บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
พระฤาษีองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ
เป็นพระฤาษีหน้าเนื้อ นับเป็นมหาฤาษีผู้ทรงตบะสูงส่งท่านหนึ่ง
และเป็นอาจารย์สายฤาษีองค์หนึ่งที่ผมเคารพนับถือเป็นการส่วนตัวครับ
ท่านมีนามในตำราต่างๆ ว่า พระฤาษีฤษยะสฤงค์
บ้าง หรือ พระฤาษีอิสีสิงค์ บ้าง ตามตำราว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีพิภาณฑกมุนี
และเป็นหลานของ พระฤาษีกาศยปมุนี ซึ่งเป็นหนึ่งในฤาษีที่ทำพิธีอัศวเมธ
เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพระฤาษีกไลยโกฏิองค์นี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลฤาษีโดยแท้
พระฤาษีกไลยโกฏิเกิดในป่าศาลวัน
แคว้นองคราษฎร์ ซึ่งอยู่ในเขตเมืองพัทวิสัยของ ท้าวโรมพัตตัน (บางตำราว่า
ท้าวโลมบาท) ผู้เป็นบิดาสั่งสอนไว้ว่าให้ระวังวัวเขาอ่อน มันมีเขาขึ้นบนอก
เขามันแปลกเพราะว่าแทนที่จะแข็งกลับนิ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ให้ระวังผู้หญิงนั่นละครับ
แต่พูดเป็นปริศนาธรรมไปหน่อย
พระฤาษีกไลยโกฎิเกิดในป่าโตในป่า ไม่เคยเห็นเพศตรงข้าม จึงไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร
ก็ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุฌานสมาบัติตามลำดับ
พระฤาษีกไลยโกฎิสามารถนั่งนิ่งไม่ขยับกาย
จิตดิ่งอยู่ในฌานเช่นนั้นโดยไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินน้ำ ก็สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจจิตที่มีพลังงานมหาศาล
จนได้ฌานสมาบัติสูงมาก มีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวง
แต่การบำเพ็ญตบะฌานอันสูงส่งนี้กลับก่อความเดือดร้อนแก่เมืองพัทวิสัย
เพราะด้วยเดชความแรงกล้าของฌานสมาบัติ
ซึ่งมีอานุภาพดุจพระอาทิตย์นับพันดวงนั่นเอง ทำให้บ้านเมืองที่พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั้นเกิดวิปริต
ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลถึง ๓ ปี เกิดความแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่ว
ท้าวโรมพัตตันตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาถึงเจ็ดเดือนเจ็ดวัน
ฝนก็ยังไม่ตก จึงให้โหรหลวงทำนาย (บางตำราว่าได้ข่าวจากนายวันจรกพรานป่า)
ทรงทราบว่า เหตุที่ทำให้ฝนแล้งอยู่เป็นปีๆ นี้
ก็เพราะตบะฌานของพระฤาษีกไลยโกฎินั่นเอง
คือในอินเดียสมัยโบราณนี่นะครับ ถ้าปีไหนเกิดแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล
เขาจะลงความเห็นว่าเกิดจากฤาษีตนใดตนหนึ่งบำเพ็ญตบะเข้มเกินไป
จนเกิดเตโชธาตุออกมาเผาผลาญให้อากาศร้อนไปหมด จึงต้องหาทางทำลายตบะฤาษีตนนั้นให้แตก
ฝนจะได้ตกตามปกติ
ท้าวโรมพัตตันจึงเสด็จไปยังป่าศาลวัน
สั่งให้ทหารปลูกพลับพลาให้เป็นที่อยู่ของพระธิดาที่งดงามที่สุด คือ พระนางศานตา
หรือ พระนางอรุณวดี
แล้วส่งพวกนางโลมไปหลอกล่อพระฤาษีกไลยโกฏิออกมายังพลับพลาของพระนางศานตา
แต่บางตำราว่า
พระนางศานตาเข้าไปถึงอาศรมของพระฤาษีด้วยตนเองครับ
เมื่อเห็นท่านนั่งนิ่งเข้าฌานอยู่ก็บีบนวดเคล้าคลึง เอาน้ำผึ้งไปทาริมฝีปาก
เมื่อกระทำมากเข้าพระฤาษีกไลยโกฎิก็ออกจากฌานสมาบัติ ลืมตาดู
เมื่อเห็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และได้รับการนวดการสัมผัสบีบคลำ ตัณหาภายในใจก็ฟุ้งขึ้น
ที่สุดตบะเดชะที่บำเพ็ญไว้ก็เสื่อม ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
พืชพันธุ์ธัญญาหารก็กลับอุดมสมบูรณ์
ท้าวโรมพัดตัน ได้กล่าวกับพระฤาษีกไลยโกฏิว่า
การเสียตบะฌานอันแรงกล้าของพระฤาษี กลับกลายเป็นการ“ช่วยชีวาสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งอุปัทวันอันตราย จะหายด้วยบุญพระอาจารย์” และได้ยกพระราชธิดาให้
รวมทั้งได้อัญเชิญพระฤาษีให้ออกจากป่าเข้าสู่เมืองพัทวิสัยของพระองค์
ให้เข้าไปอยู่ในพระราชฐาน โดยถวายปราสาทหลังหนึ่ง
พระฤาษีกไลยโกฏิก็ได้อยู่ในมหาปราสาทนั้นต่อมาด้วยความผาสุก
แต่ในอีกตำนานหนึ่งเล่าแตกต่างออกไปว่า
เมื่อพระฤาษีกไลยโกฎิล่วงรู้ความจริงว่าท้าวโรมพัตตันส่งพระธิดามาทำลายตบะแล้ว
ก็หนีหายเข้าไปในป่าลึกไปบำเพ็ญตบะใหม่ จนมีฤทธิ์กล้าเหมือนเดิม
และเลิกสนใจในอิสตรีแต่นั้นมา เพราะล่วงรู้ถึงพิษสงที่โดนเข้าแล้วเป็นอย่างดีครับ
ในรามเกียรติ์ยังมีเรื่องเกี่ยวแก่พระฤาษีกไลยโกฎิอีกว่า
เมื่อตอนที่ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาปราถนาจะมีพระโอรสสืบสกุลแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ก็ทรงเชิญพระฤาษีกไลยโกฎิไปปรึกษา พระฤาษีกไลยโกฎิได้พาฤาษีอีก ๔ องค์
ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า
โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้
แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น
พระอิศวรจึงให้พระฤาษีอันมีฤทธิ์แก่กล้าทั้ง ๕ องค์มาทำพิธีหุงข้าวทิพย์ให้มเหสีของท้าวทศรถทั้ง
๓ พระองค์เสวย โดยพระฤาษีกไลยโกฎิเป็นประธานในพิธี จนทำให้เกิดพระราม
พระลักษมณ์ขึ้นมานี่ละครับ
ความจริงยังมีพระฤาษีหน้ากวางองค์อื่นอีกนะครับ
แต่ไม่เป็นที่รู้จักหรือบูชากันอย่างพระฤาษีกไลยโกฎิ
พระฤาษีท่านนี้ คือพระฤาษีหน้ากวางทอง หรือ
พระฤาษีปะตาภา มีนิทานเล่าว่าเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกับ พระฤาษีหน้าเสือ
ซึ่งเดิมทั้งสองก็มีหน้าเป็นคนปกตินี่ละครับ
แต่ได้ลองวิชากันโดยแสดงอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนหน้าเป็นกวางและเสือ
แล้วกลับร่างเดิมไม่ได้ เรื่องโดยสังเขปก็มีเท่าที่ผมเล่ามานี้ละครับ
ในรามเกียรติ์ของไทย
ยังเล่าว่าเมื่อภายหลังปราบทศกัณฐ์แล้ว พระนางสีดาถูกพระรามเข้าใจผิด
ต้องออกจากกรุงอโยธยารอนแรมไปในป่า จนไปถึงอาศรมของ พระฤาษีวัชมฤค
หรือพระฤาษีหน้าวัว เมื่อพระฤาษีวัชมฤคทราบเรื่องจึงให้นางสีดา ถือเพศเป็นดาบสสินี
แล้วจำแลงกายให้เป็นพระฤาษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย
เท่ากับเป็นพระฤาษีหน้ากวางอีกองค์หนึ่ง
แต่ในทางนาฏศิลป์ ศีรษะของพระฤาษีที่เป็นหน้ากวางนั้นมีอยู่องค์เดียว
คือพระฤาษีกไลยโกฏิเท่านั้นครับ ทำเป็นหัวฤาษีหน้าเนื้อ สวมเทริดฤาษียอดบายศรี
และมักจะทำเขากวางเล็กๆไว้ด้วย ชาวนาฏศิลป์นับถือเป็นครูแห่งการร้องรำ
โดยมีตำนานกล่าวว่า ได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการขับร้องทั้งปวง
ชื่อของพระฤาษีกไลยโกฏิ
ยังทำให้คนทั่วไปมักจะสับสนกับพระฤาษีอีกองค์หนึ่ง คือ พระฤาษีประไลยโกฏิ
พระฤาษีท่านนี้มีหน้าตาเป็นมนุษย์แบบฤาษีทั่วไป
และเป็นผู้คิดค้นวิธีการทำนาขึ้นเป็นคนแรก
ท่านมาจากอีกสายวิชาหนึ่งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพระฤาษีกไลยโกฏิเลยครับ
เพียงแต่ชื่อคล้ายกันเท่านั้น
ว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ
หรือให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญพระฤาษีกไลยโกฏิเข้าร่วมพิธีด้วย
เพราะตามเรื่องราวของท่าน
ถึงแม้การบำเพ็ญตบะของท่านจะทำให้ฝนแล้งถึง ๓ ปี แต่ผมว่าถ้าจะตีความกันจริงๆ แล้วมันก็คือปริศนาธรรมที่อาจจะเปรียบเทียบได้กับหลักหยิน-หยางของจีน
ที่ว่า เมื่อพลังหยางแรงไปก็ต้องทำให้อ่อนลงจนเข้าสู่จุดที่พอดี
ด้วยพลังหยินนั่นเอง เป็นเรื่องของความอุดมสมบูรณ์โดยแท้ครับ
อีกทั้งท่านยังช่วยให้ท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้พระโอรส
ซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์มาปราบทุกข์เข็ญในโลก
เป็นการอัญเชิญทิพยานุภาพจากสวรรค์มาชำระล้างหายนะของโลก (อันเกิดจากเหล่ายักษ์)
ให้เป็นปกติสุข
โดยนัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการทำลายความแห้งแล้งด้วยความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากครับในทางเทวศาสตร์อินเดีย
แต่ที่ผ่านมา
วัตถุมงคลของท่านที่เป็นขนาดบูชานั้นหายากจริงๆ ครับ ไม่ค่อยมีสร้างกัน ที่เห็นๆ
กันอยู่ก็มีของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญญโญ แห่งสุสานทุ่งมน จ.สุรินทร์ ที่มรณภาพไปแล้ว
แต่ไม่มีความโดดเด่นอะไร เพราะช่างที่ปั้นรูป tist เกินครับ ปั้นเทพอะไรก็ "ศิลป์" ไปเสียหมด
ที่มีการสร้างไว้ล่าสุด
ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ จึงมีแต่ของหลวงปู่กลม ชวนปัญโญ วัดหนองบัว จ.สระแก้ว ที่เป็นเนื้อทองเหลืองกับเรซินฝังแร่ครับ สร้างเมื่อสองปีมาแล้ว
เนื้อเรซินฝังแร่นั้นชำรุดเสียหายจากการขนส่งที่ไม่ดีจนเหลือไม่กี่องค์เท่านั้นที่มีการออกให้เช่าบูชาตามศูนย์พระเครื่องจริงๆ
ขณะที่เนื้อทองเหลืองก็พิมพ์ไม่คมเท่าเรซิน (ตามธรรมชาติของการหล่อทองเหลืองในโรงงานทั่วไป)
แต่พระบูชารุ่นนี้มีประสบการณ์มากมาย
และปัจจุบันก็ไม่มีให้บูชาอีกต่อไปแล้วครับ
................................
................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
น่าเสียดายที่เป็นพระดี แต่หายากบูชายาก
ตอบลบใช่ค่ะ แม้แต่เนื้อทองเหลืองของหลวงพ่อกลมซึ่งราคาค่อนข้างแพงก็หมดเกลี้ยง
ลบเคยเห็นหลายทีแล้วแต่เพิ่งมารู้เรื่องราวของท่านที่นี่ละค่ะ
ตอบลบท่านไม่ใช่ฤาษีที่นิยมกันอย่าง พระฤาษีตาไฟ หรือปู่เจ้าสมิงพราย เลยไม่ค่อยมีคนนำเรื่องราวมาเผยแพร่
ลบเคยเห็นของโอท็อปค่ะสวยมากแต่ไม่ได้เสก
ตอบลบทีหลังอย่าลืมถ่ายรูปมาฝากนะคะ ^ ^
ลบผมเคยฝันว่ากราบท่านฤาษีองค์นี้ โดยไม่ทราบเป็นท่านใด แต่วันรุ่งขึ้นไป สุสานทุ่งมน จึงทราบว่าเป็นเป็นท่าน ที่หลวงปู่หงษ์สร้างไว้ เหมือนในฝันไม่มีผิดเพี้ยน
ตอบลบขออภัยมากๆๆๆ ที่ตอบช้าค่ะ เป็นความผิดพลาดของระบบ ที่เพิ่ง run คอมเมนต์ให้แอดมินเห็น หลังจากโพสต์ไปเป็นปี ...เฮ้อ
ลบตอนนี้ พระฤาษีกไลยโกฏิของหลวงปู่หงษ์ก็กลายเป็นอะไรที่หายากมากมาย ใครได้ไว้บูชานับว่าโชคดีค่ะ
ผมเคยฝันเห็นท่านว่ามาท่านมาแบบแสงลายรูปท่านเลยคับ
ตอบลบดีใจด้วยค่ะ นับเป็นสิริมงคลมากมาย ^_^
ลบพึ่งเห็นท่านในฝัน เลยต้องหาอานเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบฝันดีเป็นมงคลมากค่ะ แต่น่าเสียดายจัง หารูปเคารพของท่านยากแล้ว
ลบ