บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
พระแม่ย่า
เป็นนามบัญญัติเรียกองค์เทวรูปซึ่งทำด้วยศิลาสีเขียว (บ้างว่าหินชนวน)
ประทับยืนบนฐานบัวฟันหนู สูงประมาณ ๑๒๕ ซ.ม. เห็นเพียงด้านหน้า
เทวลักษณะ เป็นอย่างเทพนารีในศิลปะไทยโบราณ
ฉลองพระองค์แบบนางพญา พระพักตร์ยาว พระหนุเรียว พระเกตุมาลายาว ทรงพาหุรัด ทองกร
พระกรผายออกสองข้างตามแบบพระพุทธรูปรุ่นเก่าที่เรียกกันว่า ปางประทับยืน
และยังดูเหมือนกับพระกรุสุโขทัยหลายกรุด้วยกัน ฉลองพระบาทปลายงอน
ปัจจุบันเทวรูปองค์นี้ปิดทองโดยตลอด
และมีผู้ถวายผ้าทรง จึงเห็นเฉพาะพระพักตร์และผ้านุ่ง
แต่ก็ยังพอสังเกตได้ถึงเทวลักษณะที่เป็นของเก่าโบราณมาก
เทวรูปที่เรียกกันว่าพระแม่ย่าองค์นี้
ตามประวัติเดิมว่าพบที่เพิงหินบนยอดเขาสูงที่สุดยอดหนึ่งของเขาหลวง
ในเขตบ้านโว้งบ่อ ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ คือ เขาแม่ย่า หรือ เขาน่าย่า
อยู่ห่างจากเมืองสุโขทัยเก่าไปประมาณ ๗ ก.ม
เพิงหินที่พบเทวรูปนั้น ปัจจุบันก็เรียกกันว่า
ถ้ำพระแม่ย่า
และไม่มีโบราณสถานใกล้เคียงที่พอจะหาความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันได้
ภายในถ้ำพระแม่ย่า มีการตั้งองค์พระแม่ย่าจำลองไว้ ตามตำแหน่งที่เคยประดิษฐาน |
จึงไม่ทราบว่า เหตุใดจึงมีผู้นำองค์พระแม่ย่าไปประดิษฐานไว้ในเพิงหินเช่นนั้น
และแท้ที่จริงจะเป็นเทวรูปของเทพนารีองค์ใด
ก็ยังไม่อาจจะสืบค้นได้มาจนทุกวันนี้ละครับ
อย่างไรก็ตาม
เทวรูปพระแม่ย่าองค์นี้ก็คงจะมีผู้ไปค้นพบเข้า
และกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวสุโขทัยกราบไหว้บูชากันมาตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ ๖
เป็นอย่างน้อย
นักวิชาการในสมัยแรกๆ
บางท่านก็เข้าใจว่าเป็นเทวรูป พระขพุงผี ซึ่งมีกล่าวไว้ในศิลาจารึกหลักที่
๑ ว่าเป็นใหญ่กว่าผีทั้งหมดในเมืองสุโขทัย
เช่น เมื่อ สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จตรวจราชการเมืองพิษณุโลกพ.ศ.๒๔๕๕
ทรงบันทึกไว้ว่า
“เบื้องหัวนอน
มีพระขพุงผีเทพดาอยู่ที่เขาอันนั้น ทางเหนือเมืองสุโขทัยไม่มีภูเขาจนลูกเดียว
ส่วนทางใต้มี ซ้ำไปหาเทวรูปได้อยู่ในเพิงหินด้วย ดูจะเป็นพระขพุงผีเทพดาแน่
ไม่มีปัญหาเลย...”
เมื่อ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ผู้ทรงเป็นองค์บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
เสด็จตรวจราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ.๒๔๕๗ ได้ทรงมีรับสั่งให้ พระยารามราชภักดี
(ใหญ่ ศรลัมภ์) เจ้าเมืองสุโขทัยขณะนั้นออกค้นหาพระขพุงผีตามทิศที่ศิลาจารึกระบุ
เมื่อพบเทวรูปพระแม่ย่า สมเด็จฯ
ก็ทรงมีพระวินิจฉัยตรงกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถว่า น่าจะใช่พระขพุงผี
ผู้รักษาเมืองสุโขทัยตามที่ศิลาจารึกบอกไว้ละครับ
เพราะคำว่า เบื้องหัวนอน
ในศิลาจารึกสุโขทัยนั้น ตรงกับคำว่าทิศใต้ในภาษาไทยปัจจุบัน
(คนสุโขทัยโบราณนอนหันหัวไปทางทิศใต้) ทิศใต้ของสุโขทัยมีเขาหลวง
และในเขาหลวงก็ไม่มีเทวรูปอื่นอีก
จึงทรงมีรับสั่งให้อัญเชิญมาไว้ที่ศาลากลางจังหวัดในพ.ศ.๒๔๖๐
เพื่อสะดวกในการที่ประชาชนจะได้กราบไหว้ใกล้ๆ
และจะได้เป็นการรักษาพระเทวรูปมิให้สูญ
นับแต่นั้น
พระแม่ย่าจึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุโขทัย
เมื่อมีพระบรมราชโองการยุบจังหวัดสุโขทันเป็นอำเภอ และยกอำเภอสวรรคโลกขึ้นเป็นจังหวัดแทนในพ.ศ.๒๔๗๔
พระแม่ย่าก็ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานที่ศาลากลางเมืองสวรรคโลก
ครั้นมีพระบรมราชโองการให้ยุบจังหวัดสวรรคโลกและยกสุโขทัยขึ้นเป็นจังหวัดตามเดิมเมื่อพ.ศ.๒๔๘๒
ก็อัญเชิญกลับมาประทับที่ศาลากลางจังหวัดสุโขทัยอีก พอเทศกาลสงกรานต์ก็อัญเชิญออกให้ประชาชนสรงน้ำและแห่แหนทุกปี
ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๖
ทางราชการเริ่มบูรณะเมืองเก่าสุโขทัย
จึงมีการสร้างศาลพระแม่ย่าในบริเวณศาลากลางจังหวัด
ซึ่งในครั้งนั้น
ได้มีการอัญเชิญดวงพระวิญญาณพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมาประทับในที่เดียวกัน
ทั้งนี้เพราะเชื่อกันในขณะนั้นว่า
องค์เทวรูปพระแม่ย่าสร้างในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่ออุทิศถวายพระมารดา
คือ พระนางเสือง
แต่ความเชื่อเช่นนี้
ปัจจุบันพิสูจน์ได้แล้วครับว่า ผิด
เพราะตามตามสายตาของนักประวัติศาสตร์ศิลปะในปัจจุบัน
ลักษณะทางศิลปกรรมขององค์พระแม่ย่านั้นไม่เก่าถึงรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ทั้งยังน่าจะแกะสลักขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑
ซึ่งถือว่าสิ้นยุครุ่งเรืองของสุโขทัยไปแล้วด้วยซ้ำ
อีกทั้งฝีมือช่างที่สร้างก็เป็นช่างระดับชาวบ้าน
ไม่ใช่ช่างหลวงด้วยน่ะสิครับ
ส่วนการคาดคะเนของสมเด็จฯ
ทั้งสองพระองค์ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้นั้น ผมกลับว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
เพราะพระขพุงผี
มิได้มีกล่าวเฉพาะในศิลาจารึกหลักที่ ๑
ซึ่งกำลังเป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่ในแวดวงประวัติศาสตร์โบราณคดีไทยเราในปัจจุบันเท่านั้น
ยังมีอยู่ในศิลาจารึกหลักอื่นๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นของสุโขทัยแท้ๆ อีกด้วย
แต่ปัญหาก็คือ ถ้าไม่มีหลักฐานตรงๆ
ว่าเทวรูปพระแม่ย่าถูกเรียกว่าพระขพุงผีมาตั้งแต่แรก
ก็ไม่มีนักโบราณคดีของไทยคนไหนจะยอมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นได้หรอกครับ
ดังนั้น
จึงยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการที่ใดว่า พระแม่ย่าคือพระขพุงผีจริงในปัจจุบัน
แต่แม้กระนั้น
คาถาบูชาพระแม่ย่าที่มีผู้คิดผูกขึ้น และเป็นคาถาที่ใช้บูชาอย่างได้ผลด้วย
ก็ระบุว่าพระแม่ย่าคือพระขพุงผีครับ
ที่จริงยังมีการคาดเดาความเป็นมาขององค์พระแม่ย่าในทางอื่นอีก
เช่นมีผู้เสนอว่า พระแม่ย่าคือเทวรูปพระอุมา ซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระพายหลวง
คู่กับพระศิวะ ที่เคยประดิษฐานไว้ที่วัดศรีสวาย
(ทั้งสองวัดอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย)
เป็นฝีมือช่างขอม
เมื่อเกิดสงคราม
พวกขอมย้ายเทวรูปพระศิวะกลับไปได้ แต่ขนพระอุมาไปไม่ทัน จึงนำไปซ่อนไว้ที่เขาหลวง
ข้อเสนอนี้
ผู้ค้นคว้าเรื่องพระแม่ย่าโดยทั่วไปไม่เห็นด้วยแน่นอนครับ
เพราะไม่มีหลักฐานอื่นใดรองรับ อีกทั้งเทวรูปพระแม่ย่าก็ไม่ใช่ศิลปะขอม
ทั้งยังเก่าไม่ถึงสมัยขอมดังกล่าวแล้ว
แต่ส่วนตัวผมก็เห็นว่า
มีแง่คิดบางอย่างที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่นการที่เทวรูปนี้เดิมถูกสร้างคู่กับเทวรูปอื่น
และได้รับการขนย้ายเพื่อหนีภัยสงคราม
เพราะถ้าจะพูดกันจริงๆ
ลักษณะองค์พระแม่ย่ายืนปล่อยพระหัตถ์ไว้เฉยๆ เหมือนเดิมจะทำไว้เป็นรูปของเทพชายา
ตั้งคู่กับเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่ยืนถืออาวุธครบ
และเทวรูปทั้งสององค์ก็น่าจะตั้งคู่กันไว้ในศาลหลังย่อมๆ
ชานเมืองสุโขทัยไม่ห่างไปจากเขาหลวงนัก แทนที่จะตั้งอยู่ในเมืองเช่นวัดพระพายหลวง
เทวรูปคู่นี้
คงเป็นที่นับถือของผู้คนในแถบนั้น เมื่อเกิดสงคราม
ผู้นับถือก็อัญเชิญเทวรูปทั้งสององค์ขึ้นไปซ่อนไว้บนเขาหลวง
แต่เทวรูปพระสวามีจะแตกหักระหว่างทาง หรือได้สาบสูญไปอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้
คงเหลือแต่พระแม่ย่าเพียงองค์เดียว
ผมว่า
แนวความคิดเช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงนะครับ
พระแม่ย่า ขนาดบูชา รุ่น ๑๐๐ ปีสุโขทัยวิทยาคม |
ดีไม่ดี เทวรูปพระสวามี
หรืออาจจะรวมทั้งพระแม่ย่านี่แหละ อาจจะหมายถึงพระขพุงผีองค์จริง
ที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกสุโขทัย แต่เทวรูปองค์เดิมอาจจะทำด้วยไม้
แล้วชาวบ้านมาสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินแกะสลักในภายหลังก็ได้
ไม่อย่างนั้น
ทำไมคาถาบูชาพระแม่ย่าที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า อะหัง วันทามิ ขะพุงผี มะหาเทวะดาฯ
จึงใช้ได้ผลล่ะครับ ถ้าหากว่าท่านไม่ใช่พระขพุงผี
หรือเคยได้รับการบูชาคู่กับพระขพุงผี?
ส่วนที่มาที่ไปของคำเรียก “พระแม่ย่า” นั้น
ก็เพราะมีเหตุมาจากการปรากฏพระองค์ในนิมิตของผู้ศรัทธา
หรือแม้แต่ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่ไม่ศรัทธาก็ตาม รูปปรากฏนั้นมักเป็นสตรีสูงอายุ
อีกทั้งของถวายที่โปรดอย่างยิ่งส่วนหนึ่งก็คือ
หมากพลูแบบที่คนแก่สมัยก่อนชอบรับประทานอีกด้วย
นิมิตเช่นนี้ โดยส่วนตัวผมว่ายังตัดสินอะไรได้ไม่มาก
กล่าวคือจะเป็นดวงวิญญาณที่สถิตในเทวรูปมาแต่เดิม หรือจะเป็นวิญญาณอื่นที่เข้าไปสิงสู่ภายหลังก็ได้
เพราะตามหลักเทวศาสตร์แล้ว
ถ้าเป็นระดับองค์เทพอย่างแท้จริง ทิพยรูปในนิมิตจะอยู่ในวัยสาวครับ
แต่ถ้าเป็นวิญญาณอื่นที่เข้าไปสิงสู่ภายหลัง
ก็ต้องเป็นผีชั้นสูง มีฤทธานุภาพมากเช่นกัน
เพราะมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับอภินิหารของพระองค์
ที่ช่วยเหลือให้ผู้ศรัทธาได้ประจักษ์แม้แต่ในเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ที่สุด
เรื่องเหล่านี้จะหาอ่านได้ในหนังสือที่เรียบเรียงโดย อ.ทองเจือ สืบชมภู
ซึ่งมีจำหน่ายอยู่ในบริเวณศาล
ปัจจุบัน
เทวรูปพระแม่ย่าจะมีผ้าทรงซึ่งมีผู้ถวายเป็นประจำดังกล่าวแล้วห่มทับ
ดังปรากฏในภาพประกอบบทความนี้
แม้ว่าโดยหลักทางเทววิทยาแล้ว
ไม่นิยมถวายผ้าทรงแด่พระเทวรูป นอกจากจะเป็นผ้าที่ถักทออย่างวิจิตรเลอค่าเพียงพอ
แต่ผ้าที่ถวายองค์พระแม่ย่านี้ก็ไม่ควรตำหนิหรอกครับ
เพราะเป็นผ้าทอลายหาดเสี้ยวที่ออกแบบลวดลายและทอขึ้นเป็นพิเศษ หาเป็นผ้าทอพื้นๆไม่
ทุกวันนี้
องค์พระแม่ย่าได้รับการประดิษฐานในเทวาลัยที่งดงามตระการตา เป็นของใหม่เริ่มสร้างเมื่อพ.ศ.๒๕๓๗
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารีเสด็จเป็นองค์ประธานในการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน
ปีนั้น สร้างเสร็จอัญเชิญองค์พระแม่ย่าขึ้นประดิษฐานเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๑
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารีเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๗
พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒
ศาลแห่งใหม่นี้ไม่เพียงเป็นแต่ของสร้างใหม่เท่านั้นนะครับ
ยังได้รับการออกแบบโดยสำนักโยธาธิการจังหวัดสุโขทัย
ด้วยการนำสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัยมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
โดยเฉพาะเครื่องบนซึ่งได้แบบอย่างจากพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
เป็นความคิดที่น่าชมมาก
นอกจากนี้ในพื้นที่ใกล้กัน
ยังมีศาลพระแม่ย่าหลังเล็ก สำหรับประดิษฐานเทวรูปพระแม่ย่าจำลององค์แรก
ซึ่งใช้แห่ออกให้ประชาชนสรงน้ำในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี
ตัวศาลเป็นอาคารทรงไทยชั้นเดียว ตั้งอยู่ใกล้ร้านขายเทวรูปและเครื่องสักการะต่างๆ
เทวรูปจำลององค์นี้เป็นฝีมือเก่าครับ
ทำได้เหมือนองค์จริงกว่าเทวรูปจำลองรุ่นหลังที่ตั้งอยู่หน้าศาลหลังใหญ่
ทั้งเป็นเทวรูปที่ผ่านการเทวาภิเษกอย่างดีเยี่ยม มีผู้เล่าว่าเคยกราบไหว้พระเทวรูปองค์นี้แล้วประสบปาฏิหาริย์เหมือนกัน
ภายในบริเวณศาล
ยังมีเทวรูปปูนปั้นระบายสีขนาดใหญ่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม และมีสิ่งสำคัญ คือ พระพุทธอุทยานสุโขทัย
ตั้งถัดไปด้านหลังสนามหญ้า เป็นอาคารโถงตั้งบนยกพื้นสูงกว่าตัวศาล
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป ๙ องค์
จำลองแบบจากพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุโขทัย
ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในจังหวัดอื่นทั้งสิ้น
พระพุทธอุทยานสุโขทัย ภาพจาก http://travel.thaiza.com |
ด้านหน้าเทวาลัยพระแม่ย่ายังมีลานกว้าง
ตกแต่งด้วยกินรีปูนปั้นอยู่ในสระขนาดเล็กสองข้าง เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ
ถ้ามองจากริมน้ำยมแลดูสง่างามยิ่งนัก
แต่ปัจจุบันมีการก่อสร้างศาลาโถงขนาดใหญ่ขึ้นบังบริเวณตัวศาลแทบทั้งหมด
เพื่อกันแดดกันฝนให้ผู้เข้าไปสักการะองค์พระแม่ย่า
จนไม่สามารถมองเห็นภูมิสถาปัตย์อันสวยงามเช่นเดิมได้อีก
เทวาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ศาลากลางจังหวัด
ถ้าตั้งต้นจากตลาดก็ขับรถไปตามถนนนิกรเกษม เลียบแม่น้ำยมเป็นระยะทางไม่เกิน ๑ ก.ม.
หรือจะจ้างรถสามล้อเครื่องพื้นเมืองที่เรียกกันว่า “ซาเล้ง” ไปก็ได้ครับ
..................................
..................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
เคารพศรัทธาท่านมากค่ะ ที่อาจารย์วิเคราะห์ว่าท่านน่าจะเคยมีเป็นคู่ก็ตรงกับความรู้สึกนะคะ
ตอบลบแอดมินก็เห็นด้วยค่ะ เพราะถ้าทำท่านเป็นองค์เดี่ยวๆ แล้วทำเป็นแท่งหินแบบนี้ เวลาตั้งในศาลจะดูโล่งมากเลย (ปัจจุบันมีซุ้มแล้วก็ยังดูโล่งๆ)
ลบ