วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พระแม่โพสพ เทพธิดาแห่งข้าว

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





พระแม่โพสพ ในทางเทววิทยาจัดว่าเป็นผีชั้นสูง เป็นสตรีงดงาม แต่งกายด้วยผ้าผ่อนแพรพรรณสมัยโบราณ ห่มสไบเฉียง นุ่งผ้าจีบชายกรอมลงมาถึงปลายหน้าแข้ง ทรงเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ตระการตา ไว้ผมยาวสลวยประบ่า มีกระจังกรอบหน้า และกรรเจียกจอนชดช้อย

ประติมานวิทยาของพระแม่โพสพ คือประทับนั่งพับเพียบเรียบร้อยอย่างกุลสตรีไทยโบราณ มือข้างหนึ่งถือรวงข้าว ส่วนอีกข้างถือถุงโภคทรัพย์เต็มถุง โดยปกติประทับนั่งบนแท่น หากเสด็จไปที่ใด ก็ทรงมีพาหนะเป็นปลากรายทองและปลาสำเภา

บางตำนานเล่าว่า แต่เดิมท่านเป็นเทพธิดาครับ เมื่อหมดบุญในสวรรค์แล้วจึงลงมาเกิดเป็นข้าวด้วยสงสารที่มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างอดอยาก โดยได้รับความช่วยเหลือจากพระฤาษีในป่าหิมพานต์ให้ได้เป็นข้าวกระจายไปในที่ต่างๆ

แต่จากบทความเรื่อง " พระแม่โพสพ เทวีแห่งข้าว" โดย สุกัญญา ภัทราชัย ในหนังสือ ข้าวกับวิถีชีวิตไทย กล่าวว่า เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระแม่โพสพมีเล่ากันทุกภาค มีความแตกต่างกันเป็น ๒ แนวครับ

คือ นิทานภาคกลางและภาคใต้ มีเรื่องตรงกันแนวหนึ่ง อีกแนวหนึ่งเป็นนิทานของภาคเหนือและภาคอีสาน

โดยในตำนานพระแม่โพสพของภาคกลางและภาคใต้นั้น เล่าว่า ในวันหนึ่งที่เมืองไพสาลี กลางสโมสรสันนิบาต มนุษย์ได้ปรึกษากันว่า ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระแม่โพสพ ใครมีคุณมากกว่ากัน ซึ่งที่ประชุมต่างพากันกล่าวว่า คุณพระพุทธเจ้าใหญ่กว่า

พระแม่โพสพได้ฟังดังนั้น ก็ข้องใจว่าเรารักษามนุษย์อยู่ มนุษย์ไม่เห็นความดี จึงทรงปลากรายหนีไปยังป่าหิมพานต์เขาคิชกูฎ




เมื่อพระแม่โพสพจากไปก็เกิดความอดอยากขึ้นในโลกมนุษย์ ทำไร่ไถนาไม่มีข้าวมีแต่แกลบ มนุษย์จึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
         
พระพุทธเจ้าให้พระมาตุลีไปเชิญพระนางกลับมา พระมาตุลีตามไปจนถึงเขาทบกันก็ไปไม่ได้ จึงใช้ให้ปลาสลาดไปตามต่อจนพบ

ปลาสลาดได้อ้อนวอนขอให้พระนางกลับคืนโลก พระนางก็ตอบว่า อยู่ที่นี่เราสบาย ถ้าจะไปใจเราหายเพราะเขาไม่รู้บุญคุณ เราจะให้แต่เมล็ดข้าวไปรักษาแก่ฝูงคน เมื่อเก็บนึกถึงเรา เราจะไปปีละหน เก็บเกี่ยวแล้วให้ทำขวัญ

จากนั้น พระนางได้มอบเมล็ดข้าว ๗ เมล็ด (บ้างก็ว่า ๙ เมล็ด) ไปทำพันธุ์ 

พระนางยังสั่งด้วยว่า เมื่อมนุษย์ทำไร่ไถนา เมื่อข้าวใกล้สุกก็จัดให้มีพิธีทำขวัญ ให้แต่งด้วยข้าว และด้วยเหตุที่ปลาสลาดเป็นผุ้บอกทางที่นางซ่อนแก่พระมาตุลี พระนางจึงสั่งให้นำปลาสลาดมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยด้วย ปลาสลาดก็ลากลับมา เล่าให้พระมาตุลีฟังตามคำพระแม่โพสพ

พระมาตุลีรับเมล็ดข้าวแล้วก็เหาะกลับ ในระหว่างทางพระมาตุลีหยุดพักอาบน้ำ นกกระจาบได้แอบลักเมล็ดข้าวสองเมล็ดบินหนี ข้าวสองเมล็ดนั้นได้ตกลงมายังโลกมนุษย์กลายเป็นข้าวผี

จากนั้นพระมาตุลีนำเมล็ดพันธุ์ข้าวถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกมนุษย์มาพร้อมกัน ทรงอธิบายให้มนุษย์ฟัง และแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่มนุษย์ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อข้าวใกล้สุก มนุษย์จะทำขวัญเชิญพระแม่โพสพเป็นประจำทุกปี

ในขณะที่ตำนานเรื่องพระแม่โพสพ ฉบับชาวพัทลุง เล่าไว้ว่าเมื่อนานมาแล้ว มีเทพธิดาองค์หนึ่ง เป็นเทพธิดาแห่งข้าว อาศัยอยู่บนสวรรค์ มีความประสงค์จะให้มวลหมู่มนุษย์ทั้งหลายนี้มีข้าวกิน จึงจำแลงกายลงมาบนโลก ในร่างของหญิงชรานำพาห่อผ้ามาด้วย ซึ่งในห่อผ้านี้มีเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่

หญิงชราเดินไปในหมู่บ้าน มีแต่ผู้คนรังเกียจ จนไปพบกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีผัวเมียผู้ใจบุญ แต่ยากไร้ซึ่งเงินทอง อาศัยให้ที่พักพิง หญิงชราซึ้งในน้ำใจของผัวเมียคู่นี้ จึงมอบห่อผ้าที่มีเมล็ดข้าวอยู่ข้างในให้ โดยบอกให้เอาเมล็ดข้าวนี้ไปโปรยลงสู่พื้นดิน


พระแม่โพสพ แบบโบราณ

เมื่อเมล็ดข้าวได้รับน้ำ ก็เกิดความชุ่มชื่น เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกรวงแล้วก็สุก และนำมากินเป็นอาหารได้ หญิงชราจึงให้ผัวเมียเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน  แล้วบอกว่า นี่คืออาหารที่ใช้กินต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อพูดจบหญิงชราก็หายตัวไป

ต่อจากนั้น เมื่อถึงเดือนหกฝนก็เริ่มตก ชาวนาจะแรกไถนา และทำพิธีอัญเชิญพระแม่โพสพลงมาเพื่อช่วยดูแลรักษาต้นข้าว ต้องมีพิธีเรียกขวัญข้าว เพื่อตอบแทนคุณ และบูชาพระแม่โพสพ ที่ให้ข้าวแก่มนุษย์กินจวบจนปัจจุบัน

ส่วนตำนานพระแม่โพสพ ของภาคเหนือและภาคอีสาน เรื่องเริ่มที่อุทยานของพญานาคมีข้าวเกิดขึ้นเอง ต้นหนึ่งๆ มีขนาดเจ็ดกำมือ เมล็ดใหญ่เท่าผลมะพร้าว มีสีเงินยวงกลิ่นหอมหวาน

มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนยากไร้ ไม่มีมีดพร้าสำหรับผ่าเมล็ดข้าว จึงใช้ไม้คานทุบข้าว เมล็ดข้าวแตกกระจาย บางส่วนไปเกิดเป็น ข้าวไร่ หรือ ข้าวดอย บางส่วนตกในน้ำเกิดเป็นข้าวนา หรือพระแม่โพสพ

พระแม่โพสพน้อยใจที่หญิงม่ายทำรุนแรงจึงหนีไปอยู่เสียในถ้ำ ทำให้มนุษย์ไม่มีข้าวกินถึงพันปี วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีหลงทางเข้าไปในป่า พบปลากั้งซึ่งอยู่กับพระแม่โพสพ ปลากั้งพาไปไหว้พระนาง ลูกเศรษฐีได้อ้อนวอนให้พระนางคืนสู่เมืองมนุษย์ พระนางใจอ่อนจึงกลับมาโลกอีก ลูกเศรษฐีสำนึกในบุญคุณของพระนางจึงชักชวนมนุษย์ให้ยกย่องนับถือพระนาง

ต่อมาอีกพันปี มีชายโลภมากผู้หนึ่งสร้างยุ้งฉางเก็บข้าวไว้กินแต่ผู้เดียว พระแม่โพสพโกรธจึงหนีกลับไปอยู่ถ้ำในป่าอีก ทิ้งให้มนุษย์อดอยากเป็นเวลาหลายร้อยปี

เทวดาเล็งเห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ จึงอ้อนวอนให้พระแม่โพสพกลับคืนมา พร้อมกันนั้นก็สอนให้มนุษย์รู้จักนับถือข้าว รู้จักทำขวัญข้าว

นิทานของชาวลื้อในภาคเหนือบางสำนวนเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า นางขวัญข้าวถูกไล่จึงไปอยู่ถ้ำกับพวกครุฑนาค ต่อมาชาวเมืองอดข้าวจึงได้ทำพิธีเชิญพระแม่โพสพกลับเมือง

จากตำนานนิทานในท้องถิ่นต่างๆ ที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ความเชื่อเรื่องพระแม่โพสพเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย ก่อนหันมารับนับถือพุทธศาสนาครับ

นิทานของชาวลื้อ แสดงให้เห็นร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเมื่อหันมานับถือพุทธศาสนาและขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิม ในขณะที่นิทานของชาวภาคกลางและภาคใต้ แสดงให้เห็นชัยชนะของพุทธศาสนาเหนือลัทธิศาสนาดั้งเดิม คือคติการนับถือพระแม่โพสพ-เทวีแห่งข้าว ซึ่งชาวบ้านนับถือ

เรื่องที่พระแม่โพสพมักหนีไป จนต้องมีผู้ไปเชิญกลับมาด้วยวิธีการต่างๆ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของการทำนาปลูกข้าว ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยทางธรรมชาติมากมาย แม้จนปัจจุบันนี้ 

และก็ยังแสดงให้เห็นด้วยนะครับ ว่าในช่วงแรกๆ ที่สังคมเกษตรกรพื้นบ้านไทยรับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้น มีการขัดแย้งกัน หรือไม่ใช่เป็นการรับเข้ามาโดยราบรื่นนัก

จนในที่สุด ก็มีการประนีประนอมระหว่างความเชื่อทั้งสอง ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นสิริมงคล และความเจริญของชุมชน

ในนิทานแต่ละเรื่องที่นกตัวอย่างมา จะเห็นปลาชนิดต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ล้วนเป็นปลาที่หาได้ในท้องไร่ท้องนาทั้งนั้นครับ คนรุ่นใหม่หรือคนในเมืองคงไม่คุ้นเคยกันแล้ว และปัจจุบันก็เหลือแต่ปลากรายทองเท่านั้นที่ยังคงอยู่คู่กับรูปเคารพของพระแม่โพสพ


พระแม่โพสพ ขนาด ๓ นิ้ว หลวงปู่ทิม วัดพระขาว

คนรุ่นเก่านับถือพระแม่โพสพมากนะครับ บางบ้านถึงกับกราบไหว้ท่านก่อนเปิบข้าวคำแรกเข้าปาก และสั่งสอนลุกหลานให้นั่งล้อมวงเปิบข้าวพร้อม ๆ กัน และต้องสำรวมกิริยามารยาทระหว่างเปิบข้าวให้เรียบร้อย อย่าให้มีเม็ดข้าวหายหกตกหล่น กินข้าวอิ่มหนำสำราญแล้ว ยังต้องยกมือไหว้เพื่อสำแดงความกตัญญูรู้บุญคุณ

แม้ข้าวเหลือก้นจานสังกะสีก็ต้องกินให้หมดนะครับ ห้ามเททิ้งลงถังโสโครก ให้เอาใส่ปากหม้อข้าวทับบนข้าวที่หุงมื้อต่อไป หรือไม่ก็ต้องนำไปผึ่งแดด ทำเป็นข้าวตากแห้งเอาไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังทำกันอยู่ในหมู่บ้านชาวนาตามชนบททั่วไปครับ

เหล่าชาวนา เมื่อแรกทำนา จนกระทั่งถึงเวลาไถคราด ก็จะต้องประกอบพิธีเซ่นบูชาพระแม่โพสพเป็นระยะเช่นกัน

อย่างในช่วงก่อนหน้าเวลาฤกษ์แรกนา จะมีการปลูกศาลเพียงตา สูงระดับสายตาคนขึ้น ณ ที่ที่กำหนดไว้เป็นที่แรกนา ตระเตรียมเครื่องสังเวยบูชาพระแม่โพสพให้ครบถ้วน พร้อมทั้งกล่าวคำขวัญเป็นถ้อยคำไพเราะอ้อนวอนพระแม่โพสพให้คุ้มครองรักษาต้นข้าว ขอให้ปีนี้จงทำนาได้ผล ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ

ว่ากันว่า เพราะพระแม่โพสพเป็นหญิง ขวัญอ่อนง่าย ต้องทำพิธีเรียกขวัญเสมอไงครับ

แม้การมหรสพของชาวบ้าน ยามเมื่อร้องบทไหว้ครู ก็จะมีการร้องระลึกคุณพระแม่โพสพไว้ด้วย ดังบทไหว้ครูเพลงเรือบทหนึ่งมีความว่า

...จะยกบายศรีขึ้นสี่มุม ลูกจะไหว้พระภูมิ ที่มา ไหว้ทั้งแม่ข้าวเจ้า ทั้งพ่อข้าวเหนียว เสียเเหละเมื่อลูกนี้เกี่ยวกันมา ลูกจะไหว้โพสพ สิบนิ้วนอบนบ นิ้วหน้า ขอให้มาปกปักรักษาลูก ขออย่าให้มีทุกข์เลยหนา ขอให้มาเป็นมงคลสวมบนเกศา กันแต่เมื่อเวลานี้เอย..... 

พระแม่โพสพ แม้จะได้รับการนับถือเป็นอันมาก แต่ศาลของพระนางจริงๆ มีนับแห่งได้ ที่มีชื่อเสียงที่สุด เห็นจะเป็น ศาลพระแม่โพสพ วัดศิริวัฒนาราม แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ศาลแม่โพสพริมคลองบางพรม



         
โดยมีประวัติว่า เมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว ตาเหล็งกับยายแฟงชาวบางพรมจะทำขนมจีน เลยแช่ข้าวสารเตรียมไว้ พอรุ่งเช้าข้าวกลับงอกเป็นต้นข้าว ทั้งสองเห็นว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ เลยเอาต้นข้าวดังกล่าวไปผสมปั้นเป็นรูปแม่โพสพ กลายเป็นที่เคารพนับถือบูชาของชาวนาบางพรมและผู้คนในละแวกใกล้เคียง โดยศาลเก่านั้นจะตั้งอยู่ตรงทางสี่แพร่ง บริเวณที่คลองบางพรมมาตัดกับคลองลัดตาเหนียวและคลองลัดมะยม

ต่อมาในพ.ศ.๒๕๒๑-๒๒ คนต่างถิ่นมาขโมยเทวรูปใส่เรือไป จึงมีการรวบรวมศรัทธาสร้างพระแม่โพสพขึ้นใหม่ ปรากฏว่านอกจากจะได้เทวรูปองค์ใหม่แล้ว ยังมีเงินเหลือมากพอสมทบสร้างศาลพระแม่โพสพหลังใหม่ ซึ่งย้ายมาอยู่ในเขตวัดศิริวัฒนารามในปัจจุบันด้วย เพื่อจะได้ดูแลรักษาง่ายขึ้น

ศาลพระแม่โพสพแห่งนี้ ยังนับเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ในพื้นที่ย่านบางพรมเคยเป็นแปลงนาข้าวขนาดใหญ่มาก่อนที่จะสิ้นสภาพไปในราวพ.ศ.๒๕๒๖ แต่แม้จะไม่มีการทำนาอีกแล้ว พระแม่โพสพก็ยังเป็นที่เคารพบูชาของชาวบางพรมจนทุกวันนี้

โดยทุกๆ ปี จะมีงานฉลองพระแม่โพสพ โดยกำหนดเดิมกำหนดจะตรงกับช่วงฤดูกาลที่ดินแตกระแหง เพราะมีเกร็ดอยู่ว่า ถ้าเชิญพระแม่โพสพออกมา ฝนก็จะตก ทำให้มีน้ำทำนาได้ข้าวดี

ในงานฉลองนี้ แต่ละบ้านจะเอาข้าวเปลือกมากองรวมกัน นิมนต์พระทั้งสี่วัดในละแวกนี้ คือวัดประดู่ วัดใหม่ วัดมะพร้าวเตี้ย และวัดโพธิ์มาสวดมนต์ แล้วทำบุญสมโภช ส่วนกองข้าวเปลือกขนาดมหึมาก็จะมีเจ้าของโรงสีชาวจีนแถบบางเชือกหนังมารับซื้อ เงินที่ได้ก็ถวายวัด หรือใช้ในการสาธารณประโยชน์ต่างๆ

นอกจากนี้ ยังเคยมีประเพณีอัญเชิญพระแม่โพสพแห่ไปตามคลองบางพรมถึงคลองชักพระ แล้วอัญเชิญขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง มีมหรสพสมโภชตลอดคืน พอรุ่งเช้าจึงอัญเชิญลงเรือแห่กลับตามคลองบางเชือกหนัง แล้วกลับมาขึ้นศาลชนวันงานพอดี

แต่น่าเสียดายที่แม้ทางวัดจะเคยรื้อฟื้นประเพณีนี้ขึ้นมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ แต่ไม่มีการจัดแห่ทางเรืออีกแล้วในปัจจุบัน




ชาวบางพรมรุ่นเก่าๆ ยังจำได้ว่า พระแม่โพสพเคยมาประทับทรงอยู่บ่อยๆ โดยระหว่างพิธีจะต้องมีแต่สาวพรหมจรรย์เท่านั้น และมีผู้สืบทอดการเป็นร่างทรงมาหลายรุ่น



แต่ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระแม่โพสพมาประทับทรงในร่างคนทรงที่ชื่อยายปิ่น บังเอิญมีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ วิ่งผ่าเข้ามากลางพิธี จากนั้นไม่ปรากฏว่าพระแม่โพสพจะลงมาประทับร่างใครอีกเลย


...................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อาวุธเทพเจ้า

บทความโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์

*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*





ในการบูชาเทพเจ้า ไม่ว่าของไทยหรือของฮินดู บางสายวิชาก็ถือว่าควรจะได้บูชาอาวุธของท่านด้วย
         
การบูชาอาวุธเทพเจ้า หรือเทพศาสตราวุธ ในชั้นเดิมมาจากทางฮินดู ซึ่งนิยมถวายอาวุธและเครื่องอุปโภคต่างๆ ตามที่เป็นสัญลักษณ์ขององค์เทพที่เขานับถือ

เพราะเขายึดหลักว่า เป็นเทวรูป ต้องมีเทพศาสตราวุธ และสัญลักษณ์ต่างๆ ตามประติมานวิทยาที่เกี่ยวข้องกับเทพองค์นั้น

และถึงแม้ว่า เทวรูปแต่ละองค์จะมีสิ่งเหล่านั้นพร้อมอยู่แล้ว ก็มีความนิยมที่จะไปหาอาวุธจำลองมาถวายเพื่อเป็นสิริมงคลอีก
         
อาวุธและสัญลักษณ์จำลองนี้ ถ้ามีขนาดเล็กกว่าของจริง มักทำเพื่อถวายบูชาดังที่กล่าวแล้ว หรือเพื่อแก้บนก็ได้

ถ้าเป็นของที่ต้องการจะบูชาอย่างจริงจัง ในฐานะเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ก็นำไปปลุกเสก โดยพราหมณาจารย์ หรือฤาษีโยคีต่างๆ ซึ่งผู้ใดก็ตามที่บูชาไปแล้ว มีการประดิษฐานและการนำไปใช้ที่ถูกต้อง ก็จะเป็นเทพศาสตราวุธที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้       

ส่วนถ้าเป็นของถวายแก้บน โดยมากก็มักจะทำด้วยทองเหลืองลักษณะหยาบๆ ราคาถูกๆ เหมือนที่เราถวายช้างม้าแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเราละครับ   

ส่วนอาวุธที่มีขนาดใหญ่เท่าของจริง หรือทำเลียนแบบของจริงนั้น มักจะสร้างขึ้นมาสำหรับถวายเทวรูปองค์ใหญ่ในพิธีกรรมต่างๆ




พวกโยคีและฤาษีต่างๆ เมื่อนับถือพระเป็นเจ้าองค์ใด ก็จะอัญเชิญอาวุธของเทพองค์นั้นมาเป็นเครื่องบูชา และใช้ประกอบพิธีกรรม หรือใช้ปราบปรามคุณไสยมนต์ดำต่างๆ หรือภูตผีปิศาจชั่วร้ายแล้วแต่เหตุการณ์ เช่น เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือเพื่อป้องกันตัวเมื่อจาริกเข้าไปในป่าเขา ซึ่งมีภูตผีปิศาจอาศัยอยู่มาก

การใช้เทพศาสตราวุธของฤาษีโยคีเหล่านี้ เขาใช้เหมือนพ่อมดหรือผู้วิเศษในตำนานทางยุโรปเลยครับ คือ ใช้มือหยิบจับเทพอาวุธขึ้นมาพร้อมกับการร่ายพระเวท หรือจะเรียกใช้ทางจิต เมื่อมีการถอดกายทิพย์ และต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายในมิติอื่นก็ได้ ถือว่าเป็นศาสตร์ลึกลับแขนงหนึ่ง
         
เทพศาสตราวุธในกรณีหลังนี้ จึงถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก และผู้ที่จะครอบครอง ต้องเรียนวิชาการใช้อาวุธเหล่านั้นมาแล้ว เช่นมนต์เชิญอาวุธเทพเจ้า หรือคาถาอาคมในการใช้เพื่อให้บรรลุผลในด้านต่างๆ ตลอดจนวิธีการประจุธาตุ และการดูแลรักษา ฯลฯ 

นอกจากนี้ ยังจะต้องได้รับการเจิมจากคุรุ หรืออาจารย์ เพื่อเป็นการอนุญาต และเป็นเครื่องแสดงว่า มี ศักดิ์และ สิทธิ์ที่จะครอบครองเทพศาสตราวุธชนิดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานให้
         
การใช้เทพศาสตราวุธของฤาษีและโยคีสำนักต่างๆ จะเป็นไปตามองค์เทพที่ฤาษีโยคีเหล่านั้นสืบสายวิชามา ซึ่งสังเกตได้ง่ายว่าเป็นสายวิชาของเทพองค์ใด เช่น
         
-สายวิชาที่นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์  ใช้จักร
         
-สายวิชาที่นับถือพระศิวะหรือพระอิศวร ใช้ตรีศูลแบบมีบัณเฑาะว์คาด
                  
-สายวิชาที่นับถือพระคเณศ ใช้อังกุศะ



         
-สายวิชาที่นับถือพระสกันท์ ใช้หอกที่มีใบหอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน (ศักตยายุทธ)
         
นอกจากอาวุธขนาดเท่าจริงแล้ว ฤาษีหรือโยคีเหล่านี้ยังจะต้องมีเทพศาสตราวุธจำลอง สำหรับใช้เจิม หรือทำน้ำมนต์ตามพิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติอยู่เสมอด้วยนะครับ

เทพศาสตราวุธจำลองที่ใช้เพื่อการนี้ แม้จะเป็นขนาดเล็ก ก็ทำด้วยวัสดุและความประณีตที่เหนือกว่าของแก้บนมาก และจะต้องผ่านการปลุกเสกมาแล้วเช่นกัน
         
ที่กล่าวมานี้ คือการใช้ และการครอบครองเทพศาสตราวุธ ของโยคีและฤาษีชาวอินเดียในปัจจุบันครับ 

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าในศาสนาโบราณใดๆ ที่มีการนับถือเทพเจ้า นักบวชในศาสนานั้นมักจะต้องมีอาวุธที่ได้รับมอบมาจากเทพเจ้าทั้งนั้น เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม, ขจัดสิ่งชั่วร้าย, รักษาโรค ฯลฯ และบางทีก็เป็นเครื่องแสดงลำดับชั้นทางศาสนาของผู้ครอบครองด้วย 
                  
ในยุคหลังๆ เทวศาสตร์มิได้สืบทอดกันเฉพาะผู้ถือบวชเป็นฤาษีและโยคีอีกต่อไปแล้ว ยังมีหลายอาศรม หลายสำนักที่รับศิษย์ฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เพื่อถ่ายทอดเทวศาสตร์และความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อีกด้วย

โดยศิษย์ฆราวาสที่ร่ำเรียนทางเทวศาสตร์ในสำนักต่างๆ ถึงระดับที่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธจากครูบาอาจารย์แล้ว ถ้าเป็นศิษย์เอก หรือผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหรือเจ้าอาศรมต่อไป ก็จะได้รับมอบเทพศาสตราวุธที่มีอยู่แล้วสำนักนั่นแหละครับ

ส่วนศิษย์ชั้นรองๆ ก็ต้องไปหากันเองจากภายนอก ซึ่งแหล่งที่จะจัดหาได้ ก็คือร้านขายเทวรูปและเครื่องบูชาทั่วไปนั่นเอง

หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วนะครับ ว่าอาวุธเทพเจ้าเป็นของหาไม่ยากเลยในอินเดีย สามารถหาซื้อได้ในร้านที่ผมกล่าวถึงนี้ เหมือนกับที่เราสามารถจัดหาเครื่องใช้ในพิธีทางพุทธศาสนาทุกอย่างได้จากร้านสังฆภัณฑ์อย่างไรก็อย่างนั้น




เพราะธรรมเนียมการสร้างเทพศาสตราวุธของเขา ไม่เคร่งครัดเท่าเครื่องรางประเภทอาวุธต่างๆ ในวิชาไสยศาสตร์ของเรา ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรม หรือเฟ้นหามวลสารในการจัดสร้าง แค่ทำออกมาให้ได้รูปลักษณะที่ถูกต้อง และประณีตตามสมควรก็พอแล้ว 

บรรดาผู้ศึกษาเทวศาสตร์ที่มิได้รับมอบอาวุธจากทางสำนักโดยตรง ก็จะคัดเลือกเทพอาวุธจากร้านค้าเหล่านี้แหละครับ นำกลับไปทำพิธีปลุกเสกในสำนักของตน ก่อนที่จะได้รับการเจิมจากคุรุ อันแสดงถึงศักดิ์และสิทธิ์ที่จะนำไปใช้อย่างถูกต้อง

จารีตทางมายาศาสตร์เช่นนี้ ยังสะท้อนในวิชานาฏศิลป์ของไทยเราตั้งแต่โบราณ ผู้ที่จะได้รับอาวุธจากครู ซึ่งหมายถึงเทพอาวุธที่ใช้ในการแสดงโขนละครต่างๆ นั้น จะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนมาเป็นระยะเวลายาวนาน มีความประพฤติและวัตรปฏิบัติที่เพียบพร้อมพอสมควรแล้ว ครูจึงจะมอบอาวุธให้บูชาต่อไป
         
ที่ผมบรรยายมาอย่างยืดยาวนี้ จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่จะมีศักดิ์และสิทธิ์ในการใช้อาวุธเทพเจ้า จะต้องเป็นบุคคลที่เทพเจ้าได้ทรงเลือก หรือประทานอนุญาตแล้ว ผ่านทางคุรุ หรือครูบาอาจารย์โดยตรงเท่านั้น

ส่วนบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธเหล่านี้ ก็สามารถมีไว้ในครอบครองเพื่อการบูชาได้ครับ




แต่ถ้าจะเอาไปใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ นั้น ไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องได้เรียนวิธีใช้จากคุรุ หรือครูบาอาจารย์โดยตรง จนได้รับอนุญาตเสียก่อน

เพราะเทพอาวุธเป็นของมีอาถรรพณ์แรง แม้ไม่ได้ปลุกเสก แต่ถ้าทำเหมือนของจริงมาก ก็จะมีพลังลี้ลับอยู่ในตัวของมันเองแล้วระดับหนึ่ง ถ้าเอาไปทำอะไรต่อมิอะไรโดยไม่รู้จักวิธีใช้ละก็ ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี อย่างที่โบราณท่านเรียกว่า "เข้าตัว" นั่นแหละครับ

ด้วยเหตุนี้ การที่พวกร่างทรงในบ้านเรา ได้เปิดตำหนักแอบอ้างพระนามพระเป็นเจ้าองค์สำคัญๆ  แต่งกายเลียนแบบเทวะเหล่านั้นตามที่เห็นจากในรูปวาด แล้วนำเทพศาสตราวุธของเทพเหล่านั้นมาประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ ร่ายรำเล่นกลหลอกคนดูต่างๆ

รวมทั้งนำเทพศาสตราวุธขนาดเล็กมาใช้เจิม, ทำพิธีกรรมโดยเลียนแบบพวกฤาษีในอินเดียอย่างงูๆ ปลาๆ จึงเป็นเรื่องที่ผิดกฎทางเทวศาสตร์อย่างยิ่งครับ
         
เพราะคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเข้าทรงได้จริง (คือเป็นร่างให้ภูตผีชั้นต่ำต่างๆ) หรือเข้าทรงไม่ได้แต่แสดงหลอกคนอื่นได้ก็ตาม ล้วนแต่ไม่มีครู ไม่เคยร่ำเรียนวิชาการฝ่ายเทวศาสตร์ใดๆ เพราะฉะนั้น จึงไม่เคยได้รับการเจิมหรืออนุญาตจากเทพเจ้า ให้ครอบครองและใช้อาวุธเหล่านั้น
         
แต่พวกเขาสามารถจัดหาอาวุธต่างๆ มาใช้ประกอบการแสดงได้อย่างมากมาย โดยแค่เข้าไปในตรอกแขก ย่านพาหุรัด หรือไปที่ตลาดพระวัดราชนัดดาเท่านั้น ก็สามารถเลือกหาเทพศาสตราวุธได้ตามต้องการ เหมือนอย่างที่ผู้ศึกษาเทวศาสตร์และชาวบ้านในอินเดียไปซื้อหากันจากร้านขายเทวรูปและเครื่องบูชาดังกล่าวแล้ว

ที่สนุกก็คือ ถ้าร่างทรงคนไหนอยากจะสั่งซื้อเทพอาวุธแบบที่ทำอย่างพิเศษเพียงใดจากทางอินเดียก็ได้ โดยสั่งผ่านร้านค้าในย่านเหล่านี้ ซึ่งแม้จะมีราคาแพง แต่ก็ไม่เกินกำลังของเจ้าสำนักทรงใหญ่ๆ ที่มีรายได้สูง หรือแม้แต่ร่างทรงหน้าใหม่ในวงการ ที่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่ออย่างน้อยให้มีเทพอาวุธประกอบการแสดงของตน




ความจริง ในเมืองไทยของเราเคยมีบางร้านที่มีอาวุธเทพเจ้าที่ผ่านพิธีถูกต้องจากอินเดียจำหน่ายมาจำหน่ายนะครับ อยู่ในย่านพาหุรัดนั่นเอง แต่ปัจจุบันกิจการผ่านมือสู่รุ่นลูก บรรดาเทวรูปและเครื่องบูชาในร้านก็มิได้ผ่านพิธีกรรมอะไรอีกต่อไปแล้ว 

คนที่ไม่ได้รับการเจิมให้สามารถมีเทพศาสตราวุธได้ เมื่อนำมาใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ ย่อมไม่รู้ถึงวิธีการและมนต์ที่จะใช้ พิธีเช่นนั้นย่อมไม่เกิดผล และหลายๆ กรณียังจะกลับกลายเป็นอัปมงคลสำหรับผู้เข้าร่วมพิธีเสียอีก

ผมเคยเห็นร่างทรงพระอุมาคนหนึ่ง  เอาตรีศูลเล็กๆ มาแทงลิ้นให้เลือดออก แล้วเอาเลือดนั้นเจิมเทวรูปพระอุมาที่มีผู้นำไปให้ทำพิธี  ก็น่าคิดว่าจะมีสิ่งอัปมงคลอะไรบ้างที่จะติดไปกับเทวรูปนั้น


..................................



หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด