บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
การจัดกลุ่มเทพแบบ ตรีเอกานุภาพ (Triad) มีอยู่ในระบบทางเทววิทยาของหลายชนชาติครับ
ตั้งแต่อียิปต์ ซึ่งมีกลุ่มเทพสูงสุดสำหรับบูชา
ที่รู้จักกันทั่วโลก คือ จอมเทพโอสิริส (Osiris) พระเทวีไอซิส (Isis) และ
มหาเทพโฮรุส (Horus)
ทางฝ่ายสแกนดิเนเวีย หรือยุโรปเหนือ
ก็นิยมจัดกลุ่ม จอมเทพโอดิน (Odin) มหาเทวีเฟรยา (Freya) และ
มหาเทพธอร์ (Thor) เป็นตรีเอกานุภาพเช่นกัน
ส่วนตรีเอกานุภาพของทางฮินดูนั้น
ที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดคือ พระตรีมูรติ (Trimurti) หรือพระเป็นเจ้าทั้งสาม
คือพระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม
คติพระตรีมูรติในอินเดียนั้น
นิยมกันเมื่อหลังพุทธกาลเป็นต้นมาครับ ในอินเดีย ยกให้พระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด
แต่ในอาณาจักรขอม ยกให้พระศิวะเป็นใหญ่ที่สุด
อย่างไรก็ตาม พระตรีมูรติในอินเดียนั้น
มีน้อยมากครับที่จะเป็นเทวรูป ส่วนมากจะเป็นภาพวาด และปัจจุบันก็เริ่มเสื่อมความนิยมแล้ว
คงมีให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ในช่วงที่พระตรีมูรติ
ยังได้รัความนิยมในอินเดียสมัยโบราณ ได้มีการจัดกลุ่มมหาเทวี คือ พระตรีศักติ
(Trishakti)
ได้แก่พระอุมา พระลักษมี และพระสรัสวดี
ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับพระตรีมูรติครับ
คือมักจะเป็นภาพวาดมากกว่าเทวรูป หรือประติมากรรม และในส่วนที่เป็นพระอุมานั้น
ก็แทนด้วยพระทุรคา
และในช่วงที่ผมเขียนบทความนี้
ก็มีการเปลี่ยนแปลงพระทุรคา เป็น พระตรีปุระสุนทรี
หรือเทพนารีพื้นเมืองอินดัยใต้องค์อื่นๆ เช่น พระมีนากษี
(Meenakshi)
นอกจากนี้ ก็มีการเสนอตรีเอกานุภาพใหม่ๆจากหลายสำนัก
เช่น พระคเณศ-พระสวามีอัยยัปปา-พระสกันท์
พระสวามีอัยยัปปา (Ayyappa) เป็นเทพพื้นเมืองอินเดียใต้ นับถือกันมานานหลายร้อยปีแล้วครับ แต่ไม่กว้างขวางขึ้นไปถึงอินเดียภาคอื่น
แล้วโดยชื่อชั้น ก็ยังเป็นรองพระคเณศ
กับพระสกันท์ จนไม่น่าจะเอามาเป็นองค์ประธานแบบนี้ได้ จึงยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก
ส่วนตรีเอกานุภาพที่ผมตั้งใจกล่าวถึงในบทความนี้
คือ การนับถือพระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดีด้วยกัน
นับว่าเป็นตรีเอกานุภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องยาวนานที่สุด ในศาสนาฮินดูครับ
คนอินเดียทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไวษณพ หรือไศวะ
ก็ยังคงบูชาตรีเอกานุภาพชุดนี้อย่างเหนียวแน่นในปัจจุบัน
แม้จะมีการนำเสนอตรีเอกานุภาพใหม่ๆ เป็นอันมาก ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ดังกล่าวแล้วก็ตาม
จริงๆ แล้ว คติการนับถือองค์พระคเณศ พระลักษมี
และพระสรัสวดีรวมกัน ก็ไม่จัดว่าเก่าแก่นะครับ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียเมื่อไม่กี่ทศวรรษมานี้เอง
แต่ก็มีรากฐานที่ได้ปรากฏตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้วเหมือนกัน
ดังความเชื่อเก่าสุด
อันพอจะนับว่าเป็นต้นเค้าดั้งเดิมของคตินี้คือ ลัทธิสัปตมาตฤกา (Saptamatrkas)
สัปตมาตฤกา เป็นลัทธิเก่าแก่มากในอินเดีย
โดยนับถือพระแม่ ๗ องค์ ที่เป็นกำลังของเพศหญิงหรือ ศักติ อันเป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง
๗
พระแม่ ๗ องค์นี้ได้แก่
๑) พระพรหมมี (Brahmi)
: พระสรัสวดี)
๒) พระมเหศวรี หรือ โยเคศวรี (Maheshvari,Yogeshvari
: พระอุมา)
๓) พระไวษณวี (Vaishnavi
: พระลักษมี)
๔) พระเกาเมารี (Kaumauri
: ชายาพระสกันท์)
๕) พระวราหิ (Varahi
: พระลักษมีในวราหาวตาร)
๖) พระอินทราณี (Indrani
: ชายาพระอินทร์)
๗) พระจามุณฑา (Chamunda
: ชายาพระยม)
โดยทุกพระองค์จะปรากฏพร้อมกับพาหนะ
และเทพศาสตราวุธครบ ต่อเนื่องเป็นแถวเดียวกัน
คนอินเดียโบราณนับถือพระแม่ทั้ง ๗ นี้
ก็เพื่อขอเทวอำนาจมาคุ้มครองเด็กเกิดใหม่ หรือเด็กๆ ในหมู่บ้าน และบางทียังนิยมบูชากันเพื่อเพิ่มประชากรในหมู่บ้านครับ
จากหลักฐานทางโบราณคดี
เทวประติมากรรมในลัทธิสัปตมาตฤกานอกจากจะทำรูปพระแม่ทั้ง ๗ องค์แล้ว ยังทำรูปพระคเณศไว้ด้วย
การบูชาพระคเณศควบคู่ไปกับพระแม่ ๗ องค์นี้
ก็เพื่อเป็นการขจัดอุปสรรคต่างๆ และทำให้คำสวดขอพรของผู้บูชาพระแม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง
ปัจจุบัน
คติความเชื่อในเรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่ในอินเดียใต้ครับ ดังที่เราจะเห็นได้จากที่ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี
หรือวัดแขกสีลม ซึ่งเป็นเทวสถานนิกายศักติฝ่ายทมิฬ
นอกจากนี้
ชาวฮินดูส่วนใหญ่ก็มักจะจับคู่ระหว่างพระคเณศ กับพระลักษมี เพื่อการสักการะที่หวังผลสองอย่าง
เนื่องด้วยพระคเณศเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ และการขจัดอุปสรรค
ในขณะที่พระลักษมีเป็นเทพแห่งโชคลาภ
เพราะฉะนั้น การบูชาพระคเณศกับพระลักษมีจึงแพร่หลายมาก
เป็นความสำเร็จของการนำเทพเจ้าซึ่งได้รับการนับถืออย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดนิกายและสาขาอาชีพทั้งสององค์มารวมกัน
โดยจะเห็นว่า ในทางประติมานวิทยานั้น
กำหนดให้พระคเณศมีปางหนึ่งเรียกว่า ลักษมีคณปติ (Lakhshmi
Ganapati)
ในปางนี้พระลักษมีจะประทับบนพระเพลาของพระคเณศ
และพระกรหนึ่งของพระคเณศ ก็จะยกมาโอบเอวพระแม่ลักษมีไว้ เป็นที่บูชาสำหรับผู้ที่หวังความสำเร็จ
การปราศจากซึ่งอุปสรรค
และการมีโชคลาภทรัพย์สินบริบูรณ์
เป็นที่น่าสนใจว่า พระลักษมีปรากฏพระองค์ในปางนี้
เหมือนกับเป็นศักติของพระคเณศ เพราะตามคติฮินดูแล้ว
เทพเจ้าที่มีเทวสตรีประทับนั่งบนพระเพลา และโอบเทวสตรีนั้นไว้พระกรหนึ่ง
ก็มักเป็นเทพสวามีและชายาต่อกันครับ
แต่ในกรณีพระลักษมีคณปตินี้เป็นที่ยกเว้น
เนื่องเพราะมีแต่ฮินดูบางสำนักเท่านั้นทีถือว่า พระลักษมีเป็นศักติของพระคเณศ
ฮินดูทั่วไปไม่ถือเช่นนั้น
เหตุที่ปรากฏพระองค์ในลักษณะดังกล่าว ก็เพราะได้รับแบบอย่างมาจากเทวรูปพระคเณศแบบโบราณปางหนึ่ง
ที่มีอิทธิพลตันตระ คือพระคเณศปาง อุจฉิษฎคณปติ
เทวรูปพระคเณศปางนี้จะมีศักติ คือ พระวิฆเนศวรี
(Vighaneshvari
: ไม่ใช่พระนางพุทธิและพระนางสิทธิ)
ประทับบนพระเพลาเช่นเดียวกันนี้ละครับ
ต่อมา
เมื่อมีความนิยมนับถือพระคเณศกับพระลักษมีคู่กัน
ช่างฮินดูก็เปลี่ยนพระวิฆเนศวรีออก แล้วใส่รูปพระลักษมีเข้าไปแทน
เพียงแต่เพราะว่าไม่ใช่พระสวามีและชายากัน
พระลักษมีจึงประทับบนพระเพลาของพระคเณศโดยยังคงมีการแสดงถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
แต่ไม่มีการแสดงออกทางกามวิสัยเท่านั้น
พิธีกรรมบูชาพระคเณศและพระลักษมีรวมกันโดยเฉพาะก็มีนะครับ
และเป็นแบบแผนหนึ่งของการบูชาที่ทำให้เกิดรูปภาพที่ได้รับความนิยมแพร่หลายที่สุดแบบหนึ่งของทางฮินดู
โดยเฉพาะผู้ทำการค้าขายด้วยแล้ว มักจะมีรูปภาพ หรือเทวรูปลักษณะนี้อยู่ในบ้าน
หรือร้านค้า
เทวรูปนี้เรียกว่า ลักษมีคเณศ (Lakshmi
Ganesh)
โดยถ้าเป็นรูปเขียน หรือเทวรูปนูนสูง
มักจะวาดให้พระลักษมีประทับยืน พระคเณศประทับนั่ง
บางรูปประทับยืนหรือประทับนั่งทั้งสองพระองค์
แต่พระลักษมีจะไม่ประทับบนพระเพลาของพระคเณศ เช่นในรูปลักษมีคเณศ
ส่วนถ้าเป็นเทวรูปลอยองค์แล้ว มักจะทำแยกเป็น
๒ องค์ มาประกอบบนแท่นฐานเดียวกัน
ลักษมีคเณศ
ถือกันว่ามีอานุภาพสูงสุดในการบันดาลโชคลาภ ความมั่งมีศรีสุข
และความสำเร็จสมปรารถนาประการ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะบูชาในการประกอบธุรกิจ
และยังมีการมทำด้วยวัสดุราคาถูกสำหรับบูชาในเทศกาลทิวาลีโดยเฉพาะด้วย
ในอินเดียตะวันตก
ยังมีพิธีกรรมการบูชาพระคเณศกับพระลักษมีอีกลักษณะหนึ่ง เรียกว่า
วาหิปูชาณ (Vahi Pujan) โดยการนำหนังสือมาวางไว้หน้าเทวรูปพระคเณศและพระลักษมี
จุดตะเกียงและบูชาด้วยการโปรยดอกไม้
ผู้ประกอบพิธีจะสวดขอพร ให้กิจการมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
ทำมาค้าขายร่ำรวย และมีการเจิมหน้าแรกของหนังสือทุกเล่ม รวมทั้งสมุดบัญชีต่างๆ
ด้วยหญ้าฝรั่น แล้วเขียนคำอธิษฐาน
หรือข้อความที่เป็นมงคลไว้ที่ผนังบ้าน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการจัดกลุ่มพระคเณศ
พระลักษมี และพระสรัสวดีสำหรับบูชารวมกันเป็นตรีเอกานุภาพขึ้นมา จึงเท่ากับเป็นการบูชาคุณสมบัติที่เด่นๆ
ของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ เพื่อให้ได้ผลดีทั้งในด้านความสำเร็จ การปลอดพ้นจากอุปสรรค
โชคดี ลาภยศสรรเสริญ ความรู้และสติปัญญา
คตินี้ ได้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบการพิมพ์ที่ดีเยี่ยมในประเทศอินเดียเอง
เพราะปรากฏว่าวัตถุที่ทำขึ้นเพื่อการบูชาตามคตินี้
ส่วนมากเป็นภาพจิตรกรรมมากกว่าประติมากรรมครับ
จนเป็นประเพณีว่า
จิตรกรที่วาดรูปเทพเจ้าฮินดูแทบทุกคน จะต้องแสดงฝีมือวาดรูปเฉพาะสามองค์นี้รวมกันไว้ด้วย
และกลายเป็นความนิยมที่เกิดกับชนทุกชั้นวรรณะ
รูปภาพเหล่านี้ ได้แพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบปีแล้ว
โดยปัจจุบันยังคงหาได้ในย่านชุมชนชาวอินเดีย เป็นต้นว่าในตรอกแขก
หรือซอยวัดซิกข์ ข้างห้างสรรพสินค้าอินเดีย
เอ็มโพเรียม
แต่เทวรูปที่ทำเฉพาะเทพสามองค์นี้ไว้ด้วยกัน โดยเป็นภาพแกะสลักนูนสูงบนแผ่นหิน, ไม้ หรือภาพนูนสูงทำด้วยปูนหรือเรซินหล่อจากแม่พิมพ์ และรูปลอยองค์ที่ตั้งบนฐานเดียวกัน
ที่ผ่านมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเป็นของที่หาไม่ง่ายนักหรอกครับ
เพราะสำหรับช่างฝีมือในอินเดีย
การทำรูปเทพทั้งสามประทับอยู่ร่วมกัน ตามแบบอย่างในจิตรกรรมนั้น จะทำให้สวยงาม
ได้สัดส่วน และเก็บรายละเอียดได้ครบ เป็นเรื่องยากมาก
แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรอกครับ
เพราะผู้ศรัทธาเฉพาะองค์เทพทั้งสามนี้ มักจัดหาเทวรูปของแต่ละองค์มาประดิษฐานด้วยกันในที่บูชา
โดยไม่จำเพาะเจาะจงว่า เทวรูปแต่ละองค์นั้นจะต้องมาจากแหล่งเดียวกัน
หรือเป็นฝีมือช่างคนเดียวกันอยู่แล้ว
และสำหรับผู้ประสงค์จะบูชาพระคเณศ พระลักษมี
และพระสรัสวดีรวมกัน ควรจัดหาเทวรูปแต่ละพระองค์ที่มีเทวลักษณะงาม และอิงแบบโบราณ
โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นฝีมือช่างคนเดียวกัน ดังกล่าวแล้วน่ะแหละครับ
เพราะช่างคนหนึ่ง
อาจมีความชำนาญเฉพาะองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
แต่ถ้าเลือกได้ ก็ควรจะทำด้วยวัสดุชนิดเดียวกัน
หรือใกล้เคียงกัน
และข้อสำคัญคือ
เทวรูปเหล่านั้นควรจะผ่านการเทวาภิเษกเสียก่อน
การจัดวางในที่สำหรับบูชา
ควรประดิษฐานพระคเณศไว้ตรงกลาง จะดีที่สุดครับ
จากนั้นจัดให้พระลักษมีอยู่ทางซ้ายมือของเรา และพระสรัสวดีอยู่ทางขวามือของเรา
หรือถ้าจะถ้าจัดตามแบบภาพวาดทั่วไป
คือพระลักษมีอยู่กลาง พระสรัสวดีอยู่ทางซ้าย และพระคเณศอยู่ทางขวานั้น
เทวรูปพระลักษมีก็ควรจะมีขนาดใหญ่ที่สุด
และที่จริง การจัดเช่นนั้นก็ไม่ถูกด้วยนะครับ
เพราะพระคเณศควรอยู่ทางซ้ายมือของเรา และพระสรัสวดีควรอยู่ทางขวามือของเราเสมอ
ภาพนี้สิครับ จัดถูกต้อง ไม่เหมือนแบบทั่วไป
ถ้าจะให้พระลักษมีเป็นประธานนะครับ
ถ้าในบ้านของผู้บูชา มีพระพุทธรูปอยู่แล้ว ก็ควรแยกจากแท่นบูชาหรือโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป
มาจัดเป็นแท่นบูชาต่างหาก และไม่ควรให้ปะปนกับเทพเจ้าของศาสนาอื่น เช่น
พระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม พระฤาษีต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ก็ไม่ควรอยู่กับเทพชั้นต่ำหรือปิศาจ
เช่นพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ กุมารทอง นางกวัก ควายธนู ฯลฯ
โดยรายละเอียดในการบูชานั้น
ผมได้เขียนไว้หมดทุกอย่างแล้วในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ
ใครยังไม่มีก็รีบเอาภาพปกกับชื่อหนังสือ
ไปติดต่อสั่งซื้อที่เคาน์เตอร์ของร้นซีเอ็ดสาขาใกล้บ้านท่านนะครับ ก่อนจะหมด
ผมขอเน้นว่า การบูชาองค์พระคเณศ พระลักษมี
และพระสรัสวดี หรือเทพองค์ใดก็ตาม ควรจะทำอย่างเคร่งครัด และทำด้วยความสุข
มีคนเป็นจำนวนมากนะครับ ที่พอใจจะบูชา
โดยมิได้คาดหวังสิ่งใดเป็นพิเศษ
แต่พวกเขาก็ได้รับความสำเร็จราบรื่นในทุกสิ่งที่ต้องกระทำ ได้รับความผาสุกในชีวิต
และได้รับปรีชาญาณที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ผู้บูชาเทพทั้งสามองค์นี้ โดยคาดหวังหมกมุ่นแต่ในเรื่องกิเลสตัณหา เช่นอบายมุขต่างๆ, การบังคับใจผู้อื่นให้หลงรักตน, การอยากได้อยากมีในสิ่งที่ต้องได้มาด้วยการเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น, การหวังลาภลอยโดยไม่ลงมือทำอะไร
ในทางตรงกันข้าม ผู้บูชาเทพทั้งสามองค์นี้ โดยคาดหวังหมกมุ่นแต่ในเรื่องกิเลสตัณหา เช่นอบายมุขต่างๆ, การบังคับใจผู้อื่นให้หลงรักตน, การอยากได้อยากมีในสิ่งที่ต้องได้มาด้วยการเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น, การหวังลาภลอยโดยไม่ลงมือทำอะไร
ตลอดจนแม้แต่การหวังพึ่งเทวานุภาพ
ในการตอบโต้แก้แค้นศัตรูที่ตนไม่ชอบหน้า
คนเหล่านี้ไม่เคยได้รับความสมหวังเลยครับ
แม้บางคนอาจจะมีโชคดีในทางอบายมุข
หรือได้รับความสำเร็จในเรื่องที่ยกตัวอย่างมาแล้วบ้าง แต่ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่า
นั่นเป็นผลจากบุญเก่าที่เขาได้สั่งสมมาก่อน หาได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเทวานุภาพไม่
ขณะเดียวกัน ผู้ซึ่งได้รับสิ่งดีๆ ในการปฏิบัติบูชา
ด้วยความเคร่งครัดและความสุขใจที่จะกระทำดังกล่าวแล้ว สิ่งดีๆ
เหล่านั้นก็จะยังคงได้รับอย่างจำกัดครับ หากผู้นั้นยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม
หรือยังไม่พยายาม ที่จะลดละเลิกอุปนิสัยอันไม่ดีงามต่างๆ
ถ้าผู้นั้นพยายามขจัดนิสัย
และความเคยชินที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะโดยการบังคับใจตนเอง
หรือขอความช่วยเหลือจากองค์เทพทั้งสาม
เทวานุภาพของพระองค์ก็จะช่วยให้เขาขจัดสิ่งไม่ดีในจิตวิญญาณออกไปได้ง่ายขึ้น
ในขณะเดียวกัน
ด้วยเหตุที่เขามีความตั้งใจที่ดีเช่นนั้น สิ่งดีๆ
ในชีวิตของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีกครับ
ดังนั้น การยกระดับจิตวิญญาณของผู้บูชาองค์เทพ
จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องดังกล่าวแล้ว
ข้อเตือนใจในการบูชาพระคเณศ พระลักษมี และพระสรัสวดี ตลอดจนเทพเจ้าไม่ว่าองค์ใดก็ตาม
ยังมีอีก และสำคัญมากด้วยครับ
กล่าวคือ พึงระวังความคิดที่ว่า
การปฏิบัติบูชาพระองค์นั้นเป็นเงื่อนไข หรือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
เพื่อติดสินบนให้พระองค์ช่วยเหลือ บันดาลให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ
เพราะนั่นจะหมายความว่า
ในจิตสำนึกของเรามองเพียงว่า
องค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นแค่ผู้ช่วยเหลือ
หรือคอยรับใช้บริการในสิ่งที่เราคาดหวังเท่านั้นนะครับ
ความคิดอย่างนี้ จิตสำนึกอย่างนี้
ถือเป็นข้อห้ามอย่างที่สุด และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดกับผู้บูชาเทพเจ้า
ไม่่ว่าผู้ใดทั้งสิ้น
เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่การศรัทธาหรือนับถือพระองค์
แต่กลับเปรียบเสมือนการลบหลู่ดูหมิ่น หรือล่วงละเมิดต่อทิพยฐานะ
และเทวานุภาพของพระองค์อย่างร้ายแรง เทียบเท่าพวกมิจฉาทิฏฐิ
ที่ไม่เคารพหรือกระทำการจ้วงจาบต่อพระองค์
ผู้คิดอย่างนี้ จะไม่สามารถได้รับความสุขความเจริญในชีวิต
ไม่ว่าจะมีการบูชาอย่างเคร่งครัดเพียงใด สรรหาของดีของแพงแค่ไหนถวาย
ชีวิตก็ยังตกต่ำลง
เพราะแทนที่จะศรัทธา
กลับดูหมิ่นองค์เทพโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังกล่าวแล้ว
พึงระลึกเสมอว่า องค์เทพชั้นสูง
ย่อมประทานในสิ่งที่ดีและสูงส่ง
และสิ่งนั้นย่อมเหมาะสมกับผู้บูชาที่มีจิตสำนึกสูงส่งเพียงพอเท่านั้นและครับ
ดังนั้น เราจึงควรประมาณตนให้รอบคอบเสียก่อนว่า
เราควรได้หรือไม่ควรได้อะไรจากการบูชส
และเราจะต้องเพิ่มเติม หรือละเลิกสิ่งใดบ้าง
เพื่อให้เราเป็นผู้เหมาะสม ที่เทพเจ้าจะทรงยอมรับอย่างแท้จริง
……………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด