วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระสรัสวดี พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี : เทวีแห่งพลังวิเศษ

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์





ในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์ ผมอธิบายไว้ว่า พระสรัสวดี (सरस्वती) ทรงเป็นเทวีแห่งภูมิธรรม ความรู้แจ้ง พิธีกรรม การบำเพ็ญภาวนา การสวดมนต์ การใช้เวทมนต์

พระนางยังทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ผู้รักษากฎสวรรค์ ผู้ประทานความบริสุทธิ์และขจัดมลทิน และเป็นเทวีซึ่งเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง

หลายๆ ท่านอ่านแล้ว แสดงความแปลกใจว่า ในทรรศนะทางฮินดูปัจจุบัน นับถือท่านเป็นเทวีแห่งคำพูด การศึกษา และศิลปะการแสดงทุกสาขาเท่านั้น

ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่ผมเขียนไว้เลยครับ

ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องด้วยบทบาทในทางศาสนาของท่าน ถูกเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา

เดิมท่านเป็นเทวีพื้นเมืองของอินเดียครับ น่าจะนับถือกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยชาวอารยันจากตะวันออกกลางจะอพยพเข้าอินเดียด้วยซ้ำไป

โดยมีร่องรอยว่า ท่านมีความสัมพันธ์กับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นที่บำเพ็ญภาวนาของเหล่าฤาษีโยคีต่างๆ ก่อนจะหายไปในทะเลทรายพรหมวรรต

เมื่อชาวอารยันเสถาปนาศาสนาพระเวท (Vedas) ขึ้น ท่านก็ทรงเป็นที่เคารพนับถือร่วมไปกับคณะเทพ ที่ชาวอารยันนำเข้าไปจากตะวันออกกลาง

ลัทธิบูชาท่านรุ่งเรืองอยู่ในสำนักพราหมณ์และฤาษี ที่นับถือกันว่า เป็นคลังความรู้ด้านเทวศาสตร์ และพิธีกรรม รวมทั้งศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ ทำให้ท่านทรงได้รับการยกย่องให้เป็นมารดาของพระเวท (เวทนมฺ  มาตารํ  ปสฺยา - Vedanam Mataram Pasya) ครับ





คตินี้ ยังคงสืบเนื่องมาถึงยุตฮินดู ดังปรากฏใน ภีศมะบรรพ ของ มหาภารตะ (Maha Bharata) ซึ่งกล่าวถึงพระกฤษณะว่า เป็นผู้สร้างพระสรัสวดีและพระเวทขึ้นจากใจของพระองค์  และกล่าวย้ำว่า พระสรัสวดีนั้นคือมารดาแห่งพระเวททั้งปวง

และก็เพราะเหตุเดียวกันนี้ละครับ เมื่อศาสนาฮินดูเกิดขึ้นในเวลาต่อมา พระสรัสวดีจึงถูกยกให้เป็นชายาของพระพรหม

ในฐานะนี้ พระนางก็ทรงมีบทบาทสำคัญในด้านอักษรศาสตร์ และพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งเป็นเทวีแห่งการพูด และการเจรจา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคแรกๆ ของการปรับเปลี่ยนศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดูด้วย

แต่เมื่อถึงยุคที่ ๒ นิกายใหญ่ของฮินดู คือ ไวษณพนิกาย และไศวะนิกาย ประชันขันแข่งกัน ทำให้พระพรหมเสื่อมความนิยมลงเป็นอันมาก

ซึ่งปัจจัยหนึ่ง อาจจะเกิดจากพราหมณ์ตระกูลใหญ่ๆ หรือฤาษีในสายนี้ เปลี่ยนไปนับถือพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ (จนกระทั่งทำให้เกิดการอธิบายคำว่า พรหมใหม่ๆ ขึ้นมาในพุทธศาสนา)

ส่วนลัทธิบูชาพระสรัสวดียังแข็งแกร่งอยู่ และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก จนไม่อาจประสานเข้ากับนิกายใหญ่ทั้งสองนั้นได้สนิท

พราหมณ์และนักปราชญ์ในทั้งสองนิกายนั้น จึงได้ปรับลดบทบาทของท่านลงครับ

ดังเช่นฝ่ายไวษณพ ที่ผูกนิยายขึ้นมาว่า เดิมท่านเป็นชายาหนึ่งใน ๓ องค์ของพระวิษณุ แต่ท่านไม่อ่อนน้อม ไม่อยู่ในโอวาทของพระสวามี และขี้หึง จนทะเลาะกับพระลักษมี และพระคงคา ทำให้พระวิษณุต้องยกท่านให้พระพรหม และยกพระคงคาให้พระศิวะไงครับ

นับว่า เป็นการข่มพระพรหมและพระศิวะไปด้วยในตัว

แน่มั้ยล่ะครับ ฝีมือนักแต่งนิยายแขก?

แต่พระสรัสวดี ท่านก็ยังคงเป็นที่นับถือของบรรดานักบวชอยู่เป็นอันมากครับ

เมื่อปัญญาชนอินเดียยุคหลังๆ เชิดชูการศึกษาและศิลปวิทยาการเป็นสิ่งสำคัญ ท่านจึงได้รับการนับถือเป็นคุรุเทวี ผู้อุปถัมภ์ด้านการศึกษาทุกแขนงในอินเดียปัจจุบันนี้

ส่วนทิพยฐานะเดิมของท่าน ในฐานะที่เป็นมารดาแห่งพระเวทนั้น ในความเป็นจริงก็ไม่เคยลดลงไปตามการบิดเบือนของพราหมณ์เลยครับ

ผมจึงเขียนไว้ในหนังสือ คู่มือบูชาเทพ ฉบับสมบูรณ์ ตามที่เป็นจริง ว่า ผู้ใดก็ตามที่บูชาพระสรัสวดี ท่านจะประทานพลังอำนาจให้การใช้เวทมนต์ทุกชนิดเป็นผล ประทานความเข้มขลังแก่พิธีกรรมทุกอย่าง รวมทั้งประทานความสามารถในการเข้าถึงเทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่ค่อยมีการพูดถึงกันแล้ว ในศาสนาฮินดูยุคปัจจุบันก็ตาม

ซึ่งเหตุปัจจัยหนึ่ง ก็อาจเป็นเพราะ ลัทธิการบูชา พระคายะตรี (गायत्री) อันเป็นผลพวงหนึ่ง แห่งความเสื่อมถอยของลัทธิการบูชาพระสรัสวดี อันเกิดจากการปรักปรำของพราหมณ์นั่นเอง

ย้อนไปก่อนที่จะบังเกิดพระแม่องค์นี้ มีมนต์บทหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป ในหมู่ฤาษีและโยคีของอินเดียนับแต่โบราณกาล

มนต์บทนี้คือ คายะตรีมนตรา (Gayatri Mantra) ซึ่งว่ากันว่า น่าจะเก่าก่อนพุทธกาลครับ




และแต่เดิมก็เป็นบทสวดบูชาพระอาทิตย์ ดังคำแปลของมนตร์บทนี้คือ
 
ขอศานติจงมีแด่ปุถุชน และผู้เป็นอมตะ (คือเทวดา) ตลอดจนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย 
ข้าพเจ้าขอตั้งสมาธิจิต ระลึกถึงประภามณฑลอันกระจ่างแจ้งแห่งองค์พระสุริยเทพ
ขอพระองค์ได้โปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพเจ้า
 
คติการบูชาพระอาทิตย์นั้น เป็นคติเก่าแก่ของชนแทบทุกชาติทุกภาษาในโลกครับ รวมทั้งอินเดียด้วย

และก็เชื่อกันว่า คงมีอยู่แล้วในอินเดียตั้งแต่ก่อนพวกอารยันจะเข้าไป

แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากล่าวว่า คายะตรีมนตรานี้ ถึงอย่างไรก็น่าจะเกิดขึ้นในสมัยอารยันเข้าครอบครองถึงภาคกลางของชมพูทวีปแล้วละครับ

และนักเทววิทยาอินเดียโดยทั่วไปก็เชื่อว่า พระสุริยเทพที่กล่าวถึงในมนตร์บทนี้ คือพระสุริยเทพของชาวอารยัน หรือ พระสาวิตรี (Savitri)

ไม่ใช่พระสุริยเทพของชนพื้นเมืองอินเดีย ซึ่งในภาคใต้นั้น ต่อมาจะกลายเป็นพระสกันท์ หรือพระขันธกุมาร
 
ต่อมา มนตร์บทนี้ได้รับความนิยมมากในสมัยฮินดู ที่คติการนับถือพระพรหมกับพระสรัสวดีนั้นเสื่อมลง โดยเฉพาะตั้งแต่ราวๆ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ที่มีการเผยแพร่มนตร์บทนี้แก่คนนอกวรรณะพราหมณ์เป็นครั้งแรก

และกล่าวกันว่า ในยุคหลังๆ ก็มีผู้ภาวนามนตร์บทนี้แล้วเกิดนิมิต เห็นเป็นองค์เทพนารีขึ้นมา จนทำให้เกิดคติการบูชามนตร์บทนี้ ในรูปของพระเทวีอย่างแพร่หลาย

ด้วยเหตุนี้ละครับ จึงเกิดมีนิยายในคัมภีร์ สกันทปุราณะ (Skanda Purana) กล่าวถึงกำเนิดพระคายะตรีว่า เป็นหญิงเลี้ยงโค ที่พระอินทร์นำไปเป็นชายาของพระพรหม เพราะพระพรหมถูกพราหมณ์ยุยง ให้หาพระชายามาแทนพระสรัสวดี

แล้วก็เลยเป็นเหตุให้พระพรหม พระวิษณุ และพราหมณ์ ถูกพระสรัสวดีสาปกันไปถ้วนหน้า ในขณะที่พระคายะตรีรอดพ้นไป

และพระสรัสวดียังทรงเมตตาพระคายะตรีเป็นอันมากด้วย ดังที่ผมเล่าแล้วในหนังสือ ตรีเทวปกรณ์ : พระคเณศ พระลักษมี พระสรัสวดี





เบื้องหลังเทพนิยายนี้ มันเป็นอย่างนี้ครับ

พระพรหมนั้นมาจากสำนักพราหมณ์สายพระเวทเก่า มานิยมนับถือกันในยุคที่ศาสนาพระเวทเริ่มเสื่อมแล้ว

พูดง่ายๆ ว่า เป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจที่สุด ซึ่งสายพราหมณ์เก่าและสายฤาษีเชิดชูขึ้นมา ในยุคเสื่อมของศาสนาพระเวท ก็น่าจะได้

ส่วนพระสรัสวดี มาจากลัทธิที่แข็งแกร่งไม่น้อยกว่าสำนักที่บูชาพระพรหมดังกล่าวแล้ว สองลัทธินี้ ก็เลยประชันขันแข่งกันกลายๆ ตลอดมา

พอถึงยุคฮินดู ซึ่งแม้พระพรหมจะถูกจับคู่กับพระสรัสวดี แต่ก่อนหน้านั้น เขาเล่นชั้นชิงเชิงกันมาตลอดนี่ครับ พอมาจับคู่กัน สาวกทั้งสองฝ่ายเลยไม่ปรองดองกันเท่าที่ควร

จึงทำให้เกิด ภาพของพระพรหมกับพระสรัสวดี ในลักษณะที่ต่างคนต่างอยู่ หรือพอมาอยู่ด้วยกันก็จะดูนิ่งๆ เฉยเมย ไม่หวานชื่นกันแบบพระศิวะ-พระอุมา หรือพระวิษณุ-พระลักษมี

ยิ่งภายหลัง พระพรหมตกจากความนิยมลงเรื่อยๆ ขณะที่พระสรัสวดียังคงมีคนนับถือมากอยู่ ในขณะที่ลัทธิการบูชาพระคายะตรีก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดนิยายที่เกี่ยวกับพระคายะตรี ในสกันทปุราณะไงครับ

ซึ่งผลที่ตามมาของนิยายเรื่องนี้ ก็คือ

๑) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเห็นผิดไปว่า พระพรหมที่เคยเป็นบิดาของพระเวท เป็นเทพที่หูเบา และขาดวิจารณญาณอย่างมาก

ซึ่งก็จะสอดคล้องกับเทพนิยายของพระพรหม ที่เล่ากันในนิกายไวษณพและไศวะครับ

๒) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเห็นผิดไปว่า พระสรัสวดีเป็นเทพนารีที่มีปัญหา เข้ากับใครไม่ได้ จะไปงานพิธีสำคัญก็ล่าช้า ไม่อยู่เคียงข้างพระสวามีในเวลาอันควร

ซึ่งในไวษณพนิกาย ก็จะสร้างภาพขึ้นมาคล้ายๆ กัน ดังที่ผมเล่าแล้วก่อนหน้านี้ครับ

๓) ทำให้พราหมณ์ทั่วไป และสาธารณชนเกิดความเชื่อใหม่ว่า พระคายะตรีมีความเหมาะสมกับยัญญพิธีต่างๆ มากกว่าพระสรัสวดีซึ่งมีบทบาทมาแต่เดิม

เป็นการพยายามยกเอาเทวีรุ่นใหม่ ซึ่งเกิดจากมนตร์ที่ได้รับความนิยมสูง มาแทนที่เทวีรุ่นโบราณ ที่พราหมณาจารย์ฮินดูมองว่า ควบคุมได้ยาก นั่นเอง

๔) แล้วก็ยังสามารถอธิบายเชื่อมโยงไปถึงลัทธิบูชาพระกฤษณะ และความตกต่ำของพราหมณ์หลายๆ ตระกูลในยุคเสื่อม ที่กำลังขายความงมงาย แลกกับอามิสสินจ้างอย่างน่าเกลียดเพิ่มขึ้นทุกวัน

จนพราหมณ์หัวก้าวหน้า และฤาษีที่เคร่งจริงๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไป

แต่การที่พระคายะตรี เป็นเทพนารีที่เกิดมาจากมนตร์ที่ได้รับความนิยมมาก โดยที่ในการถือกำเนิดขึ้นมา ท่านก็ไม่มีลักษณะเด่นหรือสัญลักษณ์อะไร พอที่จะทำให้เป็นที่จดจำกันได้

ก็เลยมีการอัญเชิญพระแม่ทั้ง ๕ พระองค์ หรือ ปัญจมาตฤกา (Pancha Matrikas) คือ พระอุมา พระลักษมี พระสรัสวดี พระปฤถิวี และพระคงคา) มารวมกัน แล้วบัญญัติว่า พระคายะตรีก็คือภาครวมของพระแม่ทั้ง ๕ นั้น
 
ดังนั้น ในทรรศนะของนักเทววิทยาอินเดียหลายท่านจึงถือว่า พระคายะตรีไม่ใช่เทพที่มีตัวตนจริงเหมือนกับพระลักษมี พระสรัสวดี พระอุมาฯลฯ

ท่านเป็นเพียงบุคลาธิษฐาน (Personification) เท่านั้นครับ

นักปราชญ์บางท่านยังเสริมด้วยว่า การที่นับถือกันว่าพระคายะตรีเป็นภาครวมของปัญจมตฤกา หรือ พระแม่ทั้ง ๕ ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่มีตัวตนจริงมาตั้งแต่แรก
 



แต่สำหรับตัวผมเอง ยังมองถึงความเป็นไปได้นะครับ

ความเป็นไปได้ที่ว่า ท่านอาจจะเป็นนิมิตที่เกิดจากการบริกรรมคาถา ในลักษณะเดียวกับที่พระเถราจารย์ในพุทธศาสนาของเรา คือ สมเด็จพระวันรัตน (แดง) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ บริกรรมคาถาบทหนึ่งที่ขึ้นต้นว่า มุนินทะ วะทะนัมพุชะฯ จนเกิดนิมิตเป็น พระสุนทรีวาณี

ซึ่งจากประสบการณ์ของคนจำนวนมาก ที่บูชาพระสุนทรีวาณี ก็เห็นตรงกันว่า ท่านมีอยู่จริง และศักดิ์สิทธิ์ด้วยน่ะสิครับ 

ดังนั้น พระคายะตรีก็มีความเป็นไปได้นะครับ ที่ว่าจะมีตัวตนจริง ไม่ใช่แค่บุคลาธิษฐานเพียงอย่างเดียว

โดยถ้าใครมาถามผมว่า ท่านปรากฏในนิมิตที่เกิดจากมนต์บูชาพระอาทิตย์ แล้วทำไมถึงเป็นเทพนารี?

ผมก็คงต้องถามแบบเดียวกันว่า ทำไมสมเด็จพระวันรัตนบริกรรมคาถาในศาสนาพุทธ แล้วบังเกิดนิมิตเป็นเทพนารีเหมือนกันล่ะครับ?

ลัทธิบูชาพระคายะตรี จึงเป็นลัทธิที่ผู้บูชาจำนวนมากยืนยันว่า สัมผัสได้จริง มีผลจริง เหมือนกับลัทธิบูชาพระสรัสวดี และเทพนารีองค์อื่นๆ

มิใช่อะไรที่เลื่อนลอยไร้แก่นสาร เหมือนบูชาอากาศธาตุ

ทั้งยังมีผู้บูชาแล้วได้รับพลังพิเศษ เกิดญาณลี้ลับ สื่อสารเชื่อมโยงกับองค์เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้จริง คล้ายกับการบูชาพระสรัสวดีด้วยสิครับ

แต่ทุกวันนี้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างในเรื่องดังกล่าวกำลังลดลง

นั่นก็เพราะ ไม่ว่าจะเป็นพระสรัสวดี หรือพระคายะตรี ล้วนแต่ได้รับการบูชาแบบ ฮินดูปัจจุบันเหมือนกันหมด

จนทำให้ฤทธานุภาพของท่าน ไม่เป็นที่ประจักษ์ และยิ่งนานวัน ยิ่งไม่ค่อยได้รับการนำมาเล่าขานในทางสาธารณะ

คนฮินดูปัจจุบัน เขาไม่รับรู้กันหรอกครับ ว่าเหตุที่พระแม่ทั้งสอง รวมทั้งองค์เทพเทวีต่างๆ ที่ตนบูชามาแต่เดิม ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อย่างในอดีต ก็เพราะวิธีบูชาที่ผิดๆ ของตนนั่นแหละ

จึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการแสวงหาเทพเทวีผู้ทรงฤทธิ์องค์ใหม่ๆ มาบูชาแทน

และส่วนมาก จึงมุ่งไปยังคณะเทพ-เทวีฝ่ายใต้ หรือเทพของชาวทมิฬ ซึ่งยังคงรักษาเทวศาสตร์ดั้งเดิมไว้ได้มาก ทำให้องค์เทพ-เทวีต่างๆ ยังคงศักดิ์สิทธิ์ ทรงอานุภาพปรากฏให้เห็นเด่นชัด

ซึ่งในส่วนของฮินดูรุ่นใหม่ ซึ่งต้องการเทพองค์ใหม่ ที่ประทานพลังจิต พลังอำนาจลี้ลับ ดังที่ฮินดูรุ่นก่อนเคยได้จากพระสรัสวดี และพระคายะตรี

คำตอบของคนกลุ่มนี้ก็คือ พระตรีปุระสุนทรี (त्रिपुरा सुंदरी) ครับ




พระแม่เจ้าองค์นี้ ทรงมีพระนามอื่นๆ ซึ่งนิยมเรียกในต่างท้องที่กัน เช่น พระแม่ลลิตา (Lalita) พระราชาราเชศวรี (Rajarajeshwari)

ทรงเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว ในคณะเทวีที่เรียกรวมๆ กันว่า มหาวิทยา (Mahavidyas) หรือ ทศมหาวิทยา (Dasha-Mahavidyas)

ท่านทรงเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรม ของนิกายศักติสายตันตระ ซึ่งมียันต์ และมณฑลที่เรียกกันว่า ศรีจักรา (Shri Chakra) เป็นอุปกรณ์หลัก สิ่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่จะต้องปรากฏพร้อมกับเทวรูปของท่านเสมอครับ

ผู้บูชาพระตรีปุระสุนทรี เชื่อว่า ท่านทรงมอบพลังจิตและตบะเดชะแก่ผู้บูชา ประทานกำลังความสามารถในการบำเพ็ญเพียร การฝึกจิต และการชำระจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ

ประทานความสามารถในการใช้เวทมนต์ทุกชนิด ประทานอานุภาพแก่พิธีกรรม รวมทั้งความสามารถในการเข้าถึงเทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

ทั้งยังทรงคุ้มครองผู้บูชาจากคุณไสยมนต์ดำ และอำนาจลี้ลับทั้งปวง และทรงดลบันดาลให้ผู้บูชาได้รับความนับถือศรัทธา จากผู้คนทั่วไปอีกด้วย

ก็คือ สิ่งเดียวกันที่จะได้รับจากการบูชาพระสรัสวดี และพระคายะตรี ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นฮินดูปัจจุบัน นั่นแหละครับ

ความนิยมในองค์พระตรีปุระสุนทรี จะเห็นได้จากภาพ ตรีเทวี (Tridevi) ซึ่งสมัยก่อนจะประกอบด้วย พระทุรคา พระลักษมี และพระสรัสวดี ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ เริ่มเปลี่ยนจากพระทุรคา เป็นพระตรีปุระสุนทรีแล้วครับ

ซึ่งในด้านศิลปะ ก็ทำให้ได้องค์ประกอบภาพที่ลงตัวมากกว่า




โดยเฉพาะ รูปที่ประทับนั่งบนอาสนะเหมือนกันทั้ง ๓ องค์ ไม่เหมือนของเดิมที่พระทุรคานั่งเสือหรือสิงโต แตกต่างจากพระแม่อีกสององค์ ซึ่งมักประทับบนอาสนะอยู่ในภาพเดียวกัน

องค์ประกอบที่ลงตัวอย่างนี้ละครับ ทำให้เมื่อผ่านพิธีเทวาภิเษกแล้ว จะเป็นภาพบูชาที่มีอานุภาพสมบูรณ์ โดยเฉพาะในด้านของการปกป้องคุ้มครอง มากกว่าภาพตรีเทวีแบบเดิม

เพราะไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ทางศิลปกรรม ที่เอื้ออำนวยต่อการเทวาภิเษกมากกว่าเท่านั้นหรอกครับ

ในส่วนขององค์เทพเอง พระตรีปุระสุนทรีเป็นเทวีแห่งมหายันต์ศรีจักรา พระลักษมีเป็นเทวีแห่งสิริมงคล และพระสรัสวดีเป็นมารดาแห่งพระเวท รวมถึงเทวศาสตร์ทั้งปวง

พลังแห่งการปกปักรักษาของพระแม่ทั้ง ๓ องค์นี้ เป็น กระแสเย็น ดุจเดียวกัน ย่อมประสานสอดคล้องกันได้สนิทแนบเนียนกว่าพระทุรคา ซึ่งโดดเด่นในการประหารทำลายล้างฝ่ายศัตรู ด้วยความรุนแรงเด็ดขาด เป็น กระแสร้อน

และไม่มีผลกระทบกับผู้บูชาที่เกิดปีวอก ซึ่งเดิมมักจะมีในการบูชาพระทุรคา เนื่องจากท่านมักทรงเสือเป็นพาหนะครับ




ส่วนถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ แล้วจะมีใครถามผมว่า ถ้าต้องการพลังลี้ลับ ญาณวิเศษ หรืออิทธิฤทธิ์ ควรบูชาพระองค์ใดในระหว่างพระสรัสวดี พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี หรือควรบูชาหมดทั้ง ๓ องค์?

ผมก็จะตอบว่า แล้วแต่ความพอใจ หรือสัมผัสส่วนบุคคลของแต่ละท่านนะครับ ว่าถูกจริตกับพระแม่องค์ใด

ตัวผมเอง ผมบูชาพระสรัสวดี เท่านั้นครับ

เพราะเทวศาสตร์ที่ผมได้สืบทอดมา เป็นสายพระสรัสวดี ซึ่งเน้นการบูชาองค์เทพ และการประกอบพิธีกรรมตามแบบแผนดั้งเดิม หรือไม่ก็ใกล้เคียงของเดิมที่สุด (Authentic)

นั่นหมายถึง การบูชาอันประณีต สุขุม สงบเย็น ไม่เพ้อเจ้อฟูมฟาย และได้ผลจริง สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ได้จริง

ศาสตร์แห่งพระสรัสวดีนั้น ลึกซึ้งมากครับ

ในการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงบูชาต่างๆ ขอเพียงมีเทวรูปพระสรัสวดีประดิษฐานอยู่ ก็แน่ใจได้ว่าสามารถอัญเชิญเทพ-เทวีอื่นๆ มาได้อย่างสมบูรณ์ หรือพูดแบบง่ายๆ ว่า เต็มองค์

แม้แต่องค์เทพ ที่ไม่มีเทวรูปบูชาอยู่ในสถานที่ที่ประกอบพิธีกรรมนั้นก็ตาม

ทั้งนี้ ด้วยการอ้างพระนามแห่งองค์พระสรัสวดี และสาธยายมนต์อย่างถูกต้องเท่านั้น

เพราะท่านทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ที่เก่าแก่โบราณที่สุด ทรงมีศักดิ์ และสิทธิ์ ที่จะเชิญองค์เทพต่างๆ ที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในสถานที่ใดๆ ไปเข้าพิธีในสถานที่นั้นก็ได้

โดยไม่มีเทพองค์ไหน ที่จะปฏิเสธการเชิญของท่านได้




บารมีในด้านนี้ของพระสรัสวดี ยังกว้างขวางจนสามารถอัญเชิญเทพต่างชาติ เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น ก็ยังได้นะครับ

เหตุผลก็คือ ท่านทรงได้รับการบูชาทั้งในศาสนาพราหมณ์, ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธมหายานจีน, ศาสนาพุทธวัชรยานทิเบต, ศาสนาพุทธเถรวาทมอญ-พม่า, ศาสนาพุทธเถรวาทไทย (พระสุนทรีวาณี), ศาสนาเชน และ ศาสนาชินโต นับแต่อดีตอันยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

พระคายะตรี พระตรีปุระสุนทรี ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ

แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ ทางอินเดีย ก็ไม่ให้ความสำคัญกับท่านมากไปกว่าเรื่องการศึกษาเล่าเรียนดังกล่าวแล้ว อันเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนมากไม่สนใจ

ความนิยมบูชาท่าน ในสังคมคนบูชาเทพของไทยเรา จึงมีน้อย ผมเองพยายามเผยแพร่เรื่องราวของท่านมาตลอด เป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าที่ควร

แต่ผมก็จะทำต่อไปละครับ เพราะตัวผมเองผมรู้ดีว่า บูชาท่านแล้วผมได้อะไร


...........................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด