงสุด (พูรา : Phura)
เป็นทั้งตัวแทนของท้องฟ้า สันติภาพบนแผ่นดิน
และสัญลักษณ์ของราชบัลลังก์ไทอาหม
กษัตริย์ไทอาหมในอดีตหลายพระองค์ ทรงใช้งีเงาคำเป็นตราพระราชลัญจกร พระราชวังของกษัตริย์ไทอาหมเช่นที่ รังคปุระ
(Talatal
Ghar) เมืองสิพพสาคร ก็ตกแต่งด้วยรูปงีเงาคำ
คนไทอาหมเคารพบูชางีเงาคำกันอย่างเคร่งครัดแม้จนทุกวันนี้
ภาพและประติมากรรมของงีเงาคำ จะถูกจัดไว้ในแท่นบูชาของแต่ละบ้าน ทั้งยังทำเป็นลายปูนปั้นระบายสี
ตกแต่งผนังและหลังคาของ เรือนจุ้มแสง หรือ หอผีทรงแปดเหลี่ยม
ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของชาวไทอาหมด้วย
รวมทั้งเทวสถานสำคัญ ของศาสนาฮินดู เช่นที่ เทวาลัยกามขัย (Gamakhaya)
ที่เมืองเคาหะตี ก็มีการตกแต่งด้วยงีเงาคำ
จนที่สุด แม้แต่สุสานของบุคคลสำคัญ
ก็ยังมีการนำรูปสัตว์มงคลชนิดนี้ไปตกแต่งให้พบเห็นกันอยู่นะครับ เช่นสุสานของ Rajmantri
Bhadari Borboruah ที่เมืองโกลาฆาต
นอกจากนี้
รูปของงีเงาคำยังเคยมีอยู่ในเหรียญกษาปณ์ ที่ใช้กันในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ด้วย
งีเงาคำ เป็นศาสตร์เฉพาะของไมอาหม
ไม่แพร่หลายทั่วไป จึงหาซื้อได้แต่ในงานออกร้านประจำปี
ของชาวไทอาหมในแคว้นอัสสัมเท่านั้นครับ
๑.๓ สิงคะอัมพร (Singa
Ambara)
ออกเสียงตามภาษาพื้นเมืองบาหลีว่า ซิงกา
อัมบารา หรือบางครั้งก็เรียกว่า ซิงกา เบอร์ซายัป (Singa
Bersayap)
มันมีลักษณะที่ดุร้ายและน่ากลัว
อันเป็นความตั้งใจในการออกแบบเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ วิญญาณชั่วร้าย
และปัดเป่าอันตราย โดยบางครั้งเราจะเห็นมันยืนอยู่บนแท่นที่ทำเป็นชั้นๆ
มีอุ้งเท้ากำลังจับเหยื่อ ซึ่งเป็นรูปเด็กอ้วน ที่สื่อความหมายถึงลูกหลานของปีศาจ
เดิมสิงคะอัมพรเป็นสัญลักษณ์โบราณ
ซึ่งหมายถึงอธิปไตย และผู้พิทักษ์ มีถิ่นกำเนิดบนเกาะชวา
และจากนั้นก็รวมเข้ากับการศาสนาฮินดูบนเกาะบาหลี
โดยปกติ มักจะใช้เป็นประติมากรรมตกแต่งภายนอกภายในของเทวสถาน
(Puri)
ซึ่งพบเห็นได้มากทางเหนือของเกาะบาหลี
รวมทั้งมีการทำไว้ใช้สำหรับประดิษฐานเทวรูป ในช่วงการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่างๆ
ซึ่งเรียกกันในฐานะนี้ว่า อาสนะ (Palinggih) หรือ พาหนะ
(Wahana)
และเมื่อไม่ใช้งาน ก็จะนำไปเก็บไว้บนที่สูงเหนือทางเข้า
หรือในชายคาของศาสนสถาน
สิงคะอัมพรยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง และอำนาจราชศักดิ์
ดังที่มีการสร้างไว้ใจกลางเมือง Buleleng ทางเหนือของเกาะบาหลี
เพื่อเป็นอนุสรณ์ของ สิงหราชา อดีตผู้นำซึ่งเคยปกครอง
และสร้างสรรค์ความเจริญไว้อย่างมากมายที่นั่น
ปัจจุบันมีการทำเป็นวัตถุมงคลขายทั่วไปในเกาะบาหลีครับ
ส่วนมากเป็นงานไม้แกะสลัก ซึ่งถ้าเป็นขนาดใหญ่ ก็จะแกะลำตัว ปีก และหางแยกกัน
เพื่อให้ง่ายต่อการขนส่ง และสามารถนำมาประกอบกันได้อย่างแนบเนียนมาก
๒) ปี่เซี่ยะ ไม่ใช่สัตว์มงคลชนิดเรียกทรัพย์
หรือนำพาโชคลาภเข้ามาสู่เจ้าของโดยตรง
แท้ที่จริง มันมีผลในด้านโชคลาภ
และทรัพย์สินเงินทอง ในลักษณะของการเป็น “ผู้พิทักษ์” (Guardian)
ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นรั่วไหลออกไปได้โดยง่ายต่างหาก
นั่นหมายถึง เราต้องมีฐานะ
มีทรัพย์สินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนะครับ ปี่เซี่ยะจึงสามารถเฝ้าทรัพย์สมบัติของเรา
ให้มั่นคงยั่งยืนได้
แล้วพอเราหาทรัพย์เหล่านั้นเข้ามาเพิ่ม
ความมั่งมีศรีสุขของเรา ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เพราะไม่มีการรั่วไหลนั่นเอง
อีกอย่าง
การที่ปี่เซี่ยะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ ก็เท่ากับทำให้สิ่งดีๆ
สามารถหลั่งไหลเข้ามาสู่ภายในบ้านง่ายขึ้น
ก็คือ...โชคลาภสามารถหลั่งไหลเข้าบ้านได้
เพราะปี่เซี่ยะกำจัดสิ่งชั่วร้าย และอาถรรพณ์ต่างๆ ที่ขัดขวางโชคลาภได้
ไม่ใช่เป็นเพราะมันมีอานุภาพชักนำโชคลาภเข้าบ้านโดยตรง
กิจการจำพวกบ่อนการพนัน และธนาคาร
จึงนิยมตั้งปี่เซี่ยะไว้กำกับประตูทางเข้า ไม่ใช่เพื่อดูดเงินลูกค้า
ตามข้อมูลที่เผยแพร่กันอยู่ทั่วไปหรอกครับ แต่เพื่อควบคุมไม่ให้เงินไหลออกมากกว่า
ด้วยเหตุดังกล่าว
การที่เราเอาปี่เซี่ยะมาบูชากันด้วยความคิดที่ว่า มันจะนำโชคลาภมาให้
หรือจะเอามาช่วยให้ทำมาค้าขึ้น จึงไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควรไงครับ
๓) ปัจจุบันมีปี่เซี่ยะแบบใหม่
ที่มีเกล็ดทั้งตัว และหัวกับหางเหมือนกิเลน แต่ก็ยังคงมีปีก ซึ่งเป็นสิ่งที่กิเลน
(ตามแบบฉบับ) ไม่มี
ซึ่งคนที่รับมาขาย เขาก็เรียกว่า กิเลน
แบบไม่อ้อมค้อมเลยครับ
เพราะปรากฏว่า ตอนนี้มี “กิเลนพันธุ์ใหม่” รูปลักษณโดยพื้นฐานก็คือกิเลนแบบทั่วไปแหละครับ
คือ หัวเหมือนมังกร ผิวหนังเป็นเกล็ด หางเหมือนมังกร เท้าเป็นกีบแบบม้าหรือกวาง
โดยเพิ่มปีกขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง
แต่ความแตกต่างระหว่างกิเลนพันธุ์ใหม่
กับปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ก็คือ ปุ่มแหลมๆ บนตัวปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่นั้นคิอ ปอยขน
ครับ ไม่ใช่เกล็ด
เท้าของปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ก็ยังคงเป็น เท้าสิงห์
แบบของปี่เซี่ยะเดิมๆ ครับ ไม่ใช่เท้ากีบ
อีกทั้งปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่นั้น ลำตัวกลมๆ ป้อมๆ
แลดูน่ารัก ไม่เหมือนกิเลนพันธุ์ใหม่ ที่รูปร่างยังคงสะโอดสะอง
การที่กิเลนพันธุ์ใหม่มีปีกเพิ่มขึ้นมา จะถือว่า
มันกลายเป็นญาติอีกสายพันธุ์หนึ่งของปี่เซี่ยะ (เหมือนกริฟฟิน งีเงาคำ
และสิงคะอัมพร) ได้หรือไม่?
ก็คงต้องตอบว่า ไม่ได้นะครับ
เพราะกิเลนต้นฉบับเป็นสัตว์วิเศษที่เหาะเหินเดินอากาศได้
โดยไม่ต้องใช้ปีกอยู่แล้ว
ที่มีปีกเพิ่มขึ้นมา
เป็นเพราะตลาดวัตถุมงคลจีนเบื่อกิเลนแบบเดิมๆ แล้วปี่เซี่ยะก็ได้รับความนิยมมากกว่า
เท่านั้นเอง
๔) การปลุกเสก หรือไคกวงปี่เซี่ยะ
เดิมไม่นิยมในมายาศาสตร์จีน
ใช้กันแต่ศาสตร์ฮวงจุ้ย อาศัยพลังจากธาตุและวรรณะ คือวัสดุและสี
โดยจะต้องมีการจัดวางในทิศทางที่เหมาะสม
ใครที่เลี้ยงปี่เซี่ยะ
จึงจำเป็นต้องมีตำราฮวงจุ้ยอยู่ในมือ หรือหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ
จึงจะเกิดผลครับ
แต่ปัจจุบัน ก็มีซินแสฮวงจุ้ยหลายสำนัก
ที่มีวิชาไคกวงปี่เซี่ยะ เพื่อให้บังเกิดอานุภาพมากขึ้น
ผมเองก็ได้วิชาไคกวงปี่เซี่ยะ โดยอัญเชิญบารมี พระแม่หนี่วา
(女媧 Nüwa) เป็นองค์ประสิทธิ์
ให้ปี่เซี่ยะเกิดพลังและอิทธิฤทธิ์
ซึ่งเป็นสายวิชาของ ศรีคุรุเทพมนตรา เพียงแห่งเดียว ไม่มีที่อื่น
ใครที่ติดตาม facebook ของผม ก็จะเห็นว่า ผมเสกปี่เซี่ยะพันธุ์ใหม่ไปหลายตัว
และปี่เซี่ยะแบบโบราณไปหลายคู่แล้วครับ
ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้จัดส่งมาให้ทำพิธีอยู่เสมอ
ศรีคุรุเทพมนตรา ยังรับเสกกริฟฟิน
ตามศาสตร์ของยุโรปโบราณ และสิงคะอัมพร ตามศาสตร์ของชวาโบราณด้วยนะครับ
๔) การเลี้ยงปี่เซี่ยะ ที่ปลุกเสก
หรือไคกวงไปจาก ศรีคุรุเทพมนตรา
การเลี้ยงปี่เซี่ยะ
ที่เสกด้วยพระบารมีของพระแม่หนี่วานั้น ไม่ต้องให้น้ำให้ของกินอะไร แต่เจ้าพวกนี้
มันชอบเครื่องหอมครับ
เพราะในขั้นตอนสำคัญของพิธีเสก ผมใช้กำยาน แก้มนวล http://shreegurudevamantra.blogspot.com/2016/06/mystica.html
ดังนั้น ถ้าจุดกำยานแล้วเอาไปไว้ใกล้ๆ
มันเพียงวันละครั้ง ก็พอถมเถ
แต่ก็ต้องเป็นกำยาน แก้มนวล
เท่านั้นนะครับ ถ้าใช้ของยี่ห้ออื่น ปี่เซี่ยะอาจไม่คุ้นกับกลิ่น แล้วเลี้ยงๆ
ไปก็จะ “เงียบ”
ใครจะว่าผมขายของ ก็ตามใจ สัตว์วิเศษนี่
ไม่ว่าไทยหรือจึน ทุกวัดทุกสำนักแหละครับ ตอนที่ตั้งครั้งแรกใช้ธูป-กำยานยี่ห้อไหน
ก็ควรจะใช้ยี่ห้อนั้นตลอดไป เพราะเจ้าพวกนี้มันให้ความสำคัญกับกลิ่นมาก
แต่ถ้าเอาไปตั้งนอกบ้าน หรือที่ทำงาน ในหลายๆ
สถานที่เขาก็ไม่ให้จุดกำยานน่ะสิครับ
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ดอกไม้สดแทน
ฃึ่งสามารถไปเด็ดมาจากที่ปลูกไว้เอง หรือข้างทางก็ได้
ดอกไม้เล็กๆ นะครับ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ
ใส่ถ้วยประมาณถ้วยน้ำจิ้มเล็กๆ (ไม่ต้องใส่พาน หรูไป) ปี่เซี่ยะชอบมาก
ถ้าหาไม่ได้ ก็พวงมาลัยนี่แหละครับ
ฃื้อมาตัดดอกรักออก เอาเฉพาะดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ดอกจำปี หรือแม้แต่ดอกกระดังงาก็ได้
ดอกไม้แต่ละวันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
ขอแค่เป็นดอกไม้หอมเท่านั้น ปี่เซี่ยะชอบหมด
แต่ไม่ใช่เอาพวงมาลัยทั้งพวงไปคล้องคอมันนะครับ
มันไม่ชอบ ถ้าขืนทำ อาจจะถึงขั้นเสื่อม
แล้วการให้ดอกไม้รายวัน
ก็เสี่ยงกับการที่มดจะขึ้น ถ้ามดขึ้นก็เป็นอัปมงคล
ก็ถือว่ายังมีข้อจำกัดในการดูแลอยู่
ดังนั้น วิธีที่สะดวกที่สุด ก็คือ น้ำกุหลาบ
(Rose
Water หรือ Rose Hydrosol) ครับ
สเปรย์ลงไปบนตัวมัน ๒-๓ ที แค่วันละครั้ง เจ้าปี่เซี่ยะที่คุณเลี้ยงก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใช้ได้ทุกสถานที่ มดก็ไม่ขึ้น
๕) หมั่นพูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์กับปี่เซี่ยะ
เหมือนสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตจริงๆ
เมื่อให้เครื่องหอมทุกครั้ง ต้องลูบหัว
หรือเอามือวางบนตัวมันทุกครั้ง เหมือนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวน่ะครับ
มันชอบให้จับเนื้อต้องตัวบ่อยๆ
และที่ห้ามลืม คือคุยกับมันด้วย
โดยใช้คำแทนตัวเราว่า พ่อ-แม่ แล้วเรียกมันว่า ลูก
ควรพูดคุยกับมันเรื่องโชคลาภ และเรื่องอื่นๆ เช่นมีธุระต้องทิ้งร้านไปชั่วคราว
หรือจะปิดร้านกลับบ้าน ก็บอกให้มันเฝ้าร้านให้ก็ได้
หรือจะไปไหนไกลๆ ก็บอกให้มันไปด้วย
ไม่ว่าไปธระหรือไปเที่ยวปี่เซี่ยะที่คุณเลี้ยงก็จะเป็น bodyguard
คุ้มกันคุณได้ตลอดไปครับ
-----------------------
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น